ทันตแพทย์สม สุจีรา

ทันตแพทย์สม สุจีรา

ไม่บอกก็คงไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นทันตแพทย์และเป็นนักเขียนที่มียอดพิมพ์หนังสือมากกว่าหนึ่งแสนเล่มภายในระยะเวลาไม่นาน(หากคุณเคยอ่านหนังสือที่ชื่อ “ไอน์สไตน์พบพระพุทธเจ้าเห็น” หรือ “เดอะท็อปซีเคร็ต” ก็คงไม่แปลกใจในปรากฏการณ์ของหนังสือสองเล่มนี้)

 

นั่นเป็นเพียงงานส่วนหนึ่งของผู้ชายคนนี้ ทันตแพทย์ สม สุจีรา ที่ตอนนี้กำลังมีหนังสือเล่มล่าสุดออกมาเขย่าวงการนักเขียนอีกครั้งในชื่อหนังสือว่า “ทางลัดสู่อัจฉริยะ” ที่พูดถึงเคล็ดลับความเก่งของบุคคล เขาบอกว่าคนส่วนใหญ่สามารถพัฒนาตัวเองได้เสมอ

 

“ทางลัดสู่อัจฉริยะเป็นหนังสือเกี่ยวกับเรื่องของเคล็ดลับในการเรียน มันจะมีประโยชน์กับเด็กๆ มาก หนังสือของผมมักเป็นเรื่องเกี่ยวธรรมะและวิทยาศาสตร์ เพราะฉะนั้นเรื่องวิทยาศาสตร์หรือเรื่องการเรียนมันอธิบายได้ ก็เลยน่าจะอธิบายเรื่องการเรียนได้เรื่องราวในหนังสือเล่มนี้มาจากผมและเพื่อนๆ ผมอยู่กับคนเก่งๆ เยอะ ทุกคนมีเคล็ดลับ แต่ส่วนใหญ่เขาจะไม่เขียนออกมา อย่างเช่นเคล็ดลับการอ่านหนังสือ เคล็ดลับการจำ ซึ่งจริงๆ เขาไม่ได้จำตรงๆ แต่เขามีเทคนิคนะ สมองของคนเรามีประสิทธิภาพไม่ต่างกันหรอก แต่อยู่ที่ว่ารู้เทคนิคไหม”

 

ทันตแพทย์สม สุจีรา เริ่มสนใจด้านจิตวิทยามาตั้งแต่เป็นนักศึกษาแพทย์ แต่มาจริงจังกับเรื่องนี้เมื่อกลับมาจากการเป็นแพทย์ที่จังหวัดสตูล จนได้เข้ามาเรียนทางด้านศึกษามหาบัณฑิตทางจิตวิทยาการให้คำปรึกษา ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร จนเมื่อได้ไปปฏิบัติธรรมนั่งวิปัสสนากรรมฐานอยู่เป็นปีก็ค้นพบความอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในชีวิต

 

“พอเรียนจบแล้วเหมือนยังไม่ได้อะไรเลย ผมเรียนหลักสูตรตะวันตก ถ้าเปรียบเหมือนน้ำก็จะบอกแค่ว่ามีจุดเดือดเท่าไหร่ มีจุดหลอมเหลวเท่าไหร่ คือมันดูแต่พฤติกรรมที่น้ำแสดงออก แต่ศาสนาพุทธไม่ได้มองแบบนี้มันมี H2O มีอะตอม คือพระพุทธเจ้ามองลึกกว่า จิตวิทยาตะวันตกจะวิเคราะห์อารมณ์ที่แสดงออก แต่พระพุทธเจ้าจะวิเคราะห์สาเหตุของอารมณ์

 

“ตอนแรกผมไม่เชื่อการหยั่งรู้อนาคต ไม่เชื่อเรื่องพระพุทธเจ้าตรัสรู้ แต่พอได้ลองปฏิบัติดูก็รู้ว่าทำไม หลายอย่างในโลกมันโดนล็อกกันมาแล้ว อย่างการเจอกันของคนเรา ความจริงมันถูกกำหนดมาแล้วนะ ผมเริ่มจากความไม่เชื่อ ไม่เชื่อว่าอนาคตถูกกำหนดมา แต่พอเวลานั่งสมาธิก็รู้ได้ เพราะอาจารย์ที่ปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิจะมีญาณ”

 

เขายังบอกอีกว่าการที่คนเราถูกกำหนดโชคชะตาไว้เพราะมีกรรมเก่าอยู่ ตัวนี้เองที่จะบอกได้ว่าคนเราจะเป็นอย่างไรในอนาคตเขาเปรียบเทียบกับทางวิทยาศาสตร์ว่าหากนำเด็กคนหนึ่งมาตรวจพิสูจน์ทางการแพทย์ จะพบยีนเบาหวาน มีตา  ผิว สีอะไร หรือแม้แต่นิสัย ซึ่งสมัยนี้สามารถรู้ได้เกือบทั้งหมด เราเรียกว่าพันธุกรรม แต่ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่อยู่บนตัวของเด็กคนนี้เช่นกัน นั่นคือวิบากกรรม ซึ่งไม่สามารถใช้เครื่องมือทางการแพทย์ตรวจสอบได้

 

“คือมันมีอยู่ 2 อย่าง พันธุกรรมคือ ดีเอ็นเอ กับวิบากกรรมคือจิต พอดีผมเรียนมาทางนี้เลยรู้ว่ามันเกี่ยวกัน อยู่ๆเราไม่ฟลุคมาเกิดเป็นคนหน้าตาอย่างนี้หรอก เพราะจิตมันต้องการ หรือเกิดมาเจอที่บ้านเป็นโรคประจำตัวเบาหวาน ความดันสูง ความจริงมันเป็นวิบากกรรมที่เชื่อมโยงกับพันธุกรรม”

 

ถ้าพูดถึงเรื่องของความเชื่อก็ย่อมเหมือนเหรียญที่มี 2 ด้าน แน่นอนสิ่งที่เขาศึกษาและนำมาเผยแพร่ต่อสาธารณะชนย่อมมีคนที่ชื่นชอบและคนที่ต่อต้าน แต่เขาบอกว่าเป็นเรื่องธรรมดา

 

“มีคนบอกว่าผมจับแพะมาชนแกะ ก็ไม่รู้สึกอะไรนะ เพราะเมื่อก่อนผมก็ไม่เชื่อเรื่องตายแล้วเกิด ถ้านักวิทยาศาสตร์มาอ่านมาเขาต้องไม่เชื่อ นักวิทยาศาสตร์จะบอกว่าไอน์สไตน์ค้นพบสิ่งที่เป็นรูปธรรมเช่น ระเบิดปรมาณู แต่พระพุทธเจ้าพบนามธรรมล้วนๆ ซึ่งพิสูจน์ไม่ได้”

 

เขาวาดฝันไว้ว่าในอนาคตอันใกล้นี้ จะใช้เวลาทุ่มเทให้กับการเขียนหนังสือ บรรยาย แนะนำชีวิตให้กับคนทั่วไปให้ได้รับรู้สิ่งที่เขาศึกษามาเป็นอย่างดี

 

“สิ่งที่ผมอยากทำคือการเขียนหนังสือ แล้วก็ไปบรรยายในมหาวิทยาลัยหรือองค์กรต่างๆ ผมจะเลือกบรรยายอย่างมีแผนการ ผมต้องการเปลี่ยนโครงสร้างของสังคมซึ่งเป็นเรื่องใหญ่นะ เพราะสิ่งที่ผมต้องการจริงๆ คือการทำคนดีให้เป็นคนเก่ง แต่การทำคนเก่งให้เป็นคนดียากกว่าการทำคนดีให้เป็นคนเก่ง คือถ้ามันเก่งแล้วไม่ดี การเปลี่ยนมันจะยากมากๆ เลย แต่ถ้ามันดีแล้วเปลี่ยนให้มันเก่งจะง่ายกว่า ซึ่งผมรู้วิธีสอน”

 

เพราะมนุษย์ทุกวันนี้มักลืมคิดถึงจุดสุดท้ายของชีวิต จนทำให้บางคนมีกิเลสในการดำรงชีวิตอยู่มากจนเกิดการแก่งแย่งชิงดีในสังคม ทำให้คำว่าความสุขในชีวิตค่อยๆ จางหายไปในที่สุด คุณหมอสมได้ทิ้งท้ายเรื่องการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไว้ว่า

 

“รู้จักการพอ ผมว่าชีวิตคนเราตอนนี้ดีกว่าฮ่องเต้สมัยโบราณอีก ลองคิดดูสิ สมัยนั้นไม่มีพัดลม แอร์ บ้านเราสบายกว่าเยอะ ทียุงก็เข้ามาไม่ได้ ยารักษาโรคก็เยอะ ถ้าเทียบกับคนสมัยก่อน เรามีความสุขกว่าเยอะ แต่มันมีกิเลสไง คำว่าพอไม่ได้หมายความว่าหยุดนะ แต่การพอแบบไม่มีกิเลส สติจะมา พอเวลาทำงานก็จะมีความสุข แล้วประสิทธิภาพในการทำงานจะเพิ่มขึ้นเอง”

 

Know Him!

• เกิดที่จันทบุรี แต่มาเติบโตที่ระยอง

• สำเร็จการศึกษาในระดับประถมศึกษาและชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นจากโรงเรียนอัสสัมชัญ

• ศึกษาต่อมัธยมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียน เตรียมอุดมศึกษา พญาไท 

• สอบเทียบจนได้เรียนคณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ควบคู่ไปกับการลงเรียนคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง

• หลังเรียนจบ ไปเป็นทันตแพทย์ที่ตรังหนึ่งปี ก่อนจะกลับมากรุงเทพมาศึกษาเรื่องจิตวิทยาอย่างจริงจัง

• งานเขียนของเขามีดังนี้ ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น / เดอะท็อปซีเคร็ต / เจาะตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช / เกิดเพราะกรรมหรือความซวย / ทางลัดสู่อัจฉริยะ

เราบอกลาหนุ่มใหญ่ใส่แว่น รูปร่างสันทัด ที่หน้าโรงหนังสยามพารากอน