อรุโณทัย สมสกุล

อรุโณทัย สมสกุล

คำบูชาองค์เทพภูษิตาภรณ์ เรียงร้อยถ้อยบรรจง โดย อาจารย์อรุโณทัย สมสกุล ลอยลมมาจับจิต เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ผู้ทำงานศิลปะด้านแฟชั่นทุกคนได้บูชา คราจัดประกวดออกแบบ “เครื่องทรงเครื่องเทพแห่งศิลปะศาสตร์แฟชั่น” พร้อมถวายพระนามว่า “องค์เทพภูษิตาภรณ์ เทวี-เทวา” ความรู้ ความเข้าใจด้านเทพ ผลงาน แนวคิด มุมมอง เทคนิค การบรรยาย เรื่องราวภาษาโบราณ อันเข้มขลัง นำไปสู่โลกส่วนตัวของศิลปินอย่างแท้จริง

คุณค่าของศิลปกรรมมิได้ถูกประเมินด้วยอารมณ์สุนทรีและความงามเพียงด้านเดียว ทว่าในเวลาเดียวกัน ผลงานเหล่านี้ย่อมสะท้อนทัศนะ ปรัชญาความคิดของศิลปินที่เขามีต่อความเชื่อ ความศรัทธา สังคม สิ่งแวดล้อมและประสบการณ์ส่วนตัวที่สั่งสมมาเมื่อนำมาถ่ายทอดลงบนเฟรมจึงมีคุณค่าทางศิลปะ ศิลปินระดับแนวหน้าด้านจิตรกรรมที่มีชื่อเสียงทั้งในประเทศและต่างประเทศดั่งอาจารย์อรุโณทัย สมสกุล ในแวดวงศิลปะบ้านเรา ฝีไม้ลายมือของท่านย่อมเป็นที่รู้จักในฐานะศิลปินรุ่นกลาง นักสะสมคุณค่าความวิจิตร คงความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เฉกเช่นงานสร้างสรรค์ของอาจารย์จักรพันธุ์ โปษยกฤต และอาจารย์เฉลิมชัยโฆษิตพิพัฒน์ ปราชญ์ปฐพีนี้

เทือกเถาเหล่ากอของอาจารย์อรุโณทัย สมกุล นั้น คุณแม่มาจากครอบครัวคริสเตียนเชื้อสายโปรตุเกส สมัยพระนครศรีอยุธยาเป็นราชธานี ตระกูลคุณพ่อมาจากเชื้อสายมอญโบราณ คุณปู่เป็นมหาดเล็กในวังหลวง คุณพ่อกับคุณแม่ เป็นศิลปินทั้งคู่ เคยสอนที่โรงเรียนเพาะช่าง บ่มเพาะศิลปะ วรรณกรรม โบราณคดีต่างๆ นานาให้กับเขาตั้งแต่เยาว์วัย และได้ส่งท่านไปเรียนชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนพญาไท

จากนั้นไปศึกษาต่อชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ที่โรงเรียนวัดสระเกศ ในวัย 12 ปี ก็ฉายแววอัจฉริยะ ขณะกำลังเรียนวิชาพีชคณิตเรขาคณิต ตรีโกณมิติ ก็สร้างความตะลึงให้กับครูและนักเรียนทั้งโรงเรียน เมื่อสามารถเขียนศาสตร์ชั้นสูงเกี่ยวกับเอกภพจักรวาลดวงดาว สุริยะจักรวาล บ่งบอกถึงหมู่เกาะ ลำธาร ขั้วโลก ทะเล วิวัฒนาการของมนุษย์ ลักษณะภูมิทัศน์ อันแฝงไปด้วยปรัชญาขึ้นมาและสร้างเป็นกราฟ ทั้งๆ ที่ยังเด็ก ไม่เคยศึกษาโบราณคดีมาก่อน ดังเกิดขึ้นมาเองโดยที่ไม่รู้ตัว 

“หลังจากจบที่วัดสระเกศ ผมก็สอบเข้าเรียนที่โรงเรียนเพาะช่าง ได้อันดับ 1 เรียนสายครูจิตวิทยา รุ่นเดียวกับ เสถียร รักแช่มรุ่นน้องอาจารย์ปัญญา เพชรชู 1 ปี ตอนนี้อาจารย์ปัญญาเกษียณแล้ว ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยคบเพื่อนหรือเข้าสังคมเท่าไรนัก ชีวิตของผมชอบสันโดษ มันคิดอะไรได้เยอะกว่า มีความเป็นตัวของตัวเอง จากนั้นจึงไปศึกษาระดับปริญญาตรีด้านศิลปกรรมที่ประเทศสหรัฐอเมริกาจนจบ”

ท่องแดนสนธยาป่าช้าวัดสระเกศ

“งานที่ผมสร้างสรรค์ คนมักชอบ ยิ่งชาวต่างประเทศมาเห็นก็จะชื่นชอบมากว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร เขาพากันสงสัย และสนใจภาพที่ผมวาด สมัยนั้นรอบๆ วัดสระเกศเป็นป่าช้า มีอาคารโบราณเก่าชื่อ ศรียาภัย ผมเข้าไปศึกษารูปแบบสถาปัตยกรรมลักษณะห้องหับต่างๆ เดินบนบันไดวน ทะลุห้องโน้นห้องนี้เป็นที่เพลิดเพลิน แล้วเรื่องราวของสุสานวัดสระเกศ มันเกี่ยวกันกับเรื่องทางจิตวิญญาณ มันก็ทำให้ผมฉลาดขึ้น เรียนเก่งขึ้น ชีวิตดีขึ้น ทั้งๆ ที่ผมอยากจะเป็นนักโบราณคดี แต่ต้องมาเรียนศิลปะที่โรงเรียนเพาะช่าง ตอนนั้นอาจารย์จิตต์ (ประกิต) บัวบุศย์ อาจารย์เฉลิม นาคีรักษ์ เป็นครู สอนคุณพ่อกับคุณแม่ผม

“เรื่องทางจิตวิญญาณนั้นสำคัญ มันมีอิทธิพลดลใจให้ชีวิตเราดีขึ้น ทั้งๆ ที่ผมไม่รู้จักวิธีฝึกกรรมฐาน จะฝึกอย่างไรในความเป็นเด็ก ผลอันนั้นมันสะท้อนกลับมาทำให้เราสร้างงานอะไรที่มันแปลกหูแปลกตาเกินที่คนอื่นจะคิด โดยไม่ได้เจตนาที่จะแปลกกว่าคนอื่น เมื่อจบเพาะช่างผมก็ไปเรียนต่อคณะจิตรกรรมที่สหรัฐอเมริกา เขาสอนศิลปะสากลทั้งหมด ผมทำได้ดีทุกอัน ได้คะแนนสูงๆ ทั้งนั้น ครูอเมริกากับครูยุโรปจะสอนต่างระบบกัน ของยุโรปจะสอนแบบอคาเดมิค สอนให้เป็นทายาทของศิลปินรุ่นก่อนๆแต่ครูอเมริกาเขาสอนให้เป็นตัวของเราเอง ถ้าทำไม่ได้ ไม่เป็นตัวของเราเอง ก็เลิกทำ ให้ไปประกอบอาชีพอื่น

“ฉะนั้นคนที่เรียนจบศิลปกรรมจากอเมริกาหลายคนเมื่อมาทำอาชีพนี้ ก็มักจะประสบผลสำเร็จ สมัยนั้นจะมีกลุ่มแม่บ้านที่เข้าไปเรียนหาประสบการณ์ ทำงานศิลปกรรมของตัวเอง คล้ายเมืองไทยที่ไปเรียน เขียนถ้วย เขียนชาม มีครูไปสอนตามบ้าน หรือเรียนตามบ้านครู แต่ผลของมันไม่เหมือนกัน

“ตอนหลังครูใหญ่ เขาเรียกผมไปพบเพราะว่าอากัปกิริยาของเรา เวลาเผลอเราก็ยกมือไหว้ครูฝรั่ง เพราะติดนิสัยไหว้”ครูตอนอยู่เมืองไทย เขาก็ว่ามันแปลก เวลาครูพูด เราตั้งใจฟัง ไม่เคยเถียง เขาว่าเรามีตัวตนของเราอยู่ข้างใน ศิลปะที่เรียนมา เขาเรียกว่าศิลปะสากล แต่คุณต้องรักษาตัวตนคุณไว้ ไม่ต้องคำนึงว่าเหมือนหรือไม่เหมือน ใช่หรือไม่ใช่ คุณทำขึ้นมาแล้ว คุณจะมีชื่อเสียงที่สุด เพราะเขาเห็นงานผม งานผมมันท็อป แล้วติดบอร์ดเกือบทุกชิ้น เป็นงานศิลปะที่แปลกตา ติดบอร์ดทีหนึ่ง นักเรียนทั้งคณะในมหาวิทยาลัยมายืนดูกันเหมือนดูหนัง ดูดารา

“เวลาครูสอนหนังสือ มันเหมือนมีเทวดามาดลใจให้เรียน อย่างที่ผมบอกว่าสมัยเรียนมัธยมที่โรงเรียนวัดสระเกศ ผมชอบไปเดินตามสุสาน ภายในวัดสระเกศ ในนั้นจะเป็นสุสานโบราณ น่ากลัวมาก แถวๆ ประปาแม้นศรี ที่ตอนหลังเขาย้ายไปอยู่แถวสามเสนรอบๆ ภูเขาทองสมัยก่อน เขาไม่ได้เป็นที่ทิ้งศพ แต่เขาจะอุทิศร่างกายเพื่อเป็นทานครั้งสุดท้ายในความมีชีวิต เขาอุทิศร่างกายแทนที่จะเน่าเปื่อยไปเปล่าๆ เขาก็อุทิศให้ แร้ง กา จิกกิน ถือว่าเป็นทานครั้งสุดท้ายของชีวิตเขา เขาเชื่อว่าในชาติหน้า ทุกคนที่อุทิศร่างกายจะเกิดมาก็จะร่ำรวย จะเป็นคนมีทรัพย์ทั้งนั้น จึงเอาร่างไปทิ้งไว้ที่รอบๆ ภูเขาทองภายในวัดสระเกศ

“วัดสระเกศ ตอนกลางคืน วังเวง เงียบสงบ เย็นเยือก แต่เมื่อผมไป มันเหมือนมีคนอยู่กันเยอะแยะ มีเสียงคนเดิน เสียงคนพูดเสียงคนกำลังทำงานกันอยู่ มันเป็นเสียง ไม่ใช่วิญญาณ ทุกคนต้องมีวิญญาณถึงจะรู้ ถ้าไม่มีวิญญาณก็ไม่รู้ เมื่อไม่รู้ก็ไม่มีปัญญามาถึงที่นั่น ผมก็เดินไปดูศพบรรจุใหม่ๆ ปูนซีเมนต์ที่โบกไว้ยังไม่แห้งเลย 

“ความคิดมันจะเกิดขึ้นมาเอง ผมก็ยกมือไหว้เขา แล้วพูดกับเขาว่า ‘ขอให้ท่านเกิดใหม่ เกิดดีกว่าเดิม’ บางครั้งก็บอกว่า ‘ตาจ๋ายายจ๋า เป็นน้า เป็นน้องหรือเปล่าก็ไม่รู้ ขอให้น้าไปเกิดใหม่ น้องไปเกิดใหม่ เอาดีๆ อยากเกิดที่ไหนก็เอาให้ดีๆ’ จากนั้นผมก็เดินจากไป ปรากฏกลิ่นธูปที่ลอยลมมากลายเป็นกลิ่นหอมของดอกมะลิ มันแปลกมาก”

กลั่นจากใจ...อรุโณทัยสไตล์

จากการกวาดสายตาสังเกตรอบๆ ภายในแกลเลอรี่ ที่ทำงานของอาจารย์อรุโณทัยจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มหาเทพทั้งหลายไว้บูชา โดยเฉพาะประติมากรรมแกะสลักองค์ พระพิฆเนศวร บนเฟรมจะมีบทสวดพระวิษณุกรรม ราวกับสวดไปเขียนภาพไปดั่งต้องมนต์ตราท่านขยายความต่อว่า 

“พระวิษณุกรรมเป็นปางหนึ่งของพระวิษณุ ปางนั้นชื่อวิษณุกรรมบารมี เทพแห่งศิลปะศาสตร์ พระคณปติเป็นเทพเจ้าแห่งการขจัดข้อขัดข้อง ตอนหลังเขานำมารวมกัน ตั้งแต่โบราณจะนับถือพระวิษณุกรรม อย่างประเทศกัมพูชาเขาจะนับถือพระวิษณุกรรม เป็นเทพเจ้าศิลปศาสตร์อยู่ แต่พระคเณศวร ผมเห็นที่ประเทศกัมพูชาก็มีบ้าง แต่พระวิษณุกรรมจะเป็นใหญ่ ผมจะสะสมบูชาพระคณปติไว้หลายองค์

“คนรุ่นใหม่บางคน อาจจะยังไม่รู้จักตัวตนของผมว่าศิลปะของผมเช่นนี้คืออะไร เพราะรูปมันอยู่ในจิตของเราเอง รูปภาพแบบอรุโณทัยสไตล์ มันอยู่ในจิตของเราเอง ผมชอบดูของโบราณตั้งแต่อายุ 3-4 ขวบ คุณพ่อคุณแม่ก็จะหาหนังสือประวัติศาสตร์โบราณคดี รูปภาพต่างๆ มาให้อ่าน เมื่อดูมันก็จะจำมาเรื่อยๆ ฉะนั้นแรงบันดาลใจของผมจึงมาจากทั้งคุณพ่อ และคุณแม่ เพราะท่านเป็นทั้งศิลปินและเป็นครูทั้งคู่” 

“ฉะนั้นงานของอาจารย์จักรพันธุ์ก็ดี ของอาจารย์ เฉลิมชัย และงานของอรุโณทัย งานจึงไม่เหมือนกัน ไม่มีอะไรซ้ำกัน ต่างกันทั้ง 3 คน มองปุ๊บรู้ปั๊บ งานของผมดูก็รู้ว่าเป็นงานของผม งานของผมที่นำไปจัดนิทรรศการศิลปะภาพเขียน ‘จตุคามร้อน’ เพื่อสำรวจวิพากษ์วิจารณ์ปรากฏการณ์จตุคาม 

“งานชุดนั้นขายหมดเกลี้ยง ไม่มีเหลือ หาเท่าไรก็ไม่เจอ ในอินเทอร์เน็ต ก็ไม่มีให้เห็น ผมไม่ให้เขาลงในอินเทอร์เน็ต ผมบอกให้ใส่ชื่อไว้เปล่าๆ ไม่ให้รูปภาพลง เพราะเกรงอาชญากรรม งานผมจึงเรียกว่า “อรุโณทัยสไตล์” ภาพต่างๆ มันอยู่ในใจ ไม่ได้เลียนแบบ มันออกมาจากที่เราสะสมไว้ในจิตสัญญา ผมวาดมาพันกว่ารูป ผลงานต่างๆ ผมถ่ายภาพลงไว้ในฟิล์ม ตอนนี้ฟิล์มมันเก่าออกสีแดง ก็ต้องใช้คอมพิวเตอร์ช่วย

“ต่อมามีคนเขาไปลือว่าผมตายไปแล้ว เขาก็ไปหารูปกันใหญ่ เลยทำให้ภาพมีราคา (หัวเราะ) ผมเพิ่งวาดภาพเจ้าของคฤหาสน์หลังหนึ่งที่จังหวัดเชียงใหม่ ทำเป็นสวนศิลป์ ชื่อ “สวนศิลป์เรืองตะวัน”รูปใหญ่เท่าประตู ผมวาดแบบไมตรีจิต ผลงานส่วนใหญ่ในอดีต ผมจะเขียนพวกอีโรติก เป็นเรื่องราว ถ้าจะดูรายละเอียดข้างใน มันจะมีเรื่องราวเยอะแยะ เหมือนดูภาพยนตร์ ดูแล้วดูอีก ดูตรงนั้นที ตรงนี้ที จึงจะเห็น เพราะภาพของผมพูดได้ คุยด้วยได้ ภาษาที่เขาพูดเป็นภาษาไพเราะ คัดสรรมาแล้ว เมื่อฟังแล้ว คนฟังชอบ แล้วดูสนุก เหมือนดูวงดุริยางค์ เหมือนเสียงเพลงที่คนฟังชอบ

“ผมทำงานศิลปะอย่างเดียว ไม่เคยทำอาชีพอื่นเลย ตอนนี้รู้สึกเลยว่าศิลปินเป็นอย่างไร อาจจะเป็นเพราะเมื่อชาติก่อนคงไปทำกรรมกับศิลปินเขาไว้ที่ไหนแน่ๆ คงไปด่าเขา ไปทรมานทารุณกรรมเขาหรือเปล่า ในที่สุดศิลปินมีครู เขาจึงสาปแช่งเรา ให้ลองดูสิว่าศิลปินเขาเป็นอย่างไร ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไม่น่าเกิดมาเป็นศิลปิน แล้วงานศิลปกรรมของผมก็ไม่ได้เป็นไปตามที่เขาสอนในสถาบัน อยู่ๆ ก็เกิดขึ้นมาเลย เป็นเทพจุติ 

“ผมได้อิทธิพลมาจากคุณพ่อ คุณแม่ ทั้งคู่สำคัญกับผมมาก ท่านส่งหนังสือมาให้อ่าน เพราะท่านเป็นครู ตอนนั้นไม่มีเวลาเลี้ยงลูก จึงเลี้ยงลูกด้วยห้องสมุด ผมจึงชอบดู ชอบอ่านมากมาตั้งแต่เด็กๆ” 

สองวัฒนะส่องแสงธรรม

“ที่ผมไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกาด้านศิลปะสากล ไม่ใช่ป๊อปอาร์ตทั้งหมด ป๊อปอาร์ตเป็นศิลปะของคนขี้เกียจ อยากทำงานศิลปะแล้วมีสตางค์ซื้อสีเยอะๆ เอาสีมาผลาญเล่น สร้างจินตนาการนิมิตขึ้นมา เป็นสิ่งสวยงาม ถือว่าเป็นความฉลาดขั้นหนึ่ง ส่วนแอบสแตร็คเป็นงานนามธรรม แอบสแตร็คนั้นมีหลายแบบ งานของผมก็เป็นงานแอบสแตร็คและไอเดียลลิสติก เป็นครีเอทีฟอาร์ต เป็นงานสร้างสรรค์โดยไม่คำนึงถึงแบบ กับอีกแบบหนึ่ง ไม่มีลายอะไรเลย ใส่ขึ้นมาเดี๋ยวมันก็จะเป็นลายที่สวยทั้งหมด ผมมีเทคนิควิธีของผม

“ครูที่อเมริกา เขาสอนมา ครูคนไทยเขาไม่ค่อยได้สอนพวกนี้ ค่าเรียนศิลปะที่ยุโรปและอเมริกานั้นจะสูงมาก ปัจจุบันอยู่ที่ 2-3ล้านบาท สมัยที่ผมเรียนราคาอยู่ที่ประมาณ 1 ล้านกว่าบาทเฉลี่ยต่อปี แต่วัสดุอุปกรณ์ของที่นั่นเขาใช้ของดีทั้งหมด ที่มืออาชีพใช้กัน ไม่ว่าจะเป็นพู่กัน สีน้ำมัน สีน้ำ ดินสอ กระดาษแผ่นละเกือบพัน ส่วนการเลี้ยงดูศิลปินของที่นั่น มันขึ้นอยู่กับว่าศิลปินคนนั้นมีความเป็นตัวเองหรือเปล่า 

“งานศิลปกรรมมันจะบ่งบอกอะไรในตัวของศิลปิน แต่ทางยุโรปจะชอบงานของผมเยอะ สำหรับคนอเมริกา จะดูอะไรที่มันแตกต่างไปจากที่เขาเคยเห็นทุกๆ วัน จึงเป็นที่ชื่นชอบ ก็คล้ายๆ กับคนรวยที่เมืองไทยที่ชอบสะสมที่ต่างจากที่เคยเห็น ที่บ้านหรือที่ห้างสรรพสินค้า เขาอาจจะบอกว่ามันผิดปกติ มันไม่ใช่เขา อันนั้นเป็นรสนิยมขั้นพื้นๆ เขาอาจจะชอบภาพเรียลิสติก ภาพเหมือนหรือภาพจำลองแบบ จะเขียนเองหรือคนอื่นเขียนก็ได้ ซื้อรูปปฏิทินมาติด เป็นอิงค์เจ็ต ฯลฯ ก็ไม่ว่าอะไร นักเรียน หรือครูวาดมันก็เหมือนกัน เขาคิดว่าอย่างนั้น 

“ฉะนั้นเรื่องวงการศิลปกรรมของเมืองไทยกับอเมริกาจึงจำแนกได้ แต่ถ้าเป็นทางยุโรปจะประสบผลสำเร็จมากกว่า เพราะงานของผมจะเป็นพวกบุคคลชั้นสูงซื้อไปทั้งหมด ทั้งอเมริกาและยุโรปเขาจะหางานของผมเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ แสวงหากันมาก เขาเคยเปิดประมูลหลายครั้ง งานของผมจึงมีชาวต่างประเทศค่อนข้างจะรู้เรื่องนี้ งานของผมที่แสดงทุกแห่งขายหมดเกลี้ยงจริงๆ เป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ ครูอวยพรไว้ ผมเชื่อปากครูอเมริกัน ปากแกเป็นจริง

“ทั้งวิธีการสอน วิธีที่เขารับศีลและรักษาด้วย แล้วเวลาพูดอันไหนไม่ดี เขาจะไม่ด่าว่า เขาจะเฉยๆ แล้วบอกกับเราว่า ถ้าตรงนี้มันไม่ดี เราไม่ต้องใส่มันก็ได้นะ แล้วเปลี่ยนเป็นอันนี้ จะเกิดความกลมกลืน ความเป็นตัวของตัวเองอยู่ในยูนิตี้ในภาพ มันจะบอกลักษณะของคนทำ ถ้าไม่เช่นนั้นคนนี้ โคลนนิ่ง มาจากคนโน้น อีกคนหนึ่ง อยากทำบ้างก็โคลนนิ่งกันต่อๆ ไป ที่เรียกว่าสืบทายาทของสกุลช่าง ซึ่งของผม ถ้าผมตายไปแล้ว ผมก็ไม่ได้สร้างทายาท ถึงแม้งานจะดี จะวิเศษล้ำเลิศอย่างไร ผมก็ไม่ได้สร้างทายาท ผมทำคนเดียว ถ้าผมตายไปแล้ว ก็ไม่มีทายาทรับทำงานพวกนี้ต่อ 

“ปัจจุบันจึงเป็นงานที่เขาหากัน เหตุผลหนึ่งก็เพื่อความมีเสน่ห์ ความน่าสนใจใฝ่ซื้อหา รักษาให้มาเป็นสมบัติในที่ๆ ดี แล้วรูปผมมีคนขอไปทำปฏิทินและหน้าปกหนังสือ มีคนถามมาเยอะมาก บางครั้งก็ให้บ้าง บางทีก็ไม่ให้ เพราะเกรงว่าภายในหนังสือมันมีเนื้อหาเกี่ยวกับฆาตกรรม ภูตผีปิศาจ เรื่องที่ไม่ดี จึงไม่อยากให้งานผมไปร่วมอยู่ด้วย เพราะงานของผมมีเทวดาเป็นครูเสียส่วนใหญ่ ครูเขาจะมานั่งด้วย แต่ว่าครูอยู่ในจิต แล้วดวงจิตเรานั้นสูงมาก ก็นึกถึงครูที่นั่น ครูที่โน่น”

ตำนานเทพท้องถิ่น

“เมื่อครั้งผมเป็นเด็ก ผมจะนึกถึง อพอลโล ชอบนึกถึง ภูเขาอุริอุส และภูเขาอิริกุส อยู่ที่ประเทศกรีก ตอนนั้นผมไม่รู้จัก มารู้เอาเมื่อตอนโตว่าอันนั้นเป็นภูเขาของเทพเจ้าแห่งหนึ่ง ภูเขาอิริกุสเหมือนสวรรค์จตุมหาราชิกา เป็นสถานที่ที่เทพเจ้ามาเริงระบำ ร้องรำ กินดื่ม มาทำอะไรที่สวยๆ งามๆ เป็นเรื่องของสวรรค์ พอมาทีหลังก็เลยรู้ว่าท่านมาอยู่ด้วย ตั้งแต่เรายังเป็นเด็ก เทพเจ้าในวงศ์เทวัญกรีกท่านบอก ซึ่งมันก็ไม่น่าเกี่ยวอะไรกับงานศิลปกรรม งานแบบนี้ไม่มีคนอื่นทำ แต่เดิมก็ไม่มีใครทำ มันเกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วฝรั่งมาสอนได้อย่างไร ผมชอบฝรั่งทั้งลูกค้าที่เป็นชาวต่างประเทศ ทั้งเทวดาของต่างประเทศ ผมรักและเคารพเทพเจ้าของภูมิภาคหลายองค์ ของญี่ปุ่นผมนับถือ อะเมเตระซุ เป็นสุริยะเทพ อะเมเตระซุ เป็นสุริยะเทพรุ่งอรุณ เป็นสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่นที่เป็นพระอาทิตย์ขึ้น

“ผมไม่รู้ว่าทำไมถึงชอบท่านมาก มารู้ตอนหลังว่าท่านชื่อ อรุโณทัย แปลว่า รุ่งอรุณตอนเช้า อะเมเตระซุ คือเทพอรุโณทัย แล้วก็มาชอบเซียนของจีน ผมยกย่องขึ้นมาว่าเทพเซียน เทพเซียนของจีนจะอยู่ในหลายสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ทั้งหมด ตั้งแต่โสเภณี จนไปถึงเทพธิดา นางฟ้า เทพเจ้า ก็จะมีเทพรักษา ผมนับถือท่านทุกพระองค์ พอนับถือทันทีแล้ว เวลาทำงานมันคล่องมันดี มันวิจิตร จึงกลายเป็นลูกผสม ฝรั่งกับจีนและญี่ปุ่น ถ้าเป็นคนผสมกัน หน้าตาคงดี แล้วมาชอบเทพเจ้าทั้งของทิเบตและของอินเดีย มีพระคณปติ พระวิษณุกรรม ท่านไสยวนิกาย มีทั้งวิษณุเวทย์ ไวยนพนิกาย มีพระอินทร์ แต่พระพรหม ไปทางฮินดู

“ผู้คนมักจะขอพระพรหม ขอลูก ขอผัว ขอมีเพศสัมพันธ์ ท่านไม่ให้ ท่านไม่รู้ไม่ชี้ เขาเลยหันมาหาพระอินทร์ ตอนหลังก็มานับถือพระวิษณุ พระศิวะ นับถือกันมาเรื่อย จนกระทั่งมาเกิดเป็นเทววงศ์องค์หนึ่ง ต่อมามีพระคณปติเกิดขึ้นประมาณพุทธศตวรรษที่ 12-13-14 แพร่หลายกันมาถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับเทพเจ้าของไทยมีมานมนาน ถ้าจะคุยกับผม ผมจะพูดถึงเทพเจ้ามากกว่าเนื้องาน เพราะนี่คือส่วนที่มีอิทธิพลดลใจที่ทำให้งานเกิดมาเป็นตัวตนเป็นลักษณะเฉพาะ เป็นศิลปะแบบอรุโณทัยขึ้นมาได้โดยที่ตัวเองทำคนเดียว แล้วเมื่อตายไปแล้วงานที่ตัวเองทำอยู่ก็จะเจริญรุ่งเรือง มีเอกลักษณ์ มีอัตลักษณ์ทุกตัว

“เทพเจ้าของไทยจึงมีหลายองค์ ที่มีอิทธิฤทธิ์ มีฤทธิ์เดชมาก ที่นับถือกันจริงๆ มีมาสมัยกรุงศรีอยุธยา มีเยอะ แต่หลักฐาน ความเคารพนับถือมันเลือนรางไปแล้ว ที่เหลือมาจากเทพมอญเยอะ ทั้งเทพเทวีนั้นมาจากมอญ มีเรื่องมณีเมขลา ถ้ามีที่เขมร แปลว่าเขมรได้มาจากไทย เพราะเรารับมาจากมอญ เรื่องสันสินชัย เรื่องคาวีลักษณะวงศ์ มโนราห์ แล้วเรานำมาปรุงแต่งเพิ่มเติมตามอรรถรสของเรา เทพเจ้าเก่าๆ ที่เรานับถือกันมาก็มีพระแม่โพสพ (ธัญญลักษมี) เกี่ยวกับน้ำท่า อาหารการกิน เนรมิตให้ต้นข้าวและพืชพันธุ์ทั้งหลายเจริญงอกงาม อยู่ดี กินดี มีไว้ที่ไหนก็ดี มักจะอยู่ในครัวของคนโบราณ จะตั้งรูปนี้ไว้ แล้วก็จะมีแม่ซือเป็นลักษณะเทพเจ้าเหมือนกัน

“ผมอ่านตามเว็บไซต์ เขาเชื่อว่าเป็นเรื่องเทพนิยาย ความเชื่อลมๆ แล้งๆ แต่ผมเชื่อว่าสิ่งที่คนโบราณเชื่อนั้นมีจริง เพราะเขาเห็นมาก่อนที่จะมีศาสนาเกิดขึ้นเป็นแสนเป็นล้านปีล่วงมาแล้ว อย่างพระสยามเทวาธิราชเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 เนื่องด้วยขณะประเทศถึงวิกฤตมาก่อนหน้านี้ แต่ยังทรงสภาพอยู่เป็นประเทศได้ก็ด้วยเหตุพระสยามเทวาธิราชท่านว่าเป็นพลัง ของบรรพมหากษัตริย์ พระเถระ และบุคคลชั้นนำสำคัญต่างๆ แล้วมารวมเป็นพลังขึ้น เรียกว่าพระสยามเทวาธิราช รวมกันเป็น สภาเทพ แล้วบันดาลคนได้ทันที ท่านมีพลังสัมฤทธิ์ผลขึ้นมาทันตาเห็น พวกผีเปรต ผีมาร พวกเดียรถีย์ พวกโค่นล้มสถาบัน ก็จะหายวับไป 

“ส่วนที่ศาลหลักเมือง สร้างมาตั้งแต่รัชกาลที่1 จะมีเทพารักษ์ประจำศาลหลักเมือง มีพระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระกาฬไชยศรีเจ้าพ่อเจตคุปต์ เจ้าพ่อหอกลอง ที่มีคุณต่อประเทศชาติทั้งนั้น และถ้าหากพูดถึงรูปที่ผมสร้างสรรค์ ก็จะมีรูปเจ้าหญิงสร้อยดอกหมาก รูปพระโพธิสัตว์ไม่กำหนดเพศว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง สร้างสรรค์ไว้เพื่อให้คนเคารพถือว่าท่านมาเมตตาให้คนพ้นทุกข์”

เทวดาลิขิตนิรมิตมนตรา 

“ด้วยเกียรติยศของเทพเจ้าที่ผมวาดภาพมาทั้งหมด เป็นเรื่องของจินตนาการ ในใจของเรามีแต่เรื่องทวยเทพเทวา เพราะผมไม่ค่อยได้ไปพบปะสมาคมมาตั้งแต่เด็กและชอบไปเดินตามสุสาน ไปพบใครก็ไม่รู้ ที่ไม่เคยรู้จัก ก็เกิดความชอบ ผมเจอสิ่งปาฏิหาริย์ มหัศจรรย์บ่อย ไปตามป่า ตามเขา ตามฮวงซุ้ย งานทั้งหมดที่วาดขึ้นมาเหมือนกับเทวดาสะกดให้วาด ทั้งการลงมือความคิด หรือการบรรจุอะไรลงไปในรูปภาพ มันเป็นเรื่องที่ไม่โรงเรียนที่ไหนสอน

“การเป็นศิลปินก็ไม่รู้ว่าผมอยากเป็นหรือไม่อยากเป็น ผมก็ไม่รู้ ในที่สุดผลงานออกมาถูกตาพวกยุโรปและอเมริกา อาจเป็นครูจากที่เรียนมา ท่านรักเรา งานของเราจึงประสบผลสำเร็จ ไม่ต้องจำลองแบบใคร เวลาทำไม่ต้องไปเปิดตำราดู ไม่ต้องไปปรึกษาใครก่อน และไม่ต้องรอใครสั่งไปทำ งานออกมาจึงวิจิตรเป็นแบบอรุโณทัยสไตล์ 

“งานศิลปกรรมเป็นงานที่มีเสน่ห์ คนนิยม เราไม่ต้องให้ใครรับจำลองแบบไปถ่ายทอดต่อไป เมื่อผมหมดลมหายใจ ตายไปงานพวกนี้จะอยู่ที่ไหน ก็เป็นยูนีค มีอัตลักษณ์ชัดเจน เป็นผมคนเดียว คนอื่นเลียนแบบ ใครๆ ก็คงรู้ แต่มีคนพยายามเลียนแบบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะงาน ถ้าเป็นต้นฉบับมองปับเขาก็จะบอกว่าเป็นต้นฉบับ งานมีเสน่ห์ ถูกใจ เราเป็นตัวเราเอง

“ที่มีคนลือว่าผมเสียชีวิตจริงๆ เพราะผมเก็บตัว ไม่ไปดูงาน ผมทำงานของผมอยู่อย่างนี้ ไม่ออกสังคม กลัวการเปลี่ยนตัว กลัวว่าเมื่อไปดูงานนิทรรศการคนอื่น เวลาทำงานของตัวเอง จะมีส่วนโน้นส่วนนั้นของเขาเข้ามาหน่อย มันจะไม่เป็นตัวของตัวเอง เมื่ออายุมากขึ้น การเดินเตร็ดเตร่ไปดูแนวคนอื่น ทั้งที่แนวตัวเองเกิดขึ้นมาเอง แต่ไม่ได้ว่าคนอื่น ที่เขาชอบไปนะ งานผมมันจึงมีอัตลักษณ์ เป็นอย่างนี้ทั้งหมด แต่กลัวว่าสิ่งที่เราเห็น จะทำให้เราเปลี่ยน วิธีใช้สีสดๆ ทั้งๆ ที่ครูไม่ได้สอน แต่เวลาเราไปออกงานทำให้ได้รู้จักคนเป็นธรรมดา 

“แต่คนที่เราไม่รู้จัก ความสนิทสนมที่เราจะไปทักทาย มันจึงไม่มี จึงตัดปัญหาไม่ไปเสียเลยดีกว่า ฉะนั้นในรูปที่ผมวาด จะให้เหมือนภาพพิมพ์ เป็นภาพฉากก็จริง แต่ดูได้ทั้งเรื่อง ในภาพจะมีเมเจอร์เล็กๆ อยู่เยอะมาก ตั้งแต่ทวยเทพเทวดา สิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้โต๊ะ สิ่งที่ใส่ไว้ในลิ้นชัก ฯลฯ

“ศิลปะนั้นมีหลายแขนง ขึ้นอยู่กับเราจะให้ความสำคัญด้านไหน ศิลปะเกิดจากความงาม เกิดจากขนบธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่นที่ผู้คนให้ความสำคัญจำเป็นต้องนำมาเป็นประเพณีสืบทอดต่อไปหรืออาจมีการประยุกต์ สร้างขึ้นมาใหม่ เพื่อเขียนบอกอนาคตทำนายโลก เหมือนนอสตราดามุส ศิลปกรรมหลายอย่าง ก็ทำเพื่อศาสนา แต่ศิลปะของผมนั้น จึงมาจากจิตของเทวดาบันดาลมา 

สิบนิ้วหัตถกร นบประนม สุภาพพรหม