วัฒน์ชัย วิไลลักษณ์

วัฒน์ชัย วิไลลักษณ์

เรามีโอกาสได้พบปะพูดคุยในบรรยากาศสบายๆ บนห้องทำงานหรูชั้นที่ 35 ของอาคารซอฟต์แวร์ปาร์ค ที่ตั้งอยู่ ณ กระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ ภายในห้องตกแต่งสไตล์โมเดิร์น เห็นวิวทิวทัศน์รอบตัวตระการตา ตัดอารมณ์ออฟฟิศแข็งๆ ด้วยไม้สักรอบสำนักงาน แลดูนุ่มละมุนตา

คุณวัฒน์ชัยมีพรสวรรค์มาตั้งแต่วัยเยาว์ ถูกเพาะบ่มและปลูกฝังให้เป็นพ่อค้าทำบัญชีบวกลบตัวเลขจากคุณแม่ ทำให้ชอบค้าขายชอบหาสตางค์มาตั้งแต่เด็กๆ ด้วยการปล่อยเงินกู้ที่โรงเรียน ปล่อยเงินกู้ให้กับคนงานที่โรงงานของพ่อ แล้วเก็บดอกเบี้ยทุกเดือนและด้วยการเล่าเรียนดีเป็นทุนเดิม เมื่อเติบโตขึ้นมาจึงเลือกที่จะเรียนคณะบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

เขามาจากครอบครัวพ่อค้า เขามีความวิริยะอุสาหะ บากบั่นก่อร่างสร้างอาณาจักรจนมายืนอยู่บนจุดสูงสุดได้นั้น ต้องผ่านคลื่นมรสุมมาไม่น้อย เขาจะประคองตัวได้อย่างไร ชีวิต ความคิด ตัวตน หากจะเปรียบเป็นเข็มทิศนำทางบริษัท ดูเหมือนจะเบาหวิวเกินไป ความหนักแน่นรุนแรงเยี่ยงอาวุธ ก็คงไม่แตกต่างจากเรดาร์ หัวรบอัจฉริยะแห่งสามารถคอร์ปอเรชั่นที่พร้อมจะทะยานแหวกอากาศเพื่อพุ่งชนเป้าหมาย

จากบิดร-มารดา มาสู่บุตร

“ผมมาจากครอบครัวคนจีน คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้ร่ำรวยมาก่อน สร้างเนื้อสร้างตัวมาจากรุ่นของท่าน ท่านเป็นผู้บุกเบิกทำเสาอากาศโทรทัศน์สมัยก่อนที่เป็นเสาก้างปลาอยู่บนหลังคาบ้าน ท่านมาจากช่างธรรมดา เมื่อแต่งงานกันกับคุณแม่ ก็ยังไม่มีอะไรมาตั้งโรงงานสามารถก็เมื่อตอนมีลูก เมื่อก่อนท่านเป็นช่างซ่อมนาฬิกา ช่างอิเล็กทรอนิกส์ เขาจึงเรียกว่า ‘ช่างสามารถ’ อยู่ในตลาด อำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี เมื่อโทรทัศน์เริ่มเข้ามาในประเทศไทย ท่านก็เริมทำเสาทีวีเรื่อยมา

“ท่านขยันทำมาหากิน ในขณะที่ทำงานไปก็ยังมีเวลาให้กับลูกๆ อาจจะเป็นเพราะเราอยู่ในบ้านและที่ทำงานที่เดียวกันด้วย จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พวกเราได้อยู่ร่วมกันอย่างอบอุ่น เวลาทำมาค้าขายต่างจังหวัด ท่านยังนำเอาพวกผมไปเที่ยวด้วย ไปชลบุรี ไปโน่นไปนี่ เพื่อไปเจอกลุ่มลูกค้า จึงเป็นส่วนหนึ่งที่มีให้เรามีประสบการณ์ตั้งแต่ยังเด็ก เราเห็นคุณพ่อทำงาน เห็นคุณแม่ดูแลบ้านดูแลคนงาน ไม่ใช่เป็นแม่บ้านอย่างเดียว ทุกคนล้วนมีภาระหน้าที่

“แรงจูงใจที่คุณพ่อมาทำเสาอากาศทีวี ก็เพราะสินค้าส่วนใหญ่เรานำเข้ามาจากต่างประเทศเยอะแยะมาก จำได้ว่าเริ่มจากประเทศไทยมีสถานีโทรทัศน์ช่อง 4 บางขุนพรหม ทีวีส่วนมากก็จะนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น คุณพ่อท่านเห็นช่องทางว่าคนไทยก็ทำได้ ไม่เห็นจะมีอะไรสลับซับซ้อน จึงนำของตัวอย่างมาดู เมื่อท่านลองทำก็สามารถทำได้ หลังจากนั้นจึงลองทำ แล้วนำมาขายแถวๆ นั้น เมื่อทำได้ก็ขายได้ เพราะรับสัญญาณได้เหมือนเมืองนอก

“ช่วงนั้นก็จะมีของคนไทยที่ทำก่อนหน้าเรานิดหนึ่งคือร้านสากล และวิทยุ โทรทัศน์ยี่ห้อธานินทร์ สำหรับธุรกิจของผม ถ้าเรายังอยู่แต่เสาทีวีหรือจานดาวเทียมอย่างยุคคุณพ่อ ก็จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง มันก็จะเหมือนกับสินค้าไทยหลายๆ อันที่ล้มหายตายจากไปเรื่อยๆ เราจึงต้องมีการเปลี่ยนแปลง สามารถบริหารการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ หาธุรกิจใหม่ๆ มาต่อเติมไปเรื่อยๆ เพราะยุคสมัยนี้ เทคโนโลยีมันต้องเปลี่ยนเร็วมากอยู่แล้ว เป็นธรรมดา สมัยโน้นถ้าธานินทร์เปลี่ยนแบรนด์ได้เร็ว ชื่อก็คงไม่หายไปอย่างทุกวันนี้

“คุณพ่อท่านมีวิสัยทัศน์มาก จนกระทั่งมาถึงยุคทีวีช่อง 7 สี ยิงสัญญาณขึ้นดาวเทียมเพื่อออกอากาศพร้อมกันทั่วประเทศ เมื่อก่อนทีวีเมืองไทยจะไม่ได้ออกอากาศพร้อมกันทั่วประเทศ จะเป็นแค่จังหวัดหนึ่งช่องหนึ่ง มีดีเลย์ ใส่เทปไปบ้าง ไม่พร้อมกันหมดพอดาวเทียมที่ช่อง 7 สีเกิดขึ้น เราก็เริ่มก่อธุรกิจด้วยการไปติดจานดาวเทียมรองรับตรงนั้น เพราะหมู่บ้านในชนบทบท ไม่สามารถรับดูทีวีได้ เพราะเป็นเสาก้างปลา เราก็เอาจานดาวเทียมไปรับ แล้วติดเคเบิ้ลทีวีเอา สมัยก่อน เคเบิ้ลทีวีก็เกิดมาจากจุดนี้ก็ไปรับสัญญาณดาวเทียม ลากสายเข้ากลางหมู่บ้านต่างๆ เมื่อก่อนเราก็ไปทำให้กับค่ายทหารเยอะแยะ เพราะว่าพวกครอบครัวทหารส่วนมาก อยู่ในหุบเขาบ้าง อยู่ในถิ่นทุรกันดารบ้าง ไม่สามารถดูทีวีได้เหมือนในปัจจุบันนี้

“การที่เราเติบโตขึ้นมาได้ มันต้องมีพื้นฐานมาจากการที่เราได้มองไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีได้ทัน ตอนหลังมาทำแคมเปญเสาทีวีอยู่ช่วงหนึ่ง ทีวีที่ไม่มีเสา เราก็บอกคำเดียวว่า ติดตั้งของเราแล้ว ‘ชัด’ พอเราติดตั้งเสร็จ ก็ชัดหมด ก็จะมีคนมาทำแข่งบอกว่าจานของเขา ‘ชัดล้านเปอร์เซ็นต์’ (หัวเราะ) ในยุคต่อไป ก็คงจะเห็นจานดาวเทียมอันเล็กๆ เต็มหลังคาบ้าน ราคาไม่ถึงพันบาท”

ยึดหัวหาดโทรคมนาคม

“ช่วงที่สอบติดมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผมเลือกเรียนสาขาการบัญชี เมื่อเข้าไปผมก็ซึมซับเรื่องการเมือง รุ่นพี่ที่ธรรมศาสตร์จะสอนให้ผมรักประชาชน รุ่นพี่จะชี้ให้ดูร่องรอยเหตุการณ์สมัย 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519 สมัยที่ผมเรียน เขาไม่ได้แยกคณะ จะเรียนรวมวิชาพื้นฐานด้วยกันหมด ก็จะรู้จักเพื่อนๆ คณะต่างๆ ส่วนใหญ่พวกเราจะได้รับการปลูกฝังจากพี่ๆ ถึงการต่อสู้ของนิสิตนักศึกษาในยุคของเขาที่อยู่ในเหตุการณ์และมีกิจกรรมรำลึกถึง ผมว่าเมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป ยุคสมัยผมเรียนที่นั่นถ้าใครขี่รถมาเรียนมหาวิทยาลัยจะเป็นเรื่องแปลกๆ เพราะหลังจากเหตุการณ์เดือนตุลาคมมาสู่ยุคผม มันยังไม่ห่างกันเท่าไร รุ่นพี่บางคนยังเรียนไม่จบก็มาเล่าให้ฟัง ถือว่าเป็นช่วงที่เปลี่ยนถ่ายมากกว่า ใส่กางเกงยีนส์ ลากรองเท้ายาง ไว้ผมยาวไปเรียนปัจจุบันนี้ไม่มีให้เห็นแล้ว

“ตอนนั้นมีกิจกรรมให้ทำเพียบ คณะบัญชีมีคนเรียนเยอะ คณะสังคมศาสตร์ไม่ค่อยมีคนเรียนเท่าไร ผมก็จะไปเล่นกีฬาให้คณะอื่นบ้าง ก่อนหน้านั้นผมไม่ค่อยชอบเรียนบัญชี อยากเรียนการตลาดมากกว่า แต่คุณแม่ชอบให้ผมทำบัญชี เมื่อเข้าไปเรียนคณะนี้จะมีวิชาให้เลือกเยอะทั้งเอกการตลาด เอกบัญชี เอกการเงิน เอกอุตสาหการ อยู่ในคณะเดียวกัน แต่เวลาขึ้นปี 2 จะต้องเลือกว่าเราจะไปทางไหน ปัจจุบันแยกเป็นบริหารธุรกิจ คณะบัญชี ก็เป็นบัญชีจริงๆ จบออกมาให้ไปทำบัญชีทำได้ไหม ถ้าเราไม่ได้เรียนบัญชีมาก็ทำไม่ได้ แต่จบบัญชีแล้วไปทำการตลาดจะทำได้ จนกระทั่งเรียนจบและไปต่อเมืองนอกกลับมาทำงาน ความเป็นมาของบริษัทสามารถจึงมีขั้นตอนการเติบโต

“ฉะนั้นในยุคแรกเริ่มทำเสาทีวี เป็นช่วงเปลี่ยนถ่าย คุณพ่อเริ่มต้นที่จะทำจานดาวเทียม เริ่มมีจานดาวเทียมใหญ่ๆ เกิดขึ้นเมื่อปี2524- 2525 แล้วผมมาเริ่มสานงานต่อราวปี 2528-2529 โดยเริ่มมาทำงานด้านโทรคมนาคม เป็นอีกยุคหนึ่ง เพราะผมเป็นคนแรกที่เรียนจบมาก่อนใครในครอบครัว ตอนนั้นโทรคมนาคมเริ่มบูม ผมจึงมาทำในด้านการสื่อสารข้อมูล เปิดบริษัทที่ 2 ชื่อสามารถเทเลคอม ปัจจุบันเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แล้ว ระบบนี้มาดังตอนที่เกิดเหตุการณ์พายุเกย์ที่จังหวัดชุมพร ตอนนั้นเราไปติดตั้งระบบสื่อสารให้กับแบงก์กสิกรไทย เมื่อพายุเกย์ถล่มเข้ามา ระบบโทรคมนาคมเครือข่ายล่มหมด ถูกตัดขาดระหว่างกรุงเทพกับภาคใต้ ของเราจึงเป็นระบบดาวเทียมอันเดียวที่ยังใช้ได้ แบงก์ใช้ออนไลน์ได้ โทรศัพท์ใช้ได้หมด

“พอเกิดเหตุเหตุการณ์ตรงนี้ขึ้นมา เราจึงเห็นช่องทางเริ่มเข้ามาสู่ธุรกิจที่ทำโทรคมนาคม ทางด้านการส่งข้อมูล สามารถโต้ตอบกันได้ ซึ่งแต่ก่อนเรารับได้อย่างเดียว สมัยก่อนจานดาวเทียมต้องขอใบอนุญาตจากกรมไปรษณีย์โทรเลข จึงเริ่มคลุกคลีกับทางราชการ เพื่อที่จะไม่ต้องขอใบอนุญาต ตอนหลังทางกรมไปรษณีย์โทรเลขเปิดเสรีจานดาวเทียมขึ้นมาโดยไม่ต้องมีการขอใบอนุญาต สามารถดูทีวีได้ทุกช่อง จานดาวเทียมในปัจจุบันจึงไม่ยุ่งยากเหมือนเมื่อก่อน ตอนนั้นจานดาวเทียมเป็นอะไรที่ใหม่สำหรับคนไทย คนที่ติดจานดาวเทียมยุคนั้นจะบ่งบอกถึงสถานะฐานะ กว่าจะไปอธิบายบอกกล่าวกับทางราชการให้เขาเข้าใจว่าจานดาวเทียมมันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับความมั่นคงของประเทศ มันรับสัญญาณดูได้อย่างเดียว

“นั่นคือจุดเริ่มต้นที่จะเข้าสู่ธุรกิจโทรคมนาคม ธุรกิจหลักๆ ปัจจุบัน เราจึงทำค่อนข้างหลากหลาย มีตั้งแต่ไอที โทรคมนาคม มีไอ-โมบายโฟน มีค็อนเท้นต์ซึ่งปัจจุบันในเครือสามารถฯ เองเราตั้งกลุ่ม โดยมีสามารถคอร์ปอเรชั่นเป็นบริษัทแม่ จะมีในเรื่องของการลงทุนไปในธุรกิจอื่นๆ บ้าง แต่บริษัทลูกก็จะเกี่ยวข้องกับทางด้านเทคโนโลยีอยู่ จะเห็นว่าตอนนี้เราไม่ไปเกี่ยวกับจานดาวเทียมและเสาทีวีแล้ว เดี๋ยวนี้มีรายได้ไม่ถึง 10% ของทั้งกลุ่มเลย ทั้งกลุ่มจะมีรายได้จากโทรศัพท์มือถือบ้าง พวกไอ-โมบาย ค็อนเท้นต์ที่ทำหรืองานไอที โทรคมนาคมที่ทำให้กับหน่วยงานราชการ ซึ่งตรงนี้เรามีโอกาสให้บริการของเราเยอะ อย่างเช็คอินไปสนามบินนั่นก็เป็นบริการของเราที่รับทำให้กับการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย หรือการประชุมผู้ว่าราชการทั่วประเทศ ด้วยวีดีโอคอนเฟอเรนซ์ก็เป็นระบบที่เราทำให้หรือซูเปอร์ไฮเวย์ของกระทรวงกลาโหมหลายอัน เราก็เป็นคนทำให้”

ห้ำหั่นชั้นเชิงธุรกิจ

“สำหรับคู่แข่งของสามารถฯ ค่อนข้างมีเยอะทั้งในตลาดงานไอทีและโทรคมนาคม มันก็เหมือนฟุตบอล มีผู้เล่นหมุนเวียนกันเข้ามาและออกไป แล้วละแต่ช่วงจังหวะเวลา แต่ส่วนใหญ่ก็จะมีสามารถฯ ล็อกซ์เลย์ จัสมิน กลุ่มพวกนี้ยังอยู่ อันนี้จะไม่เกี่ยวกับโอเปอเรเตอร์ที่เป็นโทรศัพท์มือถืออย่าง เอไอเอส ดีแทค ทรู แต่จะเป็นโทรคมนาคมที่ให้บริการทางด้านโครงข่าย

“สามารถฯ เองเคยเจอวิกฤติหลายช่วง ช่วงแรกสมัยคุณพ่อป่วย ตั้งแต่ปี 2534 ทำงานไม่ได้ ผมกับพี่ชายก็ต้องมาดู มารับภาระเมื่อก่อนจะมีคุณพ่อเป็นหัวเรือใหญ่ เราเป็นลูกก็จะช่วยทำงานคนละไม้คนละมือ ตอนหลังก็ขยายกิจการไปเยอะแยะ จนกระทั่งมาเจอวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 พอดี เราขยายข่าย ขยายงานเกินตัว ก็เลยเจ็บตัวเยอะหน่อย แต่ก็ผ่านมาได้ ไม่ว่าจะเป็นบุคลากรหรือคนในครอบครัวก็จะต้องลงมาช่วยกัน แม้กระทั่งพนักงานหรือผู้บริหารของเราเอง ต้องให้เครดิตที่ยอมเฉือนเนื้อเงินเดือนตัวเอง ลดค่าใช้จ่ายทุกอย่างที่ไม่จำเป็นทิ้ง ยอมตัดบริษัทที่คิดว่าจะช่วยให้บริษัทอยู่รอดเพื่อที่จะอาศัยรากฐานก็ยังอยู่ได้ถึงตอนนั้นอะไรที่ไม่สำคัญก็ต้องตัดทิ้งเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ แม้กระทั่งตอนนั้นเราได้สัมปทานได้เซลลูล่าร์ 1800 เราก็ตัดขายให้กับประเทศมาเลเซียไปเลย เราต้องรักษาอวัยวะสำคัญเอาไว้ก่อน ถ้าเป็นธุรกิจอื่นแบงก์เข้าไปยึดแล้ว อาจจะทำง่าย ทุกคนยังให้ความเชื่อมั่นกับผู้บริหารอยู่ ไม่ว่าจะเป็นผม คุณเจริญรัฐ วิไลลักษณ์ พี่ชาย ก็เข้าไปพูดคุยกับนายแบงก์ จึงสามารถดำเนินงานได้ต่อไปจนหลุดรอดมาได้ ต้องใช้เวลาอยู่ 3-4 ปี”

กระชับความเสี่ยง

“สถานการณ์บ้านเมืองอย่างปัจจุบัน สามารถฯ เองก็เจอผลกระทบอยู่บ้าง แต่จะลำบากเหมือนเมื่อก่อนนั้นก็คงไม่ใช่ เพราะมีประสบการณ์ ที่ผ่านมาเราได้เตรียมตัวและมีการบริหารความเสี่ยง เรามีอะไรบ้างที่เป็นความเสี่ยง เราได้ปิดความเสี่ยงนั้นให้ลดน้อยลง เราได้ขยายไปลงทุนอะไรที่ค่อนข้างมีการเปลี่ยนแปลงน้อย มีรายได้ประจำเกิดขึ้น เยอะขึ้น พยายามหารายได้ที่ยั่งยืนมากขึ้น ไม่มีการเปลี่ยนแปลงมาก เมื่อเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลง ก็ใช้เอาท์ซอร์สบ้าง แม้กระทั่งไปทำงานที่ประเทศกัมพูชา ที่เป็นข่าวโด่งดังเมื่อปลายปีที่แล้วว่าวิทยุการบินเขมรที่มีสายลับ นั่นก็เป็นบริษัทเราที่ติดตั้งเกี่ยวกับวิทยุการบิน อันนั้นเป็นรายได้ประจำค่อนข้างแน่นอน ปีหนึ่งๆ จะมีรายได้เข้ามา 800-1,000 ล้านบาท ซึ่งมันจะช่วยให้เราสามารถอยู่ได้ ในขณะที่คนอื่น เศรษฐกิจไม่ดี เขาลำบากกว่าเรา แต่เราก็ยังอยู่ได้ เราหาโอกาสเจอ เราก็สามารถเติบโตได้ในท่ามกลางวิกฤติ

“ในอนาคตอันใกล้ ผมเชื่อว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงด้านไอทีไปอีกยุคหนึ่งแน่นอน เพราะว่าในอนาคตระบบ 3G ที่กำลังจะเกิดขึ้นหรือแม้กระทั่งสายที่จะเข้าบ้านก็ยังไม่ได้พูดถึงความเร็วที่ปกติแล้ว มันก็จะเป็นความเร็วสูง มันจะไปโผล่ที่จอทีวี สามารถดูและเล่นอินเทอร์เน็ตผ่านจอทีวี จะมีการสั่งผ่านรีโมตตัวเดียว ต่อไปมันจะแยกกันไม่ค่อยออกเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ความล้ำสมัยของอุปกรณ์มันก็จะมีสูงขึ้น สายหรือไวร์เลสที่เราพูดถึงมันก็จะส่งผ่านข้อมูลด้วยความเร็วสูง ซึ่งอันนั้นจะทำให้เกิดธุรกิจตามมาอีกเยอะแยะ ต่อไปมันจะเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันเรา ไอทีก็จะมาอยู่รอบตัวเราไปหมด

“คนเราเกือบทุกคน ถ้าสังเกตดีๆ จะมีแต่ของอิเล็กทรอนิกส์ติดตัวเรากันทั้งนั้น วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยก็จะบริโภคข้อมูลข่าวสารได้มากขึ้น ทุกวันนี้สังเกตได้ว่าคนเริ่มรับรู้ข้อมูลข่าวสารผ่านเครื่องไม้เครื่องมือพวกนี้เยอะขึ้น แม้แต่นิตยสารต่อไปก็สามารถดาวน์โหลดลงมาดูบนนี้ได้แล้ว คาดการณ์ว่าต่อไปในอนาคตเราต้องต่อสู้ด้วยความน่าเชื่อถือ โดนใจผู้บริโภคมากกว่าไม่ใช่มาขายนาทีละเท่าไรแล้ว ปัจจุบันนี้ถามว่าโปรโมชั่นมือถือที่ใช้อยู่รู้ไหมเท่าไร จำไม่ได้แล้วว่านาทีละกี่บาท โทรกี่นาที(หัวเราะ) ส่วนใหญ่จะใช้เพราะว่ามันมีอะไรพิเศษ มีอะไรให้บริการได้มากกว่า เหมาจ่ายทุกเดือน เรารู้อยู่แล้ว ต่อไปมันอาจจะออกมาแบบนี้มากขึ้น

“เป้าหมายต่อไปของสามารถฯ มันต้องมีอยู่แล้ว ผมอยากเห็นบริษัทของคนไทยสามารถทำธุรกิจไอที โทรคมนาคมได้ เป็นบริษัทชั้นนำได้ ไม่ใช่เฉพาะในเมืองไทย อย่างของเราชื่อเป็นไทยอ่านว่า สามารถ ภาษาอังกฤษอ่าน สมาร์ตก็ได้ ปัจจุบัน เราอยากเติบโตในเวทีนี้ เพราะโลกมันไม่มีพรมแดนแล้ว เราสามารถเติบโตต่อไป ลิงค์เข้าหากันได้หมด ทำให้บริษัทเราไม่ใช่ขายแค่คน 70 ล้านคน เราต้องขายได้หลายร้อยล้านคนมากขึ้น ทำไมประเทศจีน ถึงเป็นตลาดใหญ่ เพราะเขามีประชากรเยอะขึ้นถ้าเราสามารถขยายตลาดให้มันโตขึ้น เพียงแต่ปัจจุบันนี้ เรายังไม่มีเวลาที่จะไปเติบโตมากขึ้น แต่ผมเชื่อว่า 3 ปี เราน่าจะแข็งแรงในเมืองไทยได้ อีก 10 ปีข้างหน้าต่อไปก็ไปบุกเบิกในต่างประเทศมากขึ้น ทุกวันนี้ได้ชื่อว่า Asian Brand แต่ยังไม่ใช่เป็นที่น่าพอใจในตลาดต่างประเทศ เพราะยังเป็นธุรกิจที่ยังไม่เติบโตมากนัก

“ผมเชื่อว่าอีกยุคหนึ่งคงพร้อมที่จะเสี่ยง เวลานี้เราลงทุนด้วยความละมัดระวัง เราก็ต้องดูกระเป๋าตัวเอง มันไม่เหมือนเมื่อก่อน เมื่อก่อนอายุ 30 ปี ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ได้ ตอนนี้อายุจะ 50 ปีแล้ว มันต้องไม่ล้มแล้ว เหมือนอย่างบริษัทของเราแข็งแรง มีกำไรเยอะ ก็พร้อมที่จะเอาส่วนหนึ่งไปเสี่ยงตลาดใหม่ๆ ได้ ถ้าเกิดล้มเหลวก็ยังไม่เป็นไร ถ้าเกิดประสบผลสำเร็จก็ได้เยอะ แต่ถ้าเราไม่มีกองหลัง ไม่มีเงินในกระเป๋าตุนเอาไว้ก่อน มันก็จะลำบาก ตอนนี้เป็นเรื่องที่จะต้องเรียนรู้ในแต่ละยุคสมัยช่วงโน้นเป็นอย่างนี้ช่วงนี้จึงเป็นช่วงบริหารความเสี่ยงในตัว ทั้งโอกาสและความเสี่ยง มันก็มีพร้อมกันหมด จะให้มันเท่ากันอย่างไรได้”

นำแบรนด์ไทยไปแบรนด์โลก

“เดี๋ยวนี้เราต้องมองลูกค้าให้ได้ก่อน เราจะลงทุนทำอะไร ถ้าเกิดหาลูกค้าเจอ ไปขายใคร ขายเขาแล้วได้อะไร จะไปทำอะไรให้เขา ถ้าคนเรายังมองไม่ออกว่ากลุ่มลูกค้าคือใคร มันก็จะลำบาก เมื่อลงทุนทำขึ้นมาแล้ว กลุ่มลูกค้าไม่ชัดเจน ทำตามกระแส อันนั้นก็จะเสี่ยงเยอะเกินไปหน่อย อย่างปัจจุบันจะเห็นว่าหลายๆ อันเราเห็นชัดเจนว่ากลุ่มลูกค้าคือใคร เราครองลูกค้าได้ มันก็จะลดความเสี่ยงได้อย่างหนึ่ง เหมือนอย่างการทำนิตยสาร กลุ่มลูกค้าที่อ่านคือใคร อย่างผมไปทำงานไอที ลูกค้าผมมีชัดเจนคือกลุ่มข้าราชการ ผมไปลงทุนเป็นตัวแทน ผมก็จะรู้แล้วว่าข้าราชการเอาแบบไหน มีโอกาสเป็นศูนย์น้อย แต่เมื่อมาทำ ไอ-โมบายตลาดใหญ่ถ้าเกิดประสบผลสำเร็จ ก็จะได้กำไรมหาศาล แต่รุ่นไหนไม่ประสบผลสำเร็จ ก็ต้องมีการบริหารจัดการที่ดีอยู่ในตัวเองพอสมควร อย่างการขายงานให้ข้าราชการ เก็บเงินได้แน่ แต่อาจจะช้า มันต้องจัดการพวกนี้ให้ได้เหมือนกัน

“ผมเชื่อว่าทุกวันนี้เศรษฐกิจไทยดี ส่วนใหญ่ที่ผ่านมา ก็เพราะเอกชนหรือแบรนด์ไทยที่ไปเติบโตยังต่างประเทศ น้อยมากที่จะได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐบาล เพราะว่าเมืองไทยหลายๆ หน่วยงานยังไม่ให้ความสำคัญกับเจ้าของแบรนด์และคุณภาพของมันที่จะมาส่งเสริมจริงจัง หรือแม้กระทั่งการต่อเนื่อง ทำแล้วก็ไม่ต่อเนื่อง พอเปลี่ยนการเมือง เปลี่ยนรัฐมนตรีทีหนึ่ง ก็เปลี่ยนนโยบายกันทีหนึ่ง ข้าราชการก็ทำตามนโยบาย มันก็ไม่ต่อเนื่อง งบประมาณไม่มี ไม่ได้จัดสรรอะไรขึ้นมาว่ามันเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในแต่ละกระทรวง หรืออะไรที่จะต้องทำส่งเสริมควบคู่กันไป ไม่ได้ดูว่าอะไรที่เป็นคอของประเทศ ที่จะต้องทำให้จริงๆ ใครมีอะไรก็ว่ากันไปเรื่อย วันนี้มาแล้วก็จะปิดถนน ตรงนั้นก็จะปิดถนนขายของ มาทำกันตามไปเรื่อยๆ มันก็ไม่ได้มีอะไร ที่มันเห็นว่าเป็นวิสัยทัศน์ ในการลงทุนที่จะแก้ปัญหา มันก็เป็นแค่กระแส มาก็ฉีดยา จัดกันไป มันไม่มีอะไรที่มันจับต้องได้ เป็นชิ้นเป็นอัน ทั้งที่หลายๆ อย่างเป็นของดี”

“ถามว่าโอท็อปดีไหม ผมเชื่อว่าดี แต่เงียบไหม มันเงียบ เงียบเพราะมันคนละนโยบาย คนที่ทำไม่อยู่แล้ว หรือแม้กระทั่งการบรรจุสินค้าก็ล้าสมัย ผมไปที่ประเทศญี่ปุ่น ผมแกะกล่อง แกะซองอาหารออกมา มันน่ากินไปหมด ที่เมืองไทยไปดูสิ สินค้าโอท็อปแต่ละชิ้น นำอาหารหรือของกินใส่ถุงพลาสติก เอาแม็คเย็บ วางขาย มาร์เก็ตติ้ง แบรนด์ แพ็คเกจจิ้ง ราคา เราจะไปวางขายที่ไหน ไม่ใช่ให้เขาผลิตออกมาแล้วไม่ส่งเสริม ให้เขาไปขายที่ไหน ต้องให้เขาดีไซน์อย่างไร เรามีแต่ผลิตออกมา วางขายตามต่างจังหวัด โอท็อปเต็มไปหมด

“ปัจจุบันสามารถฯ พยายามจะทำโปรเจ็คท์ 2-3 อัน อาจจะครึ่งปีหลัง อันแรกก็จะมีเรื่องบัตรตั๋วรถร่วม บัตรเดียวเดินทางไปทั่วแม้กระทั่งเสาทีวี เมื่อหมดยุค จะทำอย่างไรให้คนเปลี่ยนมาเป็นจานดาวเทียมขนาดเล็ก ราคาถูก”

 ประคองชีวิตพิชิตความสุข

“ชีวิตไลฟ์สไตล์ของผม ทุกวันนี้ก็จะออกกำลังกาย เล่นกีฬา อยู่กับลูกๆ บ้าง เสาร์-อาทิตย์ก็จะไปตีกอล์ฟบ้าง ส่วนมากจะอ่านหนังสือ อยู่กับครอบครัว ถ้าไม่มีงานที่เร่งด่วน ก็พยายามจะตัด ไม่ทำงานในวันหยุดมาก หลายๆ คนอาจจะงงว่าผมทำได้อย่างไรหลายคนพูดว่า ผมหน้าเด็ก เพราะเราสามารถตัดได้ ไม่คิดอะไรมากมาย รู้จักปล่อยวางได้ เวลาพักผ่อนก็ปล่อยผ่อนคลายไปเลย เช่นดูหนัง ดูหนังสือ ก็จะไม่เอาอะไรที่หนักๆ มาอ่าน เวลาบริหารงานก็จะไม่เหมือนกับการบริหารครอบครัวอยู่แล้ว มันละแบบกัน อย่างบริหารงานเราก็ป้อนนโยบาย จะเสียงดัง พอกลับไปถึงที่บ้านก็จะเงียบๆ เพราะภรรยาเสียงดังกว่า (หัวเราะ) เราจะตามใจเขา จะทำอะไร จะกินอะไร มันเป็นเวลาของเขา เราก็จะทำตัวให้รีแลกซ์มากที่สุด ครอบครัวไหนเป็นครอบครัวที่มีแต่ความสุข ก็จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเยอะ เพราะไม่มีอะไรมากวนใจ แต่ถ้าบ้านไหนมีปัญหาเยอะ จะทำงานได้ดีไหม เราต้องสร้างครอบครัวของเราให้มีความสุข ไม่ต้องมานั่งเถียงกัน อย่างคุณพ่อ คุณแม่พูดว่า เราหัวอ่อน ให้เราไปไหว้พระ เราก็จะไปไหว้พระ เพื่อให้ท่านสบายใจ เราก็สบายใจ ไม่ได้ทำให้เราอึดอัดหรือลำบากใจอะไรเลย ถ้ามัวแต่ไปบ่นไปเถียงกัน ก็ไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรดีขึ้น สุดท้ายเราก็ต้องไปอยู่ดี

“เราต้องรู้จัดการบริหารเวลาให้เป็น วันหนึ่งผมรับนัดไว้เยอะ เราต้องเริ่มจากการดูว่างานนี้สำคัญ งานนี้ไม่สำคัญ หรือเวลามีนัดผมคำนวณเวลาได้ว่าเดินทางใช้เวลาเท่าไร ต้องเป๊ะๆ จะนัดเขา จะอิงระบบขนส่งไว้ก่อน ส่วนใหญ่จะไปตรงเวลา เวลานอนก็หลับง่ายมาก ไม่ถึง 5 นาทีก็หลับ เพราะสมองมันว่าง ไม่ได้คิดอะไร

“ส่วนปรัชญาในการทำงานในการบริหารองค์กร ผมจะบริหารสไตล์คลุกคลีอยู่กับเพื่อนพนักงาน ไม่บริหารแบบวิชาการมากนักพยายามเข้าให้ถึงพวกเขามากขึ้น เข้าถึงผู้ร่วมงาน อาจจะคุ้นการทำงานที่อยู่กับบ้าน คนงานเยอะ มานั่งทำงาน เซ็นเอกสารตอนเช้าเสร็จ ก็ไม่รู้จะทำอะไร เราก็ต้องเดินดู การทำงานของผม ผมจะไม่หนีปัญหา พูดให้เขาฟังเสมอ มีอะไรก็บอกกันไปเลย แล้วจะต้องแก้ปัญหาให้ได้

“ตอนนี้บ้านเรามีการเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ตอนนี้เปลี่ยนรัฐมนตรีไอทีซีคนใหม่ เราก็ต้องเปลี่ยนแปลงเราอีก ถ้าองค์กรของเราสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ มันก็จะสามารถเติบโตต่อไปได้ ถ้าไปยึดติดอยู่กับรูปแบบหรือสไตล์มากเกินไป มันก็จะทำงานลำบาก ครอบครัวผมจะสอนให้รู้จักความซื่อสัตย์ ความกตัญญู ผมจะทำอย่างไรที่จะทำให้คุณพ่อกับคุณแม่ ของผมมีความสุข เราก็ต้องเข้าหาท่านบ่อยๆ ชีวิตของท่านก็มาถึงบั้นปลาย แต่ไม่รู้จะไปเมื่อไร แต่เวลาที่เหลืออยู่อาจจะ 20-30 ปี แต่เราก็ทำให้ท่านมีความสุขมากที่สุดดีกว่า

“ผมอาจจะไม่เหมือนคนอื่น เป็นคนที่ว่านอนสอนง่าย คุณแม่ผมจะชอบทำบุญเยอะ ท่านจะชวนผมไปทำบุญตามต่างจังหวัด ไปเช้า-เย็นกลับ เขามีความสุขที่ได้ทำบุญทำทาน ลูกๆ ก็ไป เราก็ได้บุญด้วย ที่ทำให้เขามีความสุข ท่านก็มีสตางค์ใช้ แต่ทุกเดือนเราก็มีปัญญาเอาสตางค์ไปให้ท่านเล็กๆ น้อยๆ ท่านก็จะนำเงินที่เราให้ไปทำบุญ ไม่ใช่ว่าต้องกตัญญูแบบต้องซื้อบ้านช่องให้อยู่ผมเชื่อว่าคนรุ่น คุณพ่อ คุณแม่ ความสุขของท่านคือเห็นลูก เห็นหลาน อยู่พร้อมหน้าพร้อมตามากกว่า ทุกวันนี้ผมก็ยังอยู่บ้านเดียวกับท่าน ไม่ได้แยกออกมา ดูแล้วอบอุ่นมีความสุขมากกว่า การช่วยเหลือสังคมที่อื่น เราก็ทำปกติอยู่แล้วโดยไม่ต้องมาทำโปรเจ็คท์ออกหน้าออกตา มันไม่จำเป็น หลายๆ เรื่องเราก็ทำ หมดเงินเป็นล้านๆ ไม่เห็นจำเป็นต้องไปประกาศโฆษณา บางทีก็ไม่ได้เอาเงินบริษัทออกด้วยซ้ำไป เป็นเงินส่วนตัวก็เยอะ”

“กับคำว่าแข้งทอง สำหรับผม ผมเป็นคนชอบเล่นฟุตบอลตั้งแต่เด็กๆ แล้วหยุดไปช่วงหนึ่ง เพิ่งจะมาเล่นเอาตอนสิบปีหลัง ก็มีก๊วนเล่นอยู่ที่สโมสรราชพฤกษ์ ที่นอร์ธปาร์ค เล่นมา 10 กว่าปีแล้ว เราก็จะได้เพื่อนๆ ผมจะเล่นทุกเสาร์-อาทิตย์ ก็มีความสุขเฮฮากัน ลูกๆ ก็จะไปเล่นที่โน่นด้วยกัน ผมยังวิ่งได้ 1 ชั่วโมงไหว วิ่งเครื่องสายพานได้ 15 นาทีก็ถือว่าโอเคแล้ว

“ส่วนตัวผมเป็นแฟนแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด สามารถคอร์ปอเรชั่นเคยเป็นสปอนเซอร์ สนับสนุนทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดอาร์เซนอล และลิเวอร์พูล มาลงแข่งที่เมืองไทย เราทำมาหลายๆ ทีม เป็นการเอากีฬามาใช้ให้เป็นประโยชน์ ถ้าปีหน้ามีโอกาส ก็น่าจะจัดอีกรอบหนึ่ง ผมชอบทำให้คนรอบข้างมีความสุข ถ้าเขามีความสุข เราก็มีความสุขด้วย เราจะมีความสุขคนเดียวได้อย่างไร บางทีเราเหนื่อยขึ้นอีกนิดหนึ่ง แต่เขามีความสุขเยอะ เราก็ไม่ได้ลำบากอะไร”

เราไม่สามารถกำหนดทิศทางลมได้