ฟุตบอลเอเอฟเอฟ

ฟุตบอลเอเอฟเอฟ

สำหรับเดือนนี้มหกรรมกีฬาใหญ่ๆ ที่จะจัดขึ้นในบ้านเราคงหนีไม่พ้นกีฬา “Asian Beach Games 2014” ซึ่งจากชื่อคงเดาไม่ยากว่าเป็นกีฬาชายหาดระดับเอเชีย โดยประเทศไทยได้รับเกียรติจากสภาโอลิมปิกแห่งเอเชีย หรือที่เรียกว่า 
“โอซีเอ” ให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันในครั้งที่ 4

ไม่น่าเชื่อว่าครั้งสุดท้ายที่นักเตะทีมชาติไทยของเราได้แชมป์ต้องย้อนกลับไปเมื่อ 12 ปีที่แล้วในปี 2002 ที่นัดชิงชนะเลิศ ทีมชาติไทยยิงจุดโทษชนะทีมชาติอินโดนีเซียไป 4-2 หลังจากที่เสมอในเวลา 2-2

ซึ่งนักกีฬาชุดนั้นยังเป็นชุด “ดรีมทีม” ทั้ง “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เอง “เดอะแบน” ธชตวัน ศรีปาน “โอ่ง” ดุสิต เฉลิมแสน หรือ “น้าเทิด” เทิดศักดิ์ ใจมั่น ที่ตอนนี้บางทียังลงไปเล่นกับรุ่นน้องในทีมชลบุรีเอฟซี 

โดยโค้ชก็ไม่ใช่ใครที่ไหนไกล “ปีเตอร์ วิธ” ที่ถือว่าเป็นโค้ชที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์วงการลูกหนังเมืองไทย แต่หลังจากความสำเร็จในครั้งนั้นทีมชาติไทยก็ไม่เคยได้สัมผัสกับคำว่า “แชมป์” อีกเลย ถึงแม้จะเข้าถึงได้ถึงสามครั้งในปี 2007, 2008 และ 2012

ทำให้ตอนนี้ชาติที่ได้แชมป์รายการนี้ที่ถือว่าเป็นเจ้าอาเซียนนอกจาก “ซีเกมส์” คือ ทีมชาติสิงคโปร์ 4 สมัย (1998, 2004, 2007 และ 2012) ส่วนทีมชาติไทย 3 สมัย (1996, 2000 และ 2002) ขณะที่ทีมชาติมาเลเซียได้ 1 สมัย (2008) เท่ากับทีมชาติเวียดนาม (2010)

สำหรับฟุตบอลเอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพครั้งนี้ เจ้าภาพในรอบแบ่งกลุ่มมี 2 ประเทศด้วยกันคือเวียดนามและสิงคโปร์ซึ่งทีมในกลุ่มเอประกอบไปด้วย เวียดนาม อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์จะแข่งที่แดนเหงียน ทีมในกลุ่มบีประกอบไปด้วย สิงคโปร์ ไทย เมียนมาร์และมาเลเซียจะแข่งที่แดนลอดช่อง

ดังนั้นฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียนครั้งนี้จึงเป็นรายการที่เราหวังมามากที่สุดเพราะจะได้แสดงให้คู่แข่งอื่นๆในภูมิภาคเดียวกันได้รู้ว่า ‘ทีมชาติไทย คือ หมายเลขหนึ่ง’ของวงการลูกหนังหลังจากที่ประสบความสำเร็จกับฟุตบอลซีเกมส์ที่ประเทศเมียนมาร์เมื่อปีที่แล้ว หรืออันดับ 4 ในกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ที่เกาหลีใต้เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

มาดูรายชื่อนักฟุตบอลชุดนี้ ส่วนใหญ่เป็นชุดที่ต่อยอดความสำเร็จจากสองรายการก่อนที่กล่าวมาจึงเป็นทีมที่มีอายุเฉลี่ยของนักเตะค่อนข้างน้อย ถึงจะมีนักเตะรุ่นที่ได้รองแชมป์เมื่อสองปีก่อนในปี 2012 บ้าง

อย่าง “กีรติอุส” กีรติ เขียวสมบัติ “เทพมุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา (ที่เป็นดาวซัลโวสูงสุดครั้งที่แล้ว 5 ประตู) หรือ “กวินทร์บินได้” กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ ที่คอยประคองรุ่นน้องบ้างแต่ถือว่าน้อย ถ้าเทียบกับส่วนใหญ่นักเตะหลายคนในทีมชุดนี้ยังไม่เคยผ่านการเล่นฟุตบอลรายการนี้

ถึงตอนนี้เหลือแค่รอบรองชนะเลิศกับชิงชนะเลิศแล้วเพราะรอบแบ่งกลุ่มแข่งกันไปเมื่อปลายเดือนที่ผ่านมาซึ่งต้องออกตัวไว้ก่อนว่า ตอนเขียนยังไม่ทราบผลว่าทีมชาติไทยจะมาถึงรอบรองหรือเปล่าแต่ในความคิดเห็นส่วนตัวเชื่อว่าบรรดาช้างหนุ่มของ “ซิโก้” น่าจะทำได้

ในรอบรองและรอบชิงชนะเลิศ รูปแบบของการแข่งขันจะเป็นแบบเหย้า-เยือน โดยรอบรองแชมป์ของกลุ่มเอและบีจะต้องไปเป็นทีมเยือนก่อนที่จะได้กลับมาเล่นในบ้านของตัวเองซึ่งความยากของฟุตบอลรายการนี้อยู่ที่จุดนี้แหละ เนื่องจากภูมิภาคอาเซียนเป็นอีกหนึ่งภูมิภาคที่ถือว่าฟุตบอลเป็นกีฬาหลัก

เมื่อมีการแข่งฟุตบอลที่มีเรื่องของศักดิ์ศรีเข้ามาด้วย เชื่อว่าแฟนบอลของชาติที่เป็นเจ้าบ้านหรือเจ้าถิ่นต้องเข้ามาชมเกมเต็มหรืออาจจะเกินความจุของสนามด้วยซ้ำ ยิ่งเพื่อนบ้านไม่ว่าจะเวียดนาม หรืออินโดนีเซียโดยเฉพาะอินโดถ้าเราต้องเจอ “เสนายัน” คือนรกดีๆ ของทีมเยือนนี้เอง

บางทีฟุตบอลรายการนี้อาจจะยากกว่าฟุตบอลเอเชี่ยนเกมส์ที่ผ่านมาด้วยซ้ำ เพราะนี้คือรายการที่ทุกชาติใช้ผู้เล่นชุดใหญ่ที่ดีที่สุดลงสนาม ขณะที่เอเชี่ยนเกมส์ใช้นักเตะอายุไม่เกิน 23 ปี บวกกับแรงกดดันจากการไปเล่นนอกบ้านที่อาจจะมีอิทธิพลต่ออารมณ์และการตัดสินใจของผู้ตัดสินในเกมนั้นอีกด้วย

อย่างที่ทราบกันว่า ในรอบหลายปีที่ผ่านศรัทธาของแฟนบอลที่มีต่อทีมฟุตบอลไทยนั้นลดลงไม่ขลังและต้องมนต์เสน่ห์เหมือนยุค 20 ปีที่แล้ว แถมการจัดอันดับโลกของฟีฟ่าล่าสุดยังเป็นเรื่องที่บั่นทอนกำลังใจให้กับคอฟุตบอลชาวไทยได้ไม่น้อย

ดังนั้นรายการนี้ เป้าหมายของขุนพลช้างศึกคือ ตำแหน่งแชมป์สถานเดียวเท่านั้น ถ้าเป็นไปได้ตามนั้นถึงแม้ว่าจะไม่ใช่รายการที่รับรองโดยสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติหรือฟีฟ่า แต่ก็น่าจะทำให้บรรยากาศและศรัทธาของแฟนบอลต่อทีมชาติไทยและสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยดีขึ้นอีกครั้ง

สุดท้ายขอเป็นกำลังใจให้กับ “ซิโก้” และบรรดานักฟุตบอลทีมชาติไทยชุดนี้ทุกคนที่จะนำแชมป์และศรัทธาของแฟนบอลกลับมา และในครั้งนี้ก็ได้นำภาพเก่าสมัยได้แชมป์รายการนี้ชื่อเดิมคือ “ไทเกอร์คัพ” ปี 2002 มาให้ดูกันครับ  

ซูซูกิคัพ เจ้าอาเซียนที่เรา ... ไม่ใช่ที่ 1