พรทิพย์ กิจกำจาย

พรทิพย์ กิจกำจาย

พญาหงส์ที่สง่างามในเทพนิยาย เปรียบเสมือนมังกรที่แทนสัญลักษณ์ประเทศจีนหรือบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ การเกิดมาเป็นเนื้อคู่กันใช้ชีวิตร่วมกัน ดุจดั่งรองเท้าคู่หนึ่ง จะขาดข้างใดข้างหนึ่งนั้นย่อมไม่สมบูรณ์ ความรักก่อเกิดครอบครัวที่อบอุ่น ระหว่างคุณเนรมิตกับ คุณพรทิพย์ กิจกำจาย จึงไม่ใช่เหตุบังเอิญ อุปสรรคคือยาชูกำลัง การทำธุรกิจเล็กๆ ด้วยการขายรองเท้าร่วมกัน ล้มลุกคุกคลาน แทบหมดเนื้อหมดตัว แต่ทว่าความยากจนมันไม่ใช่พันธุกรรมทางดีเอ็นเอที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด การทำงานหนักไม่เคยทำให้ใครเสียชีวิต 

วันนี้ทั้งคู่กลับลุกขึ้นยืนตระหง่าน ชูธงรบ โดดเด่นในชั้นเชิง ประสบความสำเร็จ จากจุดเล็กๆ ที่เรียกว่าศูนย์ สู่สุดยอดกลยุทธ์ทางการตลาด ด้วยการกำหนดแบรนด์ สร้างบริษัท กีโต้ (ประเทศไทย) จำกัด ขยายโรงงาน บิ๊ก สตาร์ หล่อเลี้ยงแรงงานหลายพันชีวิตให้มีงานทำ ผลิตรองเท้านานาชนิด จากแบรนด์ไทยตะลุยไปสู้กับแบรนด์โลก ออกแบบรองเท้าเรืองแสง รองเท้าคีย์บอร์ด ฯลฯ โกยเม็ดเงินเข้าประเทศไทย มากมายมหาศาล เขาฝ่าฝันวิกฤติ เศรษฐกิจ ข้ามขวากหนามความลำบาก มาได้อย่างไร มีเคล็ดลับ มุมมอง วิธีการที่แปลกแตกต่างจากนักธุรกิจท่านอื่นๆ อย่างไร เราลองไปเหินตามหงส์กัน

 

ยึดหัวหาดทำเลทอง 

การทำธุรกิจให้ประสบผลสำเร็จ ต้องทำตนดั่งต้นไม้ยืนต้น ผลิดอก ออกผล มั่นคง แข็งแรง ยิ่งใหญ่ ไม่อย่างนั้นจะเป็นเพียงแค่ไม้ประดับที่ล้มลุกไร้คุณค่า 
แบรนด์ดังของรองเท้ากีโต้จึงโกอินเตอร์เป็นหนึ่งในเอเชีย เป้าหมายทิศทางจะพุ่งชนไปตรงไหน คุณพรทิพย์ กิจกำจาย หญิงแกร่งหัวใจมังกร ขยายคลายความสงสัย 

“เป้าหมายของกีโต้ เราคิดว่าเราต้องการให้ผลิตภัณฑ์นี้เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคไปทั่วโลก เพราะปัจจุบันเราส่งออกไปหลายประเทศ เยอะมาก ก็เป็นที่ต้องการของผู้บริโภคทั่วโลก เราเชื่อมั่นว่าผลิตภัณฑ์ของเราที่ผลิตขึ้นมาด้วยฝีมือของคนไทยสามารถที่จะสู้นานาประเทศได้ อยากจะให้ทั่วโลกยอมรับ ด้วยมาตรฐาน ด้วยคุณภาพ และแบรนด์ไทยของเราที่เราบอกว่าเราเป็นหนึ่งในเอเชียนั้น เราวัดจากสิ่งที่ลูกค้า ผู้บริโภค ให้การตอบรับจากเราได้ดี เพราะเหตุผลหนึ่ง เราไม่เคยหิ้วกระเป๋าออกไปขายยังต่างประเทศ ลูกค้าที่เข้ามาซื้อสินค้าของกีโต้ เขาซื้อไปแล้วถูกใจในคุณภาพและมาตรฐานของเรา แล้วก็เดินกลับมาซื้อใหม่ทุกเดือน ทุกปี 

“ถ้าประเทศเพื่อนบ้านก็จะมี พม่า เวียดนาม ลาว กัมพูชา ฮ่องกง สิงคโปร์ ไต้หวัน ดูไบ ซาอุดิอาระเบีย คูเวต ปากีสถานอินเดีย รัสเซีย ยูเครน และอีกมาก กลุ่มลูกค้าประเทศเหล่านี้จะซื้อต่อเนื่องมาตลอด ทั้งๆ ที่เรายังไม่เคยออกไปเปิดตัวยังต่างประเทศสักครั้ง หรือต้องไปตั้งบูธขาย ต้องมีเซลล์หิ้วกระเป๋าออกไปเช็กออร์เดอร์ทุกวัน ทุกเดือน เรายังไม่เคยทำ นี่คงเป็นตัวการันตีว่าลูกค้านั้นเดินมาหาเราทั้งนั้น รองเท้าที่ออกไปจำนวนมากคือรองเท้าแตะ รองเท้าลำลอง รองเท้ารัดส้น รองเท้าสปอร์ตต่างชาติจะยอมรับสินค้าเราเยอะมาก ด้วยคุณภาพของเรา แน่นอน เรายิ่งทำ ยิ่งดี ยิ่งแข็งแรง ทั้งรูปแบบเราเยอะ สีสันเราให้ฉะนั้นรูปแบบที่ออกมาดี เพราะเรามีดีไซเนอร์อยู่เป็นร้อยคน ลูกค้าที่ตัดสินใจซื้อมาจากรูปแบบที่เราออกแบบโดนใจ ไม่ใช่ลูกค้าหยิบยื่นแบบมาให้เรา แล้วเราผลิตตามลูกค้า เราคือผู้นำเทร็นด์ ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้จริงๆ

“คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะทำมันได้ สมัยดิฉันเป็นเด็ก เกิดมามีชีวิตเหมือนลูกชาวบ้านทั่วไป พ่อแม่ค้าขายของกินทั่วไป เราเป็นลูกสาวคนโต ต้องช่วยพ่อแม่ ทำทั้งงานบ้าน งานค้าขายนอกบ้าน ถือว่าเราเป็นแม่ค้าคนหนึ่ง ตั้งแต่เล็กจนเติบโตขึ้นมา เพราะฉะนั้นในเรื่องของการค้าขาย เราไม่เคยหวั่น ยอมรับว่าเมื่อมาอยู่ในตลาดค้าขายแล้วมันสนุก ตอนนั้นไม่ได้เรียกว่าลำบากมากนัก พอมีพอกินทั่วไป แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะสบาย เพราะเราเป็นพี่คนโตมีน้องๆ อีก 3 คน พ่อแม่ออกไปทำมาหากิน เราก็ต้องดูแลบ้านหรือหากท่านทั้งสองอยู่บ้าน เราก็ออกไปค้าขายแทน 

“จนกระทั่งถึงวัยเรียนหนังสือ ก็ยังช่วยท่านทั้งคู่ทำงาน ความรู้จึงไม่เยอะ เพราะสมัยก่อน พ่อแม่ไม่อยากให้เรียนสูงๆ อยากให้ออกมาช่วยกันค้าขาย ทำมาหากิน ตามความเชื่อของคนจีน อีกทั้งฐานะก็ไม่ค่อยดีพอที่จะส่งดิฉันให้เรียนจบถึงขั้นปริญญาตรี จึงส่งให้เรียนจบแค่ชั้นประถม 7 ทั้งๆ ที่เป็นคนที่เรียนดีคนหนึ่ง ตอนออกจากโรงเรียน ครูที่สอนเขาเสียดายเรา ต้องมาขอร้องพ่อกับแม่ให้ดิฉันเรียนต่อ แต่เราต้องเลี้ยงดูน้องๆ ต้องเสียสละให้น้องๆ ได้เรียน เราออกมาดูแลครอบครัว เราทำได้อยู่แล้ว ไม่มีอะไรที่เหนือบ่ากว่าแรง เวลาเราอยู่ในห้องเรียน เราต้องตั้งใจเรียน กลับมาบ้าน เราก็ต้องมาทำงานบ้าน ออกไปข้างนอก เราต้องออกไปค้าขายด้วย แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันลำบาก มันเหมือนเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของเรา ไม่ต้องฝืนทำ มันจึงออกมาได้ดี”

 

คนกล้าฝัน ฟันฝ่าวิกฤติ

“ตอนที่ออกจากโรงเรียนคราวนั้น ไม่ได้คิดเสียใจ แต่เราเสียดายที่เราไม่ได้เรียนเหมือนเพื่อนๆ เพราะคิดว่าออกมาช่วยพ่อแม่ทำงาน เบาแรงท่านได้ เราทำด้วยความจริงใจและเต็มใจ ตรงนั้นจะมีความสุขมากกว่า ทุกวันนี้ถึงแม้เราจะแต่งงาน ออกเรือนมาแล้ว แต่ก็ยังดูแลพ่อแม่อยู่ เพราะถือว่าเราเป็นพี่คนโต ตราบใดที่ท่านยังอยู่ให้เราดูแล จงดูแลไปเถอะ อย่ารอจนท่านไม่อยู่แล้วสิ่งนั้นมันย้อนเวลากลับคืนมาไม่ได้ 

“ดิฉันมีคู่ครองเป็นเพื่อนที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือด้วยกันที่โรงเรียนบุญเสริมวิทยา หลังจากนั้นโรงเรียนถูกยุบไป จึงย้ายมาเรียนที่โรงเรียนสตรีพัชศิลป์สิงห์เสนีย์ ย่านซอยแม้นศรี จนจบประถมปีที่ 7 หลังจากนั้นก็ช่วยพ่อแม่ทำงาน จนกระทั่งอายุ24 ปี จึงตัดสินใจแต่งงาน ออกเรือนมาอยู่บ้านสามี มาค้าขาย ที่นั่นเขาจะเป็นระบบค้าขายที่ไม่ได้ค้าขายเหมือนที่เราขาย ของสามีขายรองเท้า ตอนนั้นยังไม่ได้ผลิต ยังเป็นระบบซื้อมาขายไป จากนั้นจึงขายส่ง พอขายดี คนที่เราซื้อกับเขา เขาไม่สามารถผลิตให้เราได้ทัน มันจึงเป็นจุดที่ทำให้เราต้องผลิตเอง ด้วยการซื้อเครื่องจักรมา 2-3 ตัว ค่อยๆ เริ่มต้นการผลิตไปเรื่อยๆ ออร์เดอร์เยอะมาก ทำทั้งวันทั้งคืน 

“ตอนนั้นเราใช้ยี่ห้อกิเลน ต่อมาเปลี่ยนมาเป็นยี่ห้ออัพทูเดย์ สาเหตุที่เปลี่ยนยี่ห้อ เวลาขายไป เขาบอกว่ามันไม่ทันสมัย ฟังดูชื่อกิเลนมันเชย จึงต้องมีภาษาต่างประเทศ ก็ยังขายอยู่เรื่อยๆ จากนั้นก็เปลี่ยนมาเป็นกีโต้ ก็ขายมาเรื่อยๆ ผลิตเองขายเอง และยังซื้อของเขาอยู่ จากห้องแถวเล็กๆ 4-5 ห้องเริ่มไม่พอ ก็ย้ายไปอยู่ในเนื้อที่เกือบไร่ ที่เก่าก็ยังอยู่ ที่ใหม่เราก็ซื้อที่เพิ่ม

“กีโต้จึงเป็นที่รู้จักกับผู้บริโภค ทั้งที่ตอนนั้นยังไม่ได้โฆษณา แต่ก็เป็นที่ยอมรับของผู้ใช้จริงๆ ร้านค้าก็มีการตอบสนองที่ดี ไลน์ผลิตเริ่มใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ จากพื้นที่ไม่ถึง 1 ไร่ก็ขยายโรงงานไปถึง 12 ไร่ จากนั้นจึงขยายไลน์ผลิตขึ้นมา เพราะว่าเราได้ที่ปรึกษามาท่านหนึ่ง ท่านแนะนำให้เราตั้งไลน์เยอะๆ แต่ถามว่าตรงนั้นประสบความสำเร็จหรือไม่ คำตอบคือไม่ พูดง่ายๆ คือการถูกหลอก เขาเห็นครอบครัวของสามีเป็นคนซื่อ มีพี่น้องหลายคน ทุกคนต่างก้มหน้าก้มตาทำงาน ไม่เคยมองฟ้ามองดิน ก้มหน้าก้มตาหาเงินอย่างเดียว เพราะเป็นระบบครอบครัวแบบกงสี 

“เขาเห็นครอบครัวเราซื่อ จึงมาบอกให้เราตั้งโน่นตั้งนี่ บอกว่ามีออร์เดอร์เยอะแยะ ตอนนั้นมีเงินเป็นของตัวเองอยู่ก้อนหนึ่ง จึงตัดสินใจนำเงินไปลงทุนจนหมดตัวเลย ด้วยการสั่งนำเข้า ซื้อเครื่องจักรจากอิตาลี จากเกาหลี สมัยเปิดโรงงานใหม่ๆ เรายังผลิตวัตถุดิบไม่ได้ ต้องสั่งวัตถุดิบจากเกาหลีเข้ามา เป็นยางแผ่นแบบชีท สั่งเข้ามากว่า 100 ตู้คอนเทนเนอร์ จนโรงงานไม่มีที่ไว้ ต้องนำออกมาวางไว้หน้าโรงงาน ทุกอย่างเขาบอกให้เราทำ เราก็ทำ เพราะเราไม่มีประสบการณ์ เราก็ทำตามที่เขาบอก เงินทองที่มีก็ลงทุนทุ่มไปจนแทบจะหมดตัว ตอนนั้นการผลิตไม่ออก เพราะสิ่งที่เขาวางไว้ มันไม่ใช่ของจริงที่จะทำได้ และตอนที่เปิดโรงงานใหม่ๆ มันไม่สามารถทำได้ขนาดนั้น มันต้องค่อยเป็นค่อยไป ตอนนั้นครอบครัวทุกคนค่อนข้างแย่พอสมควร ทุนที่มีแทบจะหมด

“วิกฤติตอนนั้นเป็นช่วงปี 2530 พี่น้องก็ต้องมาประชุมงานกัน กัดฟันว่าจะทำอย่างไรต่อไป เราไม่ยกเลิกความคิด เราต้องช่วยกันลุย จากการที่ไม่เคยเปิดโรงงานเลย ทุกๆ คนต้องลงไปทุ่มเต็มตัว ค่อยๆ ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย จนกระทั่งดีขึ้น ตอนนั้นรู้สึกท้อแท้ เหนื่อยหน่าย มองเห็นอะไรหลายอย่างที่มันไม่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินได้ ที่ฟันฝ่าวิกฤติออกมาได้ คือความสามัคคีของพี่น้องของสามี สามีมีพี่น้องหลายคน พวกเขารักกันมาก เขามีความสามัคคี ทำอะไรก็จะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน 

“คุณพ่อคุณแม่ของสามีก็เป็นกำลังใจมาตลอด สมัยก่อนครอบครัวสามีลำบากกว่าครอบครัวของดิฉัน ดิฉันรู้จักกับสามี มาตั้งแต่เรียนประถมหนึ่งด้วยกัน ครอบครัวเขาสามัคคีกัน ร่วมกันทำ ไม่มีใครเอาเปรียบใคร ไม่มีใครถอย ลงแรงหนักเท่ากัน เหนื่อยเท่ากัน มันจึงฝ่าฟันวิกฤติตรงนั้นขึ้นมาได้เรื่อยๆ ที่สำคัญเราได้ลูกน้องที่ดี เขาก็เห็นใจเรา ปัจจุบันนี้เขาก็ยังอยู่ด้วยกันกับเรา จากการย้ำผืนแผ่นดินที่เฉอะแฉะ จนทุกวันนี้ได้โรงงานมาใหญ่โต สวยหรู ทุกคนต่างก็ภูมิใจที่พวกเราก้าวมาด้วยกัน สิ่งที่สำคัญคือเราต้องรู้จักสถานการณ์ รู้จักตัวเอง ประมาณตัวเอง ปรับให้มันเข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันให้ได้ 

“วิกฤติช่วงนั้น เวลาปีใหม่ ตรุษจีน สงกรานต์ ลูกก็ยังเล็กๆ พอวันหยุด สามีก็จะพาลูกไปเดินตามห้างสรรพสินค้า ถามว่าเรามีความสุขไหม เรารู้สึกว่าใจมันเหมือนกลัดหนอง เพราะเงินทองในกระเป๋ามันไม่มี ยิ้มไม่เต็มที่ เพราะข้างในมันยังลำบากอยู่ ตรงนั้นมันเจ็บปวด เราเตือนตัวเองตลอดว่า เราต้องเข้มแข็งและจะไม่แสดงให้ลูกๆ ได้รับรู้ เพื่อให้เขารู้ว่าเขากำลังมีความสุข ทั้งที่เราไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เราก็ประคับประคอง เลี้ยงลูกๆ มาจนเป็นหนุ่มเป็นสาว 

“จากประสบการณ์ครั้งนั้น มันทำให้เราเข้มแข็ง พอปี 2540 วิกฤติเศรษฐกิจฟองสบู่แตก บริษัทอื่นเขาโดนพิษเศรษฐกิจเล่นงานล้มเป็นแถวๆ แต่เราไม่โดน เพราะว่าเรามีการส่งออกอย่างต่อเนื่อง สินค้าที่เราส่งออกไปนำเงินดอลลาร์ยูเอสเข้ามา ตอนนั้นดอลลาร์ละ 25 บาท ถีบตัวสูงขึ้น 40 เกือบ 50 บาท เราคิดว่าเรามีส่วนกำไรจากตรงนั้นมากกว่า เพราะเราทำส่งออก เรานำสินค้าเข้ามา เราจึงประสบผลสำเร็จจากตรงนั้นพอสมควร เรากลับได้อานิสงส์จากพิษเศรษฐกิจปี 2540 เราผ่านจุดนั้นมาได้ มันทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น ปัญหาอะไรที่เข้ามาก็เหมือนเป็นเรื่องปรกติทั่วไป เราสามารถแก้ไขผ่านมันไปได้ด้วยดี”

 

คิดดี ทำดี มีคุณธรรม 

“ดิฉันมองว่าธุรกิจรองเท้าที่ทำอยู่ทุกวันนี้ ไม่ค่อยมีพันธมิตรสักเท่าไร ต่างคนต่างทำ จะไม่มาจับมือกันว่าควรขายราคาเท่าไรต่างคนต่างตั้งราคาขายกันเอง คนไหนคิดว่าลูกค้าต้องการอะไร ก็ต้องทำตามสิ่งที่ลูกค้าต้องการ ตลาดสินค้ารองเท้ามีการแข่งขันกันมากทุกปี มันไม่มีเราหนึ่งเดียวในธุรกิจ มันมี 1-2-3-4 ที่เรายืนอยู่ได้เพราะเรามีความจริงใจให้กับลูกค้า เรามีความตั้งใจในการผลิตสินค้า เราไม่เอาเปรียบผู้บริโภค ราคายุติธรรม คุ้มค่า 

“หากจะมองทิศทางธุรกิจรองเท้าในปัจจุบัน เราก็ต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อที่จะสู้กับวิกฤติในอนาคต เพราะว่ายิ่งขาย ก็ต้องยิ่งลำบากมากขึ้น เมื่อวัตถุดิบขึ้นราคา เมื่อก่อนยางดิบกิโลกรัมละ 20-30 ต่อมาขึ้นมา 40-50 บาท ปัจจุบันขึ้นมาเกือบจะ 200บาท ในการสั่งนำเข้า แต่ก็เป็นบางส่วน โดยเฉพาะเคมีบางส่วน เพราะเราเริ่มทำตั้งแต่ต้นน้ำ ยันไปเป็นรองเท้า ยกตัวอย่าง เราซื้อเคมีเข้ามา แปลงเป็นแผ่นชีท แปลงเป็นโมล หรืออะไรก็ตาม เราทำเองทุกอย่าง เราซื้อจากข้างนอกน้อยมาก เราผลิตเองได้มากกว่าสั่งนำเข้า 

“ตอนนี้บริษัท กีโต้ (ประเทศไทย) จำกัด เรามีอยู่ 2 โรงงาน โรงงานที่นี่มีอยู่ 1,300 คน อีกโรงงานหนึ่งชื่อ บริษัท บิ๊กสตาร์ มีพนักงาน 3,000 กว่าคน จะผลิตสินค้าส่งมายังบริษัทกีโต้ ผลิตขายบริษัทแกมโบล และผลิตส่งออกด้วย บริษัทกีโต้ก็จะผลิตผลิตภัณฑ์ของกีโต้และส่งออกไปด้วย บริษัทเติบโตมาได้ทุกวันนี้ หลักอยู่ที่เรา คิดดี ทำดี มีคุณธรรมในจิตใจ เชื่อว่าจะต้องมีสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต หรืออยู่รอบๆ ตัวเรา มีบริวารที่ดี มีลูกค้าที่ดี สิ่งนี้จึงเพียงพอสำหรับเราได้ระดับหนึ่ง ถ้าเราผลิตสินค้าออกมาแล้ว ลูกค้าไม่ดี ไม่ตอบรับ มันก็ไม่ประสบผลสำเร็จ เราสนใจลูกค้า ใส่ใจลูกค้า เขาต้องการสินค้าของเรา ต้องการผลิตภัณฑ์ของเรา เราต้องบริการเขาเต็มที่ ไม่ต้องรอให้ลูกค้ารอเรานาน เพราะเราดูแลใกล้ชิดกับลูกน้อง ทุกวันนี้เวลาทำงาน ด้วยความใกล้ชิดกับลูกน้อง จึงทำให้เรารู้ว่าลูกค้าต้องการอะไร เราจึงตอบสนองในสิ่งลูกค้าต้องการ ได้ทันเวลา ลูกค้าจึงพอใจ ยินดีซื้อสินค้าเราตลอดเวลา ทำให้เราประสบผลสำเร็จได้ระดับหนึ่ง 

“สมัยนี้ถ้าผู้ผลิตมัวแต่ยึกยัก ชักช้า ไม่มีใครเขามานั่งรอเราหรอก นอกจากคิดดี ทำดี มีคุณธรรมแล้ว เราต้องกล้าตัดสินใจที่รวดเร็วด้วย สไตล์การทำงานของดิฉัน ไม่ชอบทำอะไรที่มันชักช้า เชื่องช้า ถ้าเราเป็นอย่างนั้น คนอื่นก็จะคว้าโอกาสเราไปหมดแล้วยิ่งสถานการณ์ตอนนี้ มันช้าไม่ได้ การตัดสินใจเร็วของเรา อาจจะมีข้อผิดพลาดบ้าง แต่มันไม่ใหญ่โตอะไร สิ่งไหนที่ทำแล้วดี เราก็บอกต่อเพื่อให้ลูกน้องเราทำต่อ มันก็จะประสบผลสำเร็จต่อเนื่อง สิ่งไหนไม่ดี เราก็ต้องรีบบอกต่อเหมือนกัน ให้เขาหยุดทำ จะได้ไม่ผิดซ้ำซาก จากสิ่งที่เราเคยทำมาแล้ว 

“เราเป็นผู้บริหารในนั้น จะผิดหรือถูก เราก็มีส่วนร่วม ในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตอีกอย่างหนึ่งคือการกตัญญูรู้คุณคุณพ่อคุณแม่ที่ให้กำเนิดเรามา เมื่อก่อนบ้านอยู่ไกล เราไม่สามารถไปหาท่านได้ทุกวัน แต่ก็ต้องพยายามไปให้ได้ ส่วนมากจะพาท่านทั้งสองไปทานอาหารอาทิตย์ละครั้ง หรือท่านอยากได้อะไร เราก็พาไปซื้อ เมื่อท่านไม่สบาย พอเราทราบก็ต้องรีบพาท่านไปหาหมอ ถึงแม้จะอยู่ไกล เราก็ต้องรีบไป เพราะเราถือว่าเราเป็นพี่คนโต แม้น้องๆ จะอยู่ใกล้กว่าเรา แต่เขาไม่สะดวกเท่าเรา เราก็ต้องดูแลท่านให้ดีที่สุด ปัจจุบันซื้อบ้านให้ท่านอยู่เข้ามาใกล้ๆ หน่อย จึงได้เจอท่านบ่อยขึ้น ปรนนิบัติเหมือนเดิม พาท่านไปทานข้าว ไปซื้อของและดูแลสุภาพท่าน 

“ดิฉันคิดว่าสิ่งที่เราทำ มันเป็นสิ่งที่ตอบสนองกลับมายังเรา ลูกๆ ทุกคนของดิฉันจึงเป็นคนดี พวกเขาไม่เคยสร้างความหนักใจอะไรเลย ไม่ว่าจะเป็นการเรียน ทุกคนตั้งใจเรียนหนังสือหมด เรียนจบ เขาก็หาการหางานของเขาทำเอง เราเป็นเพียงคนคอยปรึกษาเท่านั้น เราไม่เคยเอาลูกไปฝากบริษัทโน้น บริษัทนี้ เขาจะไขว่คว้าทำเองตลอด เราดีใจ เราได้คู่ชีวิตที่ดี เป็นคนดี ดูแลครอบครัว ทำให้ครอบครัว อยู่ดีกินดี ถึงแม้เราจะทำงานเหนื่อยอย่างไร เราก็มีความสุข สิ่งที่ตอบสนองกลับมา แค่นี้เราก็พอใจแล้ว”

วันนี้....ฉันจะรักเธอมากกว่าเมื่อวาน

“ในช่วงเทศกาล ปีใหม่ ตรุษจีน สงกรานต์ พวกเราก็จะได้ไปพักผ่อนกับครอบครัว ส่วนมากจะไปต่างประเทศมากกว่า เมืองไทยอากาศร้อน จึงอยากไปหาอะไรที่เย็นๆ มีพ่อแม่ลูก 7 คน ไปเที่ยวราวๆ 10 วัน เป็นการให้รางวัลกับชีวิต โดยปกติเวลาทำงานเมื่อหมดภารกิจ เลิกทำงานก็จะกลับบ้าน จะทานข้าวที่บ้านพร้อมหน้าพร้อมตา จากนั้นก็จะเข้าห้องดูทีวี ซึ่งเราทำแบบนี้ทุกวันสามีเองก็จะอยู่กับเราอย่างนี้ตลอดเวลา จึงสบายใจได้ว่าเขาไม่ได้ออกนอกลู่นอกทาง นี่คือสิ่งที่เรียกว่าโชคดีสำหรับชีวิตคู่

“ดิฉันค่อนข้างโชคดีในเรื่องลูกๆ เพราะตั้งแต่พวกเขายังเล็กๆ เราไม่มีเวลาที่จะเลี้ยงลูก พอลูกออกมา เราก็จะจ้างคนเขาเลี้ยงลูกคนแรก เราจะเลี้ยงดูเอง คนที่ 2-5 จ้างเขาเลี้ยงหมดเลย แต่คนเลี้ยงเป็นญาติ เราจึงถือว่าโชคดีอีกชั้นหนึ่งที่มีญาติมาคอยเลี้ยง เลี้ยงจนกระทั่งพวกเขาโตเข้าโรงเรียนอนุบาล จึงกลับมากินอยู่หลับนอนกับเราเหมือนเดิม ลูกๆ ทุกคนเป็นเด็กดี เขาไม่เคยทำอะไรให้พ่อแม่ต้องหนักใจตั้งแต่เล็กจนโต 

“ถึงแม้เราจะไม่มีเวลาให้เขามากนัก แต่ทุกคนก็เป็นเด็กที่เข้าใจพ่อกับแม่ ไม่เคยเกเรทั้งลูกชายและลูกสาว เชื่อไหมดิฉันไม่เคยกวดลูกเลย (หัวเราะ) เพราะเราไม่มีเวลาตรงนั้น ตรงนี้แหละที่ต้องบอกว่าเสียใจ ที่เราไม่มีเวลาให้เขาตั้งแต่เล็ก จนโต มันก็เลยเป็นสิ่งหนึ่งที่คาใจ ที่เราไม่ได้ทำตรงนี้กับเขา พอโตขึ้นมาจะมากอดเขา มันก็ไม่ใช่ ถ้าสิ่งนี้เราทำให้กับเขาตั้งแต่เล็กๆ มันก็จะทำได้ตลอด ตั้งแต่เล็กจนกระทั่งโต ก็ยังทำได้เหมือนเดิม ถ้าวันนี้ย้อนกลับไปทำได้ ต้องทำ เราต้องกอดเขาแน่นอนค่ะ(หัวเราะ) 

“มีอยู่ครั้งหนึ่ง วันนั้นเป็นวันแม่ คุณครูก็จะให้คุณแม่ไปรับพวงมาลัยกับลูกที่โรงเรียน ซึ่งลูกได้เตรียมมาให้แม่ มันเป็นสิ่งที่เราจำไว้ในใจตลอดเลยว่า ลูกเขาต้องการความรัก ณ วันนี้ วันที่ลูกมอบพวงมาลัย เราก็บรรจงกอดลูกตรงนั้น น้ำตาดิฉันซึมเลย เพราะมันเป็นสิ่งที่เราไม่เคยทำมาเลย 

 

วันชื่น คืนสุข บุกตลาด 

“หนึ่งอาทิตย์ มีเพียงแค่หนึ่งวัน มีวันเดียวที่ว่างคือ วันอาทิตย์ เพราะดิฉันทำงานตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันเสาร์ วันอาทิตย์เราก็จะแบ่งเวลา ตื่นเช้าขึ้นมาทำภารกิจส่วนตัว ดูแลครอบครัว ครึ่งวันหลังต้องมีเวลาให้กับพ่อกับแม่ เราก็จะเดินทางไปหาท่าน มีเวลาให้กับท่านครึ่งวัน อีกครึ่งวันก็ต้องกลับมามีเวลาให้กับครอบครัว สมัยที่เขายังเด็กๆ เราก็ต้องพาพวกเขาไปเที่ยวห้าง ไปซื้อของ ก็จะเป็นแบบนี้ทุกอาทิตย์ ปัจจุบันเด็กพวกนี้โตหมดแล้ว พวกเขาก็จะไปกับแฟน ไปกับเพื่อนๆ สุดท้ายเราก็จะไปเที่ยวกับสามีภรรยากันสองคน ก็จะเป็นแบบนี้ทุกอาทิตย์

“บางอาทิตย์ ดิฉันก็จะไปหาเพื่อนฝูงในแวดวงนักธุรกิจบ้าง จะไปแลกเปลี่ยนความคิด นั่งคุยเฮฮากันบ้าง จะไม่ไปตีกอล์ฟ จะเป็นครอบครัวสบายๆ แบบง่ายๆ ซึ่งสามีก็จะเป็นอย่างดิฉัน จะไปไหนเราก็จะไปด้วยกันตลอด เหมือนกับเพื่อนคู่คิด ไปคนเดียวมันจะรู้สึกแปลกๆ มีอะไรก็จะช่วยกันคิด เราทำอย่างนี้มาตั้งแต่อายุ 24 ปี ตอนนี้ใช้ชีวิตร่วมกันมาร่วม 30 ปี เราก็ยังทำอย่างนี้” 

 

เจาะแผนโพรโมชั่น ผ่าทิศทางเศรษฐกิจ

“อย่างรองเท้าคีย์บอร์ดมันเป็นไอเดียของดีซายเน่อร์ร่วมกับของเราด้วยบวกกันว่าสมัยนี้ในด้านของไอที มันเป็นอะไรที่ขาดกันไม่ได้ แม้กระทั่งรองเท้าแตะ (หัวเราะ) จึงหยิบประโยชน์จากตรงนั้น ขึ้นมาพัฒนาเป็นรองเท้าคีย์บอร์ดของเรา ก็เป็นสิ่งที่ได้รับการตอบสนองจากลูกค้าดีมาก เอกลักษณ์พิเศษของรองเท้าคีย์บอร์ดคือมันมีตุ่มกระตุ้นเหมือนมานวดฝ่าเท้า กีโต้คีย์บอร์ดช่วงแรกๆที่โฆษณาออกมา บางทีคนยังงงไม่ทราบว่าเป็นรองเท้า เขาเข้าใจว่ามันคือคีย์บอร์ด จนเราต้องลงตอกย้ำไปเรื่อยๆ ว่ามันคือรองเท้านะ (หัวเราะ) 

“เศรษฐกิจโดยภาพรวมในปีนี้ของบ้านเรา โดยเฉพาะในด้านรองเท้าที่ทำอยู่ต้องโตขึ้น เพราะเป้าหมายที่เราตั้งไว้โตทุกปี ไม่มีปีไหนที่เตี้ยลง บางครั้ง เราตั้งเป้าไว้เลยว่าปีนี้ไม่ต่ำกว่า 50% จนกระทั่งผู้บริหารและลูกน้องหลายคนมาบอกว่ามันจะเป็นไปได้หรือ ดิฉันบอกกับเขาไปว่ามันเป็นไปได้ คุณก็กล้าๆ ตั้งให้ดิฉันหน่อย แล้วเราก็มาสู้กับมัน เราเกาะติดสถานการณ์ไปเรื่อยๆสุดท้ายก็ประสบผลสำเร็จ เมื่อปิดตัวเลข ผู้บริหารท่านนั้นก็กลับมาบอกว่าคิดไม่ถึงว่ามันจะเป็นไปได้ เพราะเขาเคยบริหารธุรกิจอย่างอื่นมา การตั้งเป้าเต็มที่ก็แค่เพียง 20% ต่อปี แต่ดิฉันกล้าที่จะบอกว่าตั้งไปเลย 50% 

“สิ่งไหนที่เราตั้งใจไว้ โตแน่นอน โดยเฉพาะภาครัฐบาล เราก็คาดหวังว่าจะให้เขาช่วย อย่างเช่น บางทีประเทศที่เขาชอบก็อปปี้สินค้าของเรา ดิฉันเดินไปตลาดไหนในต่างประเทศ ก็จะเห็นรองเท้าที่เขาก็อปปี้ของเราวางอยู่ เมื่อดูแล้ว เห็นชัดเจนว่า คุณภาพแย่สุดๆ แถมยังตีตราเมดอินไทยแลนด์ตามเราไปด้วย นั่นคือสิ่งที่เราอยากให้รัฐบาลใส่ใจในธุรกิจเราหน่อยว่าถ้าเมดอินไทยแลนด์ประทับตราอยู่ มันต้องมาจากเมืองไทยจริงๆ ดิฉันมองไปถึงภาพลักษณ์ของประเทศไทย เพราะมันไม่ใช่แค่คุณภาพเรา 

“ทิศทางเศรษฐกิจในอนาคตข้างหน้า ภาพรวมธุรกิจที่แย่ลงก็มี อย่างเช่น การ์เมนท์โดนหนักแน่ เพราะว่าการ์เมนท์ เขาทำกันเกลื่อนมาก ปัจจุบันนี้จะมีปัญหาเรื่องเส้นด้าย สิ่งทอ ซึ่งราคามันพุ่งขึ้นสูงมาก ต้องเห็นใจคนที่ทำการ์เมนท์จะอยู่ไม่ได้ มันจะลำบาก คนหนึ่งมองเป็นวิกฤติ แต่อีกคนหนึ่งมองเป็นโอกาส อย่างเรา เราคิดว่าไปได้ดี ด้วยศักยภาพ ด้วยกำลังที่เรามีอยู่ทั้งหมดพนักงานทุกคน ทุ่มเทให้กับบริษัทเต็มที่ เราเชื่อว่าเราต้องโตขึ้นแน่นอน” 

ขุนศึกผู้ยิ่งใหญ่ ย่อมมีขุนพลเคียงข้างกายยามออกรบ