พิง ลำพระเพลิง

พิง ลำพระเพลิง

“ผมว่าเพลงของบอดี้สแลมทำให้ผมมีแรง ไม่ใช่แรงในแง่ของนามธรรมอย่างเดียว แรงในรูปธรรมด้วย เช่น เวลาที่ผมออกกำลังกายตอนเช้าโดยการวิ่ง 2 กิโลเมตร พอเริ่มจะเหนื่อยแล้ว แต่พอเปิดไอพอดเข้าโหมดของบอดี้สแลม ผมจะวิ่งต่อได้อีกหลายกิโลเมตร เพลงของเขาทำให้ผมมีแรง เวลาที่เหนื่อยใจ พอได้ฟังเพลงของพวกเขา มีแรงในการหาเงินทุน มีแรงในการเขียนบทมันทำให้ผมฮึดขึ้นมา”

พิง ลำพระเพลิง หรือ ภูพิงค์ พังสอาด เรารู้จักเขาดีในฐานะคนเขียนบทละครโทรทัศน์ นักแสดง และผู้กำกับภาพยนตร์ จากหนังเรื่อง “โคตรรักเอ็งเลย” “คนหิ้วหัว” “ฝันโคตรโคตร” และล่าสุดร่วมกำกับในหนัง “สามย่าน” หนังของเขานี่เองที่มักจะมีตัวเองเข้ามาร่วมแสดงด้วย ซึ่งถ้าสังเกตดีๆ เรามักจะเห็นกล้ามท้องซิกแพ็กของเขาอยู่บ่อยๆ ที่เป็นแบบนี้เพราะเขาให้เหตุผลว่าตัวละครมักมีปมด้อยจึงต้องหาจุดเด่นเข้ามาบ้าง

ตอนนี้เขาไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่กำลังซุ่มทำงานเขียนบทละครโทรทัศน์ซึ่งถือว่าเป็นงานประจำที่ทำอยู่ในตอนนี้ รวมทั้งกำลังเขียนบทหนังเพื่อเตรียมนำเสนอค่ายหนังต่างๆ ซึ่งเขายอมรับว่าช่วงนี้วงการหนังไทยนั้นเป็นเรื่องยากที่ผลิตออกมาแล้วจะตอบโจทย์กับคนส่วนใหญ่ได้

“ความจริงแล้วหนังมันไม่มีคาถาเลยว่าจะเป็นแนวไหน บทมันจะได้ขึ้นมามันก็ได้ดื้อๆ เอาเป็นว่าเสี่ยงน้อยที่สุดคือหนังตลก ด้วยต้นทุนที่ต่ำแล้วตลาดมันค่อนข้างจะดูได้ง่ายกว่า ซึ่งก็หมายความคนดูอาจจะไม่อยากเสี่ยงกับหนังไทยแบบอื่นๆ”

เขาเล่าต่อว่าการกำกับหนังของตัวเองที่ผ่านมา พยายามจะทำให้มันตลก แต่พอถึงเวลาหน้างานจริงๆ ก็มักจะมีความเศร้าแฝงเข้ามาอยู่เสมอ อย่างหนังเรื่อง คนหิ้วหัว ที่มีความคิดในตอนแรกว่าจะทำให้เป็นหนังตลกแบบที่เขาทำกันจริงๆ แต่พอมันออกมาแล้วก็กลับมีความซึ้ง ตลก ปนเศร้าแฝงอยู่

“ผมว่างานกำกับภาพยนตร์เป็นงานที่ผู้กำกับหลอกตัวเองไม่ได้ ผมหมายถึงผู้กำกับที่ชัดเจนในแนวทาง ผมไม่ได้มองว่าจะเป็นสายบางกะปิหรือสายพารากอน อย่างคุณพจน์ อานนท์ คุณเป็นเอก รัตนเรือง คุณวิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง เขาจะมีแนวทางของเขา ดูยังไงก็รู้ว่าเป็นงานของพวกเขา”

เขาบอกกับเราว่าไม่เคยกังวลกับเสียงวิจารณ์หนัง เพราะถ้าล้มเมื่อไหร่ก็ยังมีงานประจำที่ถือว่าเป็นอาชีพนั่นคือการเขียนบทละครโทรทัศน์ ที่เขาบอกว่าไม่ได้รู้สึกว่าใช้พลัง แต่เป็นงานประจำที่แม้ไม่มีพลังก็ต้องทำ

“ถ้าคุณเป็นพนักงานออฟฟิศ ขับรถเลี้ยวเข้าบริษัทก็รู้สึกว่าแขนเปลี้ยแล้ว คือมันดูดพลังไปหมดแล้ว คือเป็นงานที่ไม่อยากทำเลย แต่ต้องทำ เพราะอยากมีเงินในเอทีเอ็มตอนสิ้นเดือน งานเขียนบทโทรทัศน์มันก็คืองานที่ต้องทำ ซึ่งงานหนังกับงานโทรทัศน์ความดีความงามมันแตกต่างกัน ละครเป็นงานเลี้ยงชีวิต ส่วนงานหนังเป็นงานที่เลี้ยงวิญญาณ คืองานละครถ้าเขาให้ผมแก้บท ยังไงผมก็แก้ตามที่ผู้จัดต้องการ แต่ว่างานหนังเขาให้แก้บท ผมก็ไม่ทำ”

แม้จะทำงานมาหลายอย่าง แต่สิ่งที่เขาชอบมากที่สุดก็คืองานแสดงโชว์บนเวที ซึ่งราวปีหน้าเราอาจได้เห็นเขาในรูปแบบวันแมนโชว์สร้างเสียงหัวเราะให้กับผู้ชมอีกครั้ง แต่เขาบอกว่างานแบบนี้ต้องใช้พลังในการทำเยอะ และต้องใช้งบประมาณที่มากพอสมควร

“อย่างทำโชว์คราวก่อน ของผมแค่ 5 รอบยังต้องใช้เงินทุนตั้ง 1 ล้านบาทในการจัด แต่ก็โอเค มันคืนทุน แต่ว่าเราทำต้องมั่นใจเพราะใช้เงินตัวเอง แล้วเรื่องบท เรื่องการซ้อม ผมว่าคนที่ทำโชว์แล้วมีสปอนเซอร์ก็คงมี โน้ต อุดม คนเดียว”

แต่ถ้าจะต้องเลือกงานสักชิ้นที่ถือว่าเป็นงานมาสเตอร์พีซ ณ ตอนนี้ เขาคิดว่ามันคือการเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ในหนังเรื่อง ฝันโคตรโคตร ที่ได้นางเอกสุดน่ารักอย่างน้องมิลค์ ภาวิณี วิริยะชัยกิจ มาร่วมแสดงเป็น เปิ้ล ตามเนื้อเรื่องพระเอกชื่อ ไอ้ด่าง มีอาชีพเป็นนักแสดงข้างถนน และตั้งแต่เมียเขาตายจึงทำให้เขาเลิกศรัทธาในเรื่องของความรัก จนได้มาพบกับเปิ้ลที่เป็นดาราดังที่มีชื่อเสียง หนังมีการเดินทางระหว่างความจริงกับความฝัน พระเอกและนางเอกถูกเชื่อมโยงด้วยความสัมพันธ์บางอย่าง จนเกิดความรักและความผูกพันขึ้นจาก “ฝัน”

“ถ้าถามผม ผมเลือก ฝันโคตรโคตร เพราะเป็นงานที่ตอบโจทย์ชีวิตผมมาก มันสร้างจากนิยายที่ผมเขียนไว้เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ผมรู้สึกว่าด้วยพล็อตเรื่องเมื่อเทียบกับสมัยนี้มันยังไม่เปลี่ยน มันดีจังเลย แล้วที่สำคัญคือเราเล่นเองด้วย เราจึงนำเสนอสิ่งที่เราอยากเป็นจริงๆ คนอายุ 44 ปี และด้วยหน้าตาอย่างผมด้วย น้อยคนที่จะมีโอกาสแบบนี้ ถือว่าโชคดีมาก ก็ต้องขอบคุณทางสหมงคลฟิล์มที่เขาให้โอกาส”

หนังเรื่องนี้ใช้เวลาในการถ่ายทำ 15 คิว คือ 15 วันถ่าย ซึ่งมันเป็นกระบวนการที่เขาภูมิใจว่าด้วยงบประมาณขนาดนี้แต่สามารถทำงานออกมาด้วยสเกลที่คุ้มค่า อย่างเสื้อผ้าบางตัวเขาก็ไปเดินหาที่สวนจตุจักรเอง เพื่อให้เหมาะกับเนื้อเรื่อง หรือแม้แต่โลเกชั่นก็ใช้บ้านของเขาจริงๆ ที่เคยอาศัยอยู่

“เรื่องนี้ผมใช้การถ่ายหนังด้วยฟิล์ม ผมรู้ว่าหนังผมเป็นทะเลท้องฟ้า ถ้าใช้ดิจิตอลถ่ายมันอาจไม่สวยเท่า ผมรู้สึกว่าการที่เราแข็งขืนกับสิ่งที่เราต้องการจริงๆ มันจะทำให้เราภูมิใจกับมัน ถ้ายอมเปลี่ยนรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ หนังผมจะไม่ได้แบบนี้ แล้วมันเป็นความกดดันมากกว่า เพราะเรากระแดะมาเป็นตัวเอกเอง ถ้าเราร่วง คนจะบอกว่าเห็นมั้ยกำกับอย่างเดียวก็ดีแล้ว คำว่าร่วง ผมไม่ได้พูดถึงรายรับ ผมพูดถึงคุณภาพงาน โอเค รายได้ผมอาจจะไม่ถึง 20 ล้านบาท แต่เรื่องของคุณภาพงานผมก็ถือว่าผมไม่อายใครนะ”

“คุณเคยรูดเสาลงไปแบบเขามั้ย?”