อุดมลักษณ์ ทรงสุวรรณ

อุดมลักษณ์ ทรงสุวรรณ

อาจารย์อุดมลักษณ์ ทรงสุวรรณ ได้รับความรู้ทางด้านศิลปะจากอาจารย์หลายท่าน และนับว่าเป็นความโชคดีมหาศาลในชีวิต ที่ได้เป็นศิษย์ของสามบรมครู อันได้แก่ ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี อาจารย์เฟื้อ หริพิทักษ์ และอาจารย์ Wolfgans Mavia Ohllaico ศิลปินชาวเยอรมัน ท่านจึงได้รวบรวมจัดระเบียบความรู้ ความชำนาญ จากบรมครูทั้งสามท่าน มารวมเป็นหนึ่งเดียวเพื่อถ่ายทอดลงไปในงานศิลปะที่เสกสรรปั้นแต่งขึ้นทั้งภาพวาดพระบรมสาทิสลักษณ์บูรพมหากษัตริย์ ภาพในจินตนาการเรื่องราวตัวละครในวรรณคดีไทย โดยเฉพาะผลงานการนำวิธีการสร้างภาพโดยใช้ผ้าเช็ดสีในขณะที่ยังเปียกอยู่ ซึ่งต้องใช้ทักษะ ความชำนาญและสมาธิอย่างสูงเพื่อกลั่นออกมาเป็นพลังที่จะถ่ายทอดลงไปสู่ปลายนิ้วที่จะเช็ดสีออกไปให้บังเกิดเป็นภาพขึ้นในฉับพลันทันที จะเห็นได้อย่างชัดเจนในภาพของ อาจารย์ศิลป์ พีระศรี และภาพเหมือนอาจารย์เฟื้อ หริพิทักษ์ ภาพสิงห์ใน “พลังพ่อ” “พลังแม่” ที่ได้นำเทคนิคแบบ Old Master มาประยุกต์ร่วมกันในการทำงาน

ศิลปินสร้างภาพขึ้นมาได้ด้วยความรู้สึกสำนึกในความรักความศรัทธาที่มีต่อบูรพมหากษัตริย์ ความรักที่มีต่อครูบาอาจารย์ ความรักที่มีต่อพ่อแม่และความรักที่พ่อและแม่มีต่อตัวเขาเอง สะท้อนทำให้เกิดเป็นพลังหยิน-หยางขึ้นในตัวศิลปิน เพื่อถ่ายทอดลงไปในงานศิลปะ ศิลปะจึงเป็นตัวบ่งชี้วัฒนธรรมของชาติซึ่งไม่เคยหยุดนิ่ง ขับเคลื่อนตัวเองไปโดยวิถีของโลกทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ แต่สิ่งหนึ่งที่แฝงอยู่ในความเปลี่ยนแปลงนั่นคือ ความมีอัตลักษณ์ ความมีสุนทรีย์ และความมีเอกลักษณ์ของความเป็นชาติไทย

กลั่นจากจิตนิมิตฝัน

“ผมโชคดีที่ได้เรียนกับอาจารย์ศิลป์ พีระศรี อาจารย์เฟื้อ หริพิทักษ์ ผมชอบวาดภาพพระบรมสาทิสลักษณ์ พระบรมราชจักรีวงศ์หลายพระองค์ เช่น ภาพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ, สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
พระพี่นางเธอฯ, โดยเฉพาะภาพวาดพระบรมสาทิสลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เพื่อแสดงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านที่มีความเมตตา บำเพ็ญประโยชน์ช่วยพสกนิกรชาวไทยเป็นพื้นฐาน เมื่อครั้นทรงพระเยาว์พระองค์ประทับอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่งดงามของธรรมชาติ คือประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ผมจึงได้มโนภาพของความรู้สึกสร้างผลงานชิ้นนี้ออกมา

“อีกภาพหนึ่งที่ผมใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็กมาแล้วว่าอยากจะเขียนภาพวาดพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯรัชกาลที่ 5 ตั้งแต่พระองค์เสด็จขึ้นบัลลังก์ครองราชย์ ซึ่งเป็นผลงานท้าทายมาก เพราะยากมาก ต้องศึกษาเรื่องเครื่องประดับเครื่องทรงศาสตราวุธในยุคนั้นๆ การเขียนพ็อทเทรตก็คือพ็อทเทรต ภาพไทยก็คือไทย ภาพวาดของผมสามารถทำได้หมดทุกอย่าง

“ผมศึกษาพวกเรื่องไทยๆ ที่มีประวัติศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เช่น เครื่องแต่งกาย เครื่องประดับในสมัยรัตนโกสินทร์ อย่างภาพองค์จตุคามรามเทพ ผมก็ศึกษาประวัติศาสตร์สมัยศรีวิชัย ทั้งที่ผมไม่รู้จักท่าน เพราะผมไม่เคยเขียนท่านมาก่อน วันดีคืนดีก็มีคนมาบอกให้ผมเขียนองค์จตุคามรามเทพให้หน่อย ผมกำลังจะขึ้นไปเขียนภาพบนบ้าน จู่ๆ ฝนก็ตกลงมาหนักมาก ฟ้าร้องเสียงดัง ผมเห็นนิมิตเหมือนท่านลอยอยู่ตรงหน้า ผมจึงนำมาสเกตซ์แล้วก็เขียนขึ้นมา มันมีความรู้สึกสองอย่าง อันหนึ่งคือความอ่อนโยน ความนุ่มนวล อีกอันหนึ่งคือความแข็งแกร่ง ความห้าวหาญ สามารถป้องกันได้ว่าใครอย่ามาแตะต้อง

“ก่อนการสร้างสรรค์งาน เราต้องอ่านออกก่อนว่าเราจะทำอะไร เราจะสร้างอะไรขึ้นมา อย่างองค์พระโพธิสัตว์กวนอิมประทับอยู่บนปลามังกร ส่วนหนึ่งมันเป็นความฝันของศิลปิน เหมือนท่านลอยอยู่บนอากาศ มีดอกบัวเกสรเป็นแก้วผลึกมารองรับ เคยมีคนบอกว่าศิลปินสามารถหยุดฟ้าหยุดดินได้จริงๆ มันเหมือนกับรูปเขียนที่เขาหยุด เมื่อเขาเห็นไว้แล้ว โดยจำลองไว้บนแผ่นภาพ มันเหมือนกับเอาฟ้ากับแผ่นดินมาอยู่ในรูปตัวเอง แล้วเราสามารถหยุดได้ มันเป็นแนวความคิด จักรวาลทั้งจักรวาลก็สามารถสร้างได้เป็นจักรวาลในใจของเรา งานปั้นผมก็ทำได้เพื่อให้มันอยู่ในปริมาตรที่เราต้องการ สำคัญอยู่ที่วอลรูม ก็คือความกลมของรูปร่างมันก็จบแค่นั้น แล้วเราก็หล่อขึ้นมา แต่พวกเพ้นท์ติ้งมันไม่จบ ในสีมันอัศจรรย์เหลือเกิน กว่าจะผสมแต่ละสี เจือกันได้ มันเยอะมาก

“ผมเรียนรู้วิธีการใช้สีจากอาจารย์เฟื้อ ท่านเป็นคนเก่งมาก ช่วงที่ผมเรียนกับอาจารย์ศิลป์ ท่านจบมาจากงานปั้น ผมก็ได้ความรู้จากที่ท่านสอน อาจารย์ศิลป์บอกอะไรมา ผมทำหมด แต่คนอื่นเรียนกับอาจารย์ศิลป์ ก็จบลงตรงนั้น อาจารย์บอกให้ผมฟังเพลงคลาสสิก ผมก็ฟัง ต่อมาอาจารย์มานิตย์ ภู่อารีย์ ซึ่งเป็นรุ่นพี่ผม 1 ปี บอกให้ผมหาดินสอมา 1 แท่ง พร้อมกระดาษ 1 แผ่น แล้วเอาดินสอมาเขียนความรู้สึกเข้าไปบนกระดาษ เพลงคลาสสิกเสียงของมันจะมีน้ำหนัก มีความเบา มีความหวานที่สุด รุนแรง เราก็วาดลงไป มันจะทำให้มือเราคล่อง แล้วผมก็ทำตามมาตลอด อย่างภาพอาจารย์เฟื้อก็สร้างสรรค์ด้วยการใช้วิธีเช็ดสี ไม่มีใครทำได้ โดยทาสีทั้งหมดด้วยสีน้ำมัน แล้วใช้ผ้าเช็ดออกมาเป็นภาพ ต้องแม่นมาก ก่อนที่สีจะแห้ง ต้องใช้ความชำนาญและพลังมาก”

ศิลปะยืนนาน..ชีวิตสั้น

“ตอนที่ผมเรียนศิลปากร ผมยังจำคำพูดที่อาจารย์ศิลป์สอนผมได้ว่า ‘ศิลปะยืนนาน ชีวิตสั้น’ เป็นความจริงที่สุด ศิลปะอยู่ได้ตลอดกาล ถ้างานดีมันไม่มีวันตาย แล้วท่านก็บอกอีกว่า ‘ศิลปะเพื่อศิลปะ ไม่ใช่ศิลปะเพื่อชีวิต’ ไม่ใช่สร้างศิลปะเพื่อเลี้ยงชีวิตนั่นมันไม่ใช่ อันนั้นมันจะเป็นพาณิชย์ศิลป์ ศิลปะชอบธรรม เพื่อศิลปะ หลังจากอาจารย์ศิลป์ท่านเสีย มันก็เหมือนกับความฝันผมมลายสิ้น แล้วใครจะมาให้คะแนนหรือมาดูงานของเรา ผมไม่เชื่อใคร ผมไม่ส่งงานเขียน เข้าประกวดระดับชาติใดๆ ทั้งสิ้น ในช่วงนั้น เพราะผมมีความรู้สึกว่าผมไม่เชื่อกรรมการตัดสิน คนอื่นจะมาตัดสินผมได้อย่างไร ถ้าเป็นอาจารย์ศิลป์ ผมจะเชื่อ ท่านบอกผิดก็คือผิด

“จนกระทั่งอาจารย์เฟื้อเข้ามาในชีวิตผม ท่านมาสอนเพ้นท์ติ้ง ท่านเขียนสีสวยมาก ผมดูอาจารย์เฟื้อเพ้นท์ ท่านก็บอกผมว่า ไอ้อันที่เราดูแล้วเห็นครั้งแรก แล้วเราแตะเข้าไป อันนั้นมันคือชีวิต แต่ถ้าเผื่อนายไปลบตรงนั้นมันเมื่อไร คือนายลบชีวิต ถ้าเคยเห็นงานเขียนของอาจารย์เฟื้อ จะไม่มีการทาสีทับ งานของท่านจะสวยงามมาก สีจะใสและสด

“อาจารย์เฟื้อจะเป็นเพ้นท์ติ้ง ทำให้ผมเห็นการทำงานของเพ้นท์ติ้ง ท่านเก่งเรื่องของสี เรื่องลายไทย อาจารย์เฟื้อท่านน่ารักมากผมชื่นชมท่านมาก ท่านเป็นเพ้นท์ติ้ง วันดีคืนดีท่านเขียนไม่ได้ ท่านหยุดเลย ทั้งที่งานของท่านใครๆ ก็ต้องการประเภทนั้น ท่านหยุด ท่านเขียนสีไม่ใส อายุมากขึ้น เขียนไม่ได้ ท่านหยุดเลย โดยบอกว่าท่านไม่ฆ่าตัวท่าน ท่านยอมลำบาก ท่านจึงไปคัดลอกลายไทยตามวัดโบราณ ท่านไม่แตะเพ้นท์อีกเลย แล้วรูปที่อาจารย์เฟื้อเขียน คิดดู ปัจจุบันนี้ราคาเท่าไร ทุกคนรู้ว่าอาจารย์เฟื้อเขียนรูปน้อย ถ้าผมเขียนไม่ได้ ผมก็หยุด ผมก็มีความรู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน ถ้าเกิดทำแล้วฆ่างานเก่า แล้วเราจะทำไปทำไมไปฆ่าตัวเราเองทั้งชีวิต ที่เราทำดีขนาดนี้แล้ว ทำไม่ดีรูปไหนเท่ากับไปฆ่าตัวเองเปล่าๆ

“ตอนที่ผมสอนเพ้นท์ ผมจะต้องเพ้นท์อยู่ตลอดเวลา คนที่จบมารุ่นใหม่ๆ ไม่ค่อยมีใครสอนเรื่องอนาโตมีได้ ผมจึงสอนอนาโตมีมาตลอด เพราะไม่มีใครสอน ผมจะสอนไม่เหมือนคนอื่น ผมร่างบนกระดาน กระชากเส้นให้ดูตรงนั้นเลย ไม่มีชีตแจกด้วย เขียนฟิกเกอร์ฉับๆ เด็กที่นั่งเรียนกับผม มองตาค้างไปหมดว่าผมเขียนออกมาได้อย่างไร นั่นก็เพราะผมเขียนอยู่ทุกวัน เด็กได้แต่ดูเฉยๆ แต่ทำไม่ได้ ใครจะไปลากเส้นฟิกเกอร์เส้นเดียวทั้งตัว รุ่นใหม่มา ผมก็เขียนใหม่ให้ดู ผมถึงเช็ดสีขึ้นมาให้เป็นรูปทันทีได้

“ถ้าอยากเก่งแบบอัจฉริยะ ต้องสามารถทำสามอย่างรวมกันให้เป็นหนึ่ง จากสมองมาใจ สู่ปลายนิ้ว ที่อาจารย์ศิลป์ บอกว่าถ้าสามอย่างรวมกันเป็นหนึ่งเมื่อไร เราจะทำสำเร็จ คือใจเราสั่งเพราะใจเราเห็น สมองเราสั่งแล้วมาถึงใจ คือความรู้สึกที่เราจะต้องออกมาถึงปลายนิ้ว ทั้งสามสิ่งกลายเป็นหนึ่งเดียว ท่านถึงบอกว่าเขียนน้อยแต่ได้มาก มันสำคัญเป็นหัวใจของงานศิลปะ เมื่อไรที่เขียนแล้วเหลือเส้นเดียว แต่ได้มากคือได้ทั้งตัวที่เป็นความกลม อันนั้นคือสุดท้าย อย่างอาจารย์ถวัลย์เขียนน้อย แล้วได้มาก ซึ่งมันยากมากกว่าจะมาถึงจุดนั้น มันต้องนิ่ง สงบ ต้องมีสมาธิ เดี๋ยวนี้อะไรที่ง่ายที่สุด แปะได้ ติดได้ มันก็ง่าย มันหลอกตัวเอง ผมแน่ขนาดนี้ เราจะไปหลอกตัวเองว่าเราไม่แน่ได้อย่างไร อย่าไปดูถูกตัวเราเอง”

สมองสั่งสู่ใจมาปลายนิ้ว 

“หลังจากเกษียณอายุราชการมา ผมได้มุ่งมั่นทุ่มเทให้กับการสร้างสรรค์ผลงานอย่างต่อเนื่องมาตลอดชีวิต สมัยที่ผมสอนอยู่วิทยาลัยช่างศิลป์ ความรู้สึกในใจ ผมอยากเขียนรูป แต่มันยังเขียนไม่ได้ในตอนนั้น เพราะแค่สอนเด็กก็เหนื่อยแล้ว แล้วจะเอาใจที่ไหนมาเขียนรูป เช้าตื่นขึ้นมาเดินทางมาสอน เลิกตอนเย็น กลางคืนต้องมาทำกับข้าว เพราะที่บ้านเปิดเป็นร้านอาหารที่ย่านซอยลาดพร้าว 115 บางกะปิ แต่ความรู้สึกนี้มันค้านอยู่ในใจ วนเวียนมาตลอดว่าเราไม่ได้ทำอะไรที่เราอยากทำ

“ตอนนี้ไม่ได้สอน ร้านอาหารก็ปิดไปแล้ว จึงได้ทำอะไรที่อยากทำ เพื่อจะให้ผลงานปรากฏให้คนรู้ว่าอันนี้คืออะไรที่เราอยากทำถ้าขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ ผมไม่ขออะไรมาก ขอให้มีแรง มีกำลังในการทำงาน คนที่เขียนรูปไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว มันมีความสุขที่ได้สร้างผลงานออกมาให้คนได้เห็น จะสมถะ ผมทำงานออกมาไม่ได้เคยคิดถึงเรื่องเงินเลย เพราะผมมีคนคอยช่วยเหลือคือคุณพรสรรค์ กำลังเอก สนับสนุนให้สร้างผลงาน ผมจึงพออยู่ได้ ผมเองก็มีบำนาญกิน ผมจึงทุ่มเทในการเขียนรูป ซึ่งผมรักรูปของผมมาก ใครอยากจะซื้อผมก็ไม่อยากจะขาย ผมเขียนรูปเพราะผมอยากเขียนมากกว่า

“ที่ผมเขียนรูปพระบรมสาทิสลักษณ์บูรพระมหากษัตริย์ไทย เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติพระบรมราชวงศ์จักรี ผมอาจจะเป็นคนโบราณที่รู้สึกว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เราเทิดทูน ความรู้สึกที่เราผูกพัน เราเคารพมาตั้งแต่เด็ก พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ สอนให้รัในหลวง

“ภาพเหมือนพระบรมสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในความรู้สึกผม ท่านก็เหมือนกับเทพที่มีบุญญาบารมี พระองค์ท่านทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศไทย หรือภาพวาดพระบรมสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯรัชกาลที่ 5 ทรงนั่งบัลลังก์ที่ผมเพิ่งเขียนเสร็จใหม่ๆ ผมมีความรู้สึกเหมือนผมผูกพันกับพระองค์ท่าน พระองค์ทรงประกาศเลิกทาส ทำคุณประโยชน์ให้ประเทศไทยมหาศาล เมื่อเขียนภาพพระบรมสาทิสลักษณ์พระองค์สำเร็จ ก็เหมือนกับพระองค์ท่านช่วยให้จิตใจเรามีกำลัง

“คนที่เป็นศิลปินที่แท้จริงทุกคนจะมีจุดมุ่งหมายเดียวกันที่มีอยู่ในตัวเอง มันจะมีความรู้สึกเพียงพอ ความโลภมันจะไม่มี ขอให้ได้นั่งเขียนรูป มันก็มีความสุขแล้ว อาจารย์ทวี นันทขว้าง เคยสอนผม ท่านเขียนรูปมาเยอะ ท่านบอกว่า ใจแกอยากเขียนเหลือเกินแต่มือมันไม่ไปแล้ว สมองสั่งมาที่ใจ ใจสั่งร่างกายมาที่มือ สามอย่าง ถ้าไม่รวมเป็นหนึ่ง การทำงานมันก็มีอุปสรรค

“ฉะนั้นคนที่จะเดินเข้ามาบนเส้นทางของศิลปะ ต้องเป็นคนมุ่งมั่นสำคัญที่สุด อย่ายอมแพ้ เมื่อไรที่ยอมแพ้ มันจะไม่อยากทำงานถ้ามีฝีมือและมีใครสนับสนุน โอกาสที่จะเป็นศิลปินจึงจะมีเยอะ ผมจึงโชคดีที่มีคุณพรสวรรค์ให้ความอนุเคราะห์ ช่วยเหลือทุ่มเทมอบให้ทั้งกำลังกาย ใจ ทุนทรัพย์ ด้วยความเชื่อมั่นในตัวผม ผมจึงสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องไปกังวลเรื่องอื่นๆ

“ผมจึงอยากฝากถึงผู้ที่มีสตางค์มากๆ ให้เห็นคุณค่าและรักงานศิลปะ อยากจะช่วยเหลือศิลปิน เห็นใครที่สร้างผลงานดีๆ มีกำลังทรัพย์อยากสนับสนุนก็น่าจะดี เขาเองจะได้มีกำลังใจในการทำงาน เพราะว่าศิลปินทุกคนมีอะไรดีๆ อยู่ในตัวตนทุกคน คนที่จะมาเรียนทางนี้ บางคนถูกดึงออกก็มี ด้วยความจำเป็นหลายอย่าง ต้องไปทำงานอย่างอื่น ผมมีลูกศิษย์ที่เก่งๆ หลายคน แต่เมื่อถึงเวลาจริงๆ เขาก็ไม่ได้มาทำอาชีพนี้ เพราะไม่มีคนสนับสนุน เขาจะเอาอะไรกิน เขาจึงไปทำงานอะไรก็ได้ที่ได้สตางค์มาหล่อเลี้ยงมันเป็นการสูญเปล่า ภาครัฐบาลเองก็ไม่เห็นความจำเป็นของศิลปิน เขาไม่ให้ความสำคัญตรงจุดนี้ ประเทศอื่นที่เจริญแล้วเขาสร้างหอศิลป์ ซื้องานศิลปะมาเก็บไว้ให้คนในประเทศเขาชื่นชม ซื้อรูปศิลปินเยี่ยมๆ เอาไว้ยังได้บุญอีก

“อย่างประเทศญี่ปุ่นเอง เขาทุ่มซื้อรูปของศิลปินจากทั่วโลกเอามาเก็บไว้ให้คนในชาติได้ดู ความเจริญของศิลปวัฒนธรรมแสดงถึงความเจริญของคนในชาติ พูดไปมันคงยาก บางคนซื้อรูปเป็น แล้วเลือกคนเป็น การซื้อรูปของอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี หรืออาจารย์จักรพันธุ์ โปษยกฤต ตั้งแต่สมัยยังไม่ดัง ราคายังไม่เท่าไร เดี๋ยวนี้มันมีมูลค่า มันเป็นกำไร เพียงแต่ศิลปินไม่ได้ คนที่ได้คือคนที่เก็บสะสม ศิลปินไม่ได้อะไร แต่คนเก็บจะนึกถึงศิลปินหรือเปล่า เมื่อขายต่อได้เงินมามาก อาจจะไม่ได้นึกถึงด้วยซ้ำไปหรืออย่างรูปอาจารย์เฟื้อหรืออาจารย์อวบ ที่เก็บๆ กันไว้ เดี๋ยวนี้ขายได้เป็นล้านๆ บาท แต่ก่อนตาย แกมีสตางค์เหลือสักกี่บาทศิลปินไม่ได้สตางค์หรอก แล้วคนก็จะเอาเปรียบศิลปินตลอด

“อย่างที่เคยบอกว่า ภาพที่ผมสร้างสรรค์สำเร็จเสร็จสิ้น ผมก็รักของผม เผอิญมีเศรษฐีท่านหนึ่งมาชมผลงานของผม ท่านชอบภาพๆ หนึ่งแล้วบอกว่า ภาพนี้สวยนะ อยากซื้อภาพนี้เอาไปติดผนังใกล้ๆ เปียโน ลดได้เท่าไร ห้าแสนเหลือสามแสนห้านะอาจารย์ งานศิลปะมันตีค่าไม่ได้ ยังมาต่อรองกันอีก มาตื๊ออยู่หลายรอบ ผมไม่ยอมขาย เพราะเราต้องเห็นคุณค่าของงานศิลปะ”

ศิลปอลังการ

“คุณพรสรรค์บอกกับผมว่าอาจารย์อยากสร้างสรรค์งานอะไร สร้างสรรค์ออกมาให้เต็มที่ไปเลย ทุกวันนี้ผมสร้างสรรค์งานได้อย่างต่อเนื่อง รูปภาพทุกรูปมีความหมายหมด ผมชอบวาดภาพดอกไม้ เป็นกลุ่มดอกไม้ในวรรณคดีต่างๆ มีตราของ ‘ศิลปอลังการ’ อยู่ด้วย ตรานี้ได้มาขณะที่ผมนั่งสมาธิสวดมนต์ คาถาชินบัญชร ของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) พร้อมคำแปล เหมือนกับท่านมาบอกให้ตั้งชื่อนี้ อย่างบางรูปที่เราดู มันยังกับมีเลือด มีเนื้อ มีเอ็นอยู่จริงๆ มันยากมาก ผมเรียนสำเร็จ เขาเรียกเทคนิคแบบ Old Master มันเป็นเทคนิคแบบโบราณที่ทำยากมาก มีคนเคยร้องไห้ เพื่อจะขอซื้อรูปนี้ แต่ผมไม่ขาย

“หรืออย่างภาพพระบรมสาทิสลักษณ์ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถฯ รูปจริงสวยงามมาก ผมเขียนรูปอยู่บนดอกไม้พระนามทั้งหมด มีกุหลาบควีนสิริกิติ์ คัทลียาควีนสิริกิติ์ ฯลฯ พระองค์ประทับนั่งอยู่บนภูเขา สวยงามมาก แล้วมีต้นธันยาที่พระองค์ทรงโปรดใบไม้สีทอง

“เวลาผมจะทำอะไร ผมจะมุ่งมั่น ทุ่มเท ทำแบบสุดๆ อยู่ตรงนั้น การลากเส้น มันก็คล่องอยู่กับมือตัวเอง มันอยู่ที่การฝึกฝน พื้นฐานมาจากการฟังเพลงคลาสสิก มันจะมีน้ำหนัก เส้นไหนเบา บาง เส้นไหนแรง เราก็กระชาก จากที่อาจารย์มานิตย์ สอนมา ผมได้เปรียบตรงนี้ มันเป็นผลดีกับตัวเองมาก มันอัศจรรย์ ผมทำอะไรก็ทำเต็มที่ ทำจริงตลอด ฉะนั้นรูปที่เขียนสวย มันจะต้องมีน้ำหนัก ทำน้อยแต่ได้มาก เพราะเรามีพื้นฐานอยู่ในตัวเรา

“ภาพทุกภาพที่ผมเขียน เพราะผมอยากเขียน ผมเขียนได้หมด ผมสามารถได้ใจตัวเองเขียนลงไปได้ทุกอย่างที่เราเห็น เขียนดอกไม้หรือจะเขียนคนก็ได้ ผมเขียนได้หมด ดอกไม้จะเป็นกลีบบางเบาขนาดไหน สวยแค่ไหน เมื่อดอกไม้ถูกแดดก็เหี่ยว เราต้องเขียนให้ได้อารมณ์ บางคนเขียนใบบัว บางคนเขียนภาพเจาะเลือด แล้วมีน้ำเหลืองออกมา สมัยก่อนจะถูกสอนไว้ว่าถ้าเขียนรูปออกมา ตรงไหนเน่า เขียนแล้วออกมาเป็นเลือด วิธีการสอนมันเปลี่ยนไป เขียนอธิบายความหมายของรูปที่เขียนขึ้นมา ว่ามาจากอะไร มันสำคัญตรงนี้ อาจารย์ศิลป์จึงบอกไว้ว่า นายไม่ต้องไปอธิบายอะไร งานมันอธิบายตัวเองมันอยู่แล้ว

“ความงดงามของศิลปะคือความจริงใจที่สุดในตัวเรา ผมเชื่อว่าจิตใจคนมันงามที่สุด ถ้าเรารู้ว่าเราควรจะตั้งอยู่ตรงจุดไหนของมันทุกอย่างมันขึ้นอยู่ที่ใจ จะร้ายหรือดี แต่ถ้าจิตใจเรางดงาม จิตใจเราดีแล้วอะไรก็ดี ผมค่อนข้างจิตใจดี ผมจะไม่โกรธ ไม่เกลียดใครจะทำอะไรไม่ดี ผมก็จะให้อภัย เพราะผมคิดว่าถ้าเราโกรธ มันจะฆ่าจิตใจเราเอง ถ้าเราโกรธ จิตใจเราเองก็ไม่ดีกับเขา แต่เรารู้สึกว่าเราแยกออกจากจิตใจตัวเราเอง เราไม่ดีกับตัวเราเอง เราแย่แล้ว เราจะไปโกรธตัวเราเองทำไม ให้เราอยู่อย่างสงบๆ มันก็สบาย ชีวิตผมเองตัวคนเดียว ไม่มีครอบครัว รถก็ไม่ต้องมีขับ ไม่ต้องมาดูแลรักษา โทรศัพท์มือถือก็ไม่มี ไม่ต้องไปเติมสตางค์ให้ปวดหัว (หัวเราะ)

“ผมรู้สึกว่ามันอยู่ในโลกของเราแล้ว มันมีโลกที่เราฝันถึงอยู่ มันจะฝันอีกนานเท่าไรไม่รู้ เราก็รวบรวมเอาความฝันของเราทั้งหมดให้จบ ผมยังฝันถึงงานภาพที่จะเขียนทั้งหมด ฝันถึงพระอภัยมณี ฝันถึงความตั้งใจในการสร้างงาน ที่จะทำให้เป็นเรื่องราวในแบบวิจิตรพิสดาร ซึ่งจะต้องสร้างสรรค์งานไปเรื่อยๆ เมื่อไรที่ผมทำไม่ได้ดี ผมก็จะไม่ทำ”

การแสดงผลงานศิลปะด้วยพลังของความรัก