The Living Power of Faith ผู้สร้างศรัทธาด้วยหัวใจ
“ถ้ากูจะบ้า กูก็บ้าในส่วนที่กูบ้า แล้วใครจะว่าผมก็ไม่ได้โกรธเขา... ผมไม่ได้เป็นคนฉลาดแต่ผมเป็นคนบ้า บ้าที่จะสร้างอะไรไว้ให้ลูกหลานได้จดจำ ในชีวิตผม ผมขอเป็นตำนานแต่ไม่ขอเป็นตำหนิแค่นั้นเอง…”
นายกรธัช วัชระจิรากร หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ ‘ตุ๊ก บางปะอิน’ กำลังทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ทุ่มเททุกสรรพกำลังเพื่อสร้างศูนย์รวมใจทางจิตวิญญาณให้กับผู้ศรัทธา นั่นคือ ‘เทวสถาน สทาศิวะ มหาศิวลึงคัม พระอารามศรีรุทรนาถ’ ซึ่งเป็นเทวสถานฮินดูผสมผสานศิลปะกรรมขอม ตั้งอยู่ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ตุ๊ก บางปะอินมีชื่อเสียงในฐานะผู้เชี่ยวชาญเรื่องประวัติศาสตร์โดยเฉพาะสมัยกรุงศรีอยุธยา ด้วยน้ำเสียงและลีลาอันเป็นเอกลักษณ์ ทำให้เรื่องราวที่เขาเล่ามีชีวิตชีวาน่าติดตามเป็นอย่างมาก นอกจากนี้เขายังเป็นนักสะสมศาสตราวุธโบราณ พระเครื่อง วัตถุมงคล เครื่องราง และมีความรู้ด้านไสยเวทย์อย่างลึกซึ้งด้วย

จุดเริ่มต้นของตุ๊ก บางปะอิน
“ผมชื่อตุ๊ก ปัจจุบันอายุ 55 ย่าง 56 ปี ผมเป็นคนบางปะอิน อยุธยา พื้นเพเดิมเป็นคนหลายที่ ครอบครัวย้ายมาเรื่อย ๆ เพราะคุณพ่อทำงานก่อสร้าง สุดท้ายมาตั้งรกรากที่บางปะอินประมาณ 40 กว่าปีก่อน ผมเรียนจบม.6 จากโรงเรียนดอนเมืองทหารอากาศบำรุง หมายเลข 17894 หลังจากนั้นก็ไม่ได้เรียนต่อ
“แม้ไม่ได้เรียนในระบบแต่ผมเป็นนักอ่าน ชอบอ่านหนังสือมาก เห็นหนังสือเศษกระดาษก็หยิบขึ้นมาอ่าน เนื่องจากจบมัธยมปลายแล้วไม่ได้เรียนต่อ ยายของผมเห็นว่าอนาคตหลานจะลำบากก็ออกมอเตอร์ไซค์ให้คันหนึ่ง แต่มันเหมือนเป็นการต่อแขนขาให้วัยรุ่น เราก็แว้นเลยสิ สมัยนั้นวัยรุ่นแว้นกันสนุกสนาน จากนั้นผมถึงได้เข้าทำงานในโรงงานแห่งหนึ่งเงินเดือน 2,700 บาท ตกวันละ 75 บาท ไม่รวม OT แต่แค่ผ่อนรถก็ 1,637 บาทเข้าไปแล้ว
“ส่วนเรื่องพระเครื่อง ผมได้คุณพ่อเป็นแรงบันดาลใจ เพราะพ่อชอบเล่นพระแต่ดูพระไม่เก่ง เราก็คลุกคลีเรื่องนี้มาตั้งแต่ตอนนั้น แล้วประมาณอายุ 20 กว่าไม่เกิน 25 ปีผมก็เริ่มผันตัวเป็นเซียนพระ เนื่องจากโรงงานให้ออกจากงานเพราะเป็นคนเกเรไม่อยู่ในระเบียบวินัย แต่ผมต้องขอบคุณโรงงานด้วยที่สอนให้เราเป็นคนมีระเบียบมาถึงทุกวันนี้ โดยเฉพาะ 5 ส.ที่คนญี่ปุ่นสร้างระบบให้คนมีระเบียบ ซึ่งบางอย่างผมได้นำมาใช้ในปัจจุบัน
เส้นทางขรุขระของเซียนพระเครื่องหน้าใหม่
“พอออกมาจากตรงนั้นผมก็ทำอาชีพเป็นเซียนพระ มันต้องละเอียดรอบคอบอย่างมากไม่อย่างนั้นจะโดนเก๊ ผมเลี้ยงตัวมาจากพระเครื่องตลอดแต่ยังไม่เก่งสักที สมัยนั้นไม่มีอินเทอร์เน็ต แต่เมื่ออยากได้ลูกเสือก็ต้องเข้าถ้ำเสือ ผมเลยเดินทางไปจตุจักร กรุงเทพฯ ไปยืนดูตามตู้ทำเลียบ ๆ เคียง ๆ ฟังเขาคุยกัน ซึ่งผมเป็นคนมืออ่อน อาจารย์ฮั้ว ลพบุรี อาจารย์จรัญกับอาจารย์เพลิน นครนายก เขาเห็นว่ามาทุกอาทิตย์จึงเมตตาสอนการดูพระให้ แต่ช่วงแรกเราก็ต้องเป็นเบ๊ก่อน มีอะไรก็ต้องทำ
“กระทั่งรู้จักเพื่อนในวงการหลายคน แล้วมีโอกาสมาปักหลักที่นวนครอยู่กับเฮียเหลียง จนได้พบกับบุคคลสำคัญในชีวิตการเล่นพระของผม นั่นคือคุณสมเกียรติ จงกลวานนท์ หรือ ‘เฮียควง’ ท่านเป็นเจ้าของโรงงานวัสดุก่อสร้าง มีพระดีหายากเยอะและได้สอนผมดูพระเครื่อง ท่านนี้เป็นคนที่สร้างเซียนพระนามว่าตุ๊ก บางปะอิน โดยพระที่ผมเล่นส่วนใหญ่จะเป็นพระกรุโบราณ สมัยนั้นผมยังเคยเจอบอย ท่าพระจันทร์ด้วย ครั้งแรกเรานั่งขายพระคู่กัน ตอนนั้นสีผมเขาแดง ทรงแบบเทรนด์เกาหลี ตรงข้ามกับผมเลย ไอ้เรามันนักเลงลูกทุ่ง แต่เมื่อเจอกันบ่อยหลายงานก็เริ่มสนิทกัน
“พระเครื่องมันสามารถเปลี่ยนฐานะคนได้จริง ๆ บางองค์ซื้อมา 600 บาท ขายไป 120,000 บาท บางองค์ซื้อมา 900 บาท ขายได้ล้านกว่าบาทก็มี แต่สมัยนี้ไม่มีแล้วเพราะอินเทอร์เน็ตมันทำให้ทุกคนรู้เรื่องพระเท่ากัน มีพระมาปุ๊บแล้วถ่ายลงโซเชียลหรือลงในกลุ่มเลย จะหาพระราคาหลักร้อยขายหลักล้านไม่ได้กินแล้ว”

ประวัติศาสตร์เปลี่ยนชีวิต
“ผมสนใจเรื่องประวัติศาสตร์ในช่วงวัยรุ่นตอนที่ผมยังทำงานอยู่โรงงาน เริ่มแรกเพื่อนชวนมาดูคอนเสิร์ตอัสนี-วสันต์ พวกเขามาแสดงที่บึงพระราม อยุธยา เราก็ขี่มอเตอร์ไซค์แว้นกันมาเลย แต่สิ่งที่ทำให้ประทับใจคือได้พบกับโบราณสถานของวัดพระราม "เฮ้ย! มันอะไรวะ" ตั้งแต่นั้นก็ชอบเรื่องประวัติศาสตร์ พอเสาร์ – อาทิตย์โรงงานหยุด ผมจะขี่มอเตอร์ไซค์มาชมโบราณสถาน ขี่วนดูไปทั่ว หลังจากนั้นก็หาหนังสือมาอ่านแล้วศึกษาอย่างจริงจัง
“สมัยก่อนพอหน้าแล้งปุ๊บ โบราณสถานจะโผล่ขึ้นมา ก่อนหน้านั้นใบไม้มันร่วงปกคลุม จะเห็นวัดเก่าโผล่ขึ้นมา เมื่อก่อนถนนเป็นลูกรัง เดี๋ยวนี้ถนนเป็นคอนกรีตหมดแล้ว แต่ผมไปเที่ยวไม่เหมือนคนอื่น เพราะผมจะเข้าไปคุยกับชาวบ้านท้องถิ่นทำให้เห็นภาพในอดีตชัดเจน มันสามารถต่อกับประวัติศาสตร์ได้เลยโดยเฉพาะพระเครื่อง บางกรุมันได้เชื่อมถึงสิ่งที่กษัตริย์สร้าง อย่างวัดใหญ่ชัยมงคล พระขุนแผนเคลือบเบอร์ 1 ของอยุธยา สิ่งเหล่านี้เองทำให้ผมสนใจในเรื่องของกษัตริย์สมัยอยุธยารวมถึงศิลปะอยุธยาด้วย
“ส่วนในเรื่องของศาสตราวุธหรืออาวุธโบราณ ผมเป็นคนที่เก็บดาบมานานและมีจำนวนมาก หลังจากนั้นทางจังหวัดเขาจัดงานประกวด ผมก็เอาดาบไปแสดงจนคนในงานตื่นตาตื่นใจมาก "เฮ้ย! อยุธยามีอย่างนี้ด้วยเหรอ" พอแสดงงานจบ คนเริ่มรู้จักแล้วว่าตุ๊กคือเซียนพระที่สะสมอาวุธโบราณ คนที่เล่นโซเชียลมีเดียก็ถ่ายรูปไปลง ผมจึงเริ่มมีชื่อเสียงกลายเป็นตุ๊ก บางปะอิน คนเก็บสะสมศาสตราวุธ
“หลังจากนั้นคุณไตรเทพ ไกรงู (ยูทูบเบอร์) ได้มาขอสัมภาษณ์ผม ไม่คิดเลยว่าคลิปนั้นจะเป็นคลิปเปิดตัวตุ๊ก บางปะอิน เพราะทุกคนตกใจว่า "เฮ้ย! อยุธยามันมีแบบนี้ด้วยเหรอ" พอคนดูเยอะ พี่ไตรเทพก็อยากสัมภาษณ์อีก เราเลยบอกว่าเรื่องดาบมันสุดแล้ว ไปสัมภาษณ์เรื่องโบราณสถานดีกว่า ผมก็ไปเล่าเรื่องโบราณสถาน พระราชวัง วัดร้าง เราถือแผนที่บรรยายเรื่องราวต่าง ๆ ในอยุธยาและอธิบายได้หมด พวกศิลปะของอยุธยา บัวคว่ำ บัวหงาย ฐานสิงห์ ฯลฯ แล้วผมก็ออกมาทำคลิปเองโดยรวมกลุ่มกับน้อง ๆ สร้างอโยธยา กรุ๊ป ทำเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์อยุธยา พอเริ่มมีชื่อเสียงรายการต่าง ๆ ก็เชิญไปสัมภาษณ์ทำให้ผมดังขึ้นมา จากเซียนพระกลายเป็นนักประวัติศาสตร์ตั้งแต่ตอนนั้น”


ตื่นรู้ทางจิตวิญญาณและการพบพระองค์
“ผมมีโอกาสได้ไปเที่ยวปราสาทหินเขาพนมรุ้ง นั่นคือการไปปราสาทหินครั้งแรกของผม แล้วผมได้พบกับประสบการณ์พลังงานบางอย่างที่ยิ่งใหญ่ ก่อนหน้านี้ผมบอกเลยว่าไม่มีความเชื่อเรื่องนี้ เราเชื่อเรื่องพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่เชื่อเรื่องเกี่ยวกับเทพเทวา ใครมาแต่งตัวเป็นพระศิวะหรือแต่งตัวเป็นคนทรง ผมบอกเลยว่าพวกนี้ของเก๊หมด ไม่มีวันเชื่อ
“วันที่ผมไปปราสาทหินเขาพนมรุ้ง เจ้าหน้าที่พาเราเข้าข้างหลังไปยังห้องคันธกุหะ ผมคิดว่าเราต้องเจอพระแต่ดันไปเจอหลักหินซึ่งมันคือ ‘ศิวลึงค์’ เขาให้เรายืนไหว้แล้วเหมือนขาผมเป็นเหน็บ มีอะไรบางอย่างมันไหลเข้ามา จนวันหนึ่งเหมือนผมได้พบพระองค์ (พระศิวะ) อันนี้ต้องบอกท่านผู้ชมด้วย มันเป็นความเชื่อส่วนบุคคล ท่านต้องใช้วิจารณญาณ ผมไม่ใช่คนบ้า ผมคือคนปกติเหมือนท่าน แต่ความเชื่อเราห้ามกันไม่ได้ เพราะมันเหมือนผมได้พบพระองค์และได้มาคุยกันหลาย ๆ เรื่อง
“เมื่อวันที่ผมสื่อสารกับพระองค์ มันแปลกประหลาดมาก ผมว่าสิ่งนี้มันไม่น่าเชื่อว่าจะมีจริง เราก็มองย้อนไป "เฮ้ย! ทำไมอินเดียคนเขายังนับถือพระศิวะอยู่เหรอ แล้วทำไมคนโบราณถึงสร้างปราสาทหินเพื่อบูชาศิวลึงค์" เราจึงเริ่มศึกษา และเริ่มค้นคว้า จนกระทั่งมาถึงทุกวันนี้”
เทวสถานแห่งความศรัทธา
“ตอนที่ออกมาสร้างเทวสถานคนรอบข้างด่าหมด ด่าคนชื่อตุ๊ก บางปะอิน ทุกวันนี้ก็ยังมีคนด่าอยู่ว่าบ้า สติไม่ค่อยดี เสียเวลา เอาเวลาไปเล่นพระหาเงินหาทองดีกว่า ล่าสุดผมขายดาบไป 4 เล่มซึ่งเป็นสมบัติส่วนตัว ได้เงินมา 600,000 บาท เอาเงินมาซื้อที่ดินเพื่อสร้างเทวสถาน เนื่องจากผมสัมผัสถึงพระองค์ สัมผัสถึงพลังงานแห่งพระองค์ ผมรู้ว่าพระองค์มีจริง
“ไม่น่าเชื่อว่าผมจะใช้เวลา 1 ปี 8 เดือนในการสร้างเทวสถานแห่งนี้ได้ ทุกอย่างลิขิตโดยพระองค์หมด ผมรับความฝัน ผมฝันว่าพระองค์มาบอกผม "จงไปตามหาศิวลึงค์และสร้างมหาวิหารแห่งเรา ณ ที่ตรงนั้น" ศิวลึงค์เรารู้แล้วว่ามันเป็นศิวลึงค์ที่เกิดจากหินธรรมชาติ ซึ่งตอนผมหาที่ดินเพื่อจะทำศาสนสถาน ผมเข้าใจว่าศิวลึงค์มันคือลึงคบรรพต (ยอดเขาที่เกิดจากธรรมชาติเป็นรูปศิวลึงค์) แล้วก็มาคิดว่าเราไปจะไปซื้อที่ดินที่มีเขาโด่แบบนี้ได้จากไหน
“จนกระทั่งผมได้พบที่ดินที่จะสร้างแต่ตกลงราคาไม่ได้ เจ้าของเขาจะขาย 5 ล้านบาทแต่ผมไม่มีเงิน ระหว่างที่ยังคิดอะไรไม่ออก ผมตัดสินใจบอกน้อง ๆ ในกลุ่มว่าผมจะลาออกจากประธานกลุ่มอโยธยา กรุ๊ป เลิกทำคลิปเกี่ยวกับประวัติศาสตร์แล้วจะออกมาสร้างเทวสถาน
“ตอนที่ผมลาออกจากกลุ่มอยุธยา กรุ๊ป ผมเหลือเงินแค่ 220,000 บาท เมียผมร้องไห้บอก "เราจะไปต่อยังไงพ่อ" ผมบอก "ไม่ต้องกลัว พ่อยังมีดาบอีกหลายเล่ม พระเครื่องก็พอมีเก็บอยู่” เมื่อเราศรัทธาในพระองค์ เรามั่นใจในพระองค์แล้ว เชื่อว่าพระองค์จะไม่ทิ้งเราให้โดดเดี่ยว เพียงแต่เราต้องก้าวผ่านและพิสูจน์ความศรัทธาความภักดีในตัวพระองค์แค่นั้นเอง"
“ผมออกตามหาสถานที่เพื่อจะสร้างพระองค์ แล้วเลือกที่ดินแปลงนี้เพราะมันเด้งขึ้นมาในโซเชียลมีเดีย หลังจากนั้นผมขับรถยนต์เข้ามาดู ถามว่าทีแรกชอบไหม? ไม่ชอบหรอกเพราะเรามองว่าอยากได้ที่สวย ๆ อยู่ติดถนนใหญ่ แต่แปลงนี้มันอยู่ในหมู่บ้านแถมลึกอีก พอกลับไปบ้านนอนคืนนั้นผมฝัน ผมย้ำนะครับว่าเป็นความเชื่อส่วนบุคคล ผมฝันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งมาบอกว่า "ท่านเอาที่แปลงนี้แหละ เดี๋ยวฉันจะดูแลให้ท่าน" ผมรู้ทันทีว่าน่าจะเป็นเจ้าที่ก็เลยตกลงซื้อ แต่บอกเจ้าของโฉนดก่อนว่าไม่มีเงิน
“คำถามคือจะเอาเงินจากไหนมาซื้อที่ดิน? เนื่องจากผมมาสายวัตถุมงคล เรียนรู้เกี่ยวกับคาถาอาคมมานานแล้ว ก็เลยตัดสินใจทำวัตถุมงคลออกมา ผมบอกกับคนที่ซื้อวัตถุมงคลว่าจะทำเทวสถานแต่เราไม่รับบริจาค ซึ่งก็มีคนช่วยซื้อแล้วจากนั้นได้รวบรวมเงินเอามาซื้อที่ดินและทำสิ่งปลูกสร้างขึ้นมา”

สวยัมภูลึงค์ สัญลักษณ์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์
“สวยัมภูลึงค์หรือลึงคบรรพตเป็นศิวลึงค์ที่เกิดขึ้นเองจากธรรมชาติ ก่อนที่จะได้มาพระองค์บอกว่า “ต้องไปตามหาศิวลึงค์และสร้างมหาวิหารแห่งเรา” ซึ่งผมมารู้ภายหลังว่าสวยัมภูลึงค์คือหินที่เป็นรูปร่างศิวลึงค์ หลักนี้ได้มาจากพระอธิการมนตรี ฐิตวินโย วัดแก่งกลางดง จังหวัดนครราชสีมา จากการที่ท่านโพสต์ภาพทางโซเชียลมีเดีย ผมติดต่อไปถามท่านว่าได้มายังไง ท่านก็บอกว่าหินก้อนนี้มาจากตอนที่มีการตัดทางทำมอเตอร์เวย์
“ผมบอกท่านว่าขอได้ไหมแต่ไม่เอาฟรี ขอร่วมทำบุญกับท่านเพื่อทำพระนาคปรกองค์ใหญ่ 15,000 บาทแทน แล้วหลังจากนั้นให้ลูกศิษย์ไปขนมาไว้ที่เทวสถาน ผมก็ถมที่ดินให้รถไถพูนกองดินขึ้นมา เอาสวยัมภูลึงค์ตั้งลงไปเป็นอันเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งสามารถคุยได้เลยว่าเป็นเทวสถานในไทยแห่งเดียวที่มีศิวลึงค์อันเกิดจากธรรมชาติ
“ตอนที่มีโครงการสร้างองค์พระศิวะ ผมก็ขายวัตถุมงคลแล้วเอาเงินมาสร้างพระศิวะ ผมบอกเลยว่าพระศิวะของผมมันต้องเป็นแบบไทย เราเป็นคนไทยเราก็สร้างแบบไทย แต่มันต้องใหญ่กว่าของเขมร นี่คือความรักชาติ เขามีองค์เก่า 5 เมตร 20 เซนติเมตร เราก็จะต้องใหญ่กว่าคือ 7 เมตร 20 เซนติเมตร
“ผมมีความคิดว่าวันหนึ่งคนไทยจะไม่สามารถข้ามไปไหว้ที่เขมรได้ เราจึงควรจะสร้างของเราไว้เพื่อให้ลูกหลานมากราบไหว้ที่นี่ เทวสถานแห่งนี้ไม่มีตู้บริจาคแต่มีลูกศิษย์ที่ศรัทธา เขาจะช่วยเหลือบางส่วนในงบประมาณงานก่อสร้าง
“จากสถานที่ที่เป็นทุ่งนาก็กลายเป็นเทวสถาน ทุกวันนี้ถ้าใครเข้ามาก็ยังสร้างไม่เสร็จ ถ้ามีคนมาขอหมายเลขบัญชีเพื่อจะร่วมบริจาค ผมไม่ให้ เพราะผมตกลงกับพระองค์ว่าตอนที่พระองค์บอกให้สร้างพระอาราม ผมไม่มีเงิน แต่จะสร้างพระอารามท่านมันจะต้องขับเคลื่อนด้วยเงิน พระองค์ต้องหาผู้ศรัทธามา พระองค์ต้องหาสาวก พระองค์ต้องหาเงินมาให้ด้วย ไม่อย่างนั้นเราสร้างไม่ได้
“ทุกวันนี้ผมสร้างวัตถุมงคลเอาไปเลี้ยงตัวเองด้วยเพราะเราไม่มีงานทำแล้ว แบ่งเงินส่วนใหญ่ของตัวเองมาสร้างทั้งหมด ขายแม้กระทั่งของเก่าที่เก็บเอาไว้ มีอะไรขายหมด พระในคอก็ขายจนเหลือไม่กี่องค์แล้ว ต้องยอมรับว่าทุกวันนี้ลำบาก ต้องหาเงินจ่ายค่าที่ดินที่ยังค้างอยู่ ต้องจ่ายค่าคนงานก่อสร้าง ค่าน้ำ ค่าไฟ ยิบย่อยไปหมด รายรับ - รายจ่ายเหล่านี้ผมได้แถลงในเพจ Facebook ‘เทวสถาน สทาศิวะ มหาศิวลึงคัม พระอารามศรีรุทรนาถ’ ว่ามีอะไรบ้าง สามารถติดตามได้ แม้เราลำบาก แต่เราเชื่อมั่นในพระองค์ว่าเราจะไปต่อได้
“ผมยืนอยู่บนสวยัมภูลึงค์แล้วมองลงมา รำพึงกับตัวเอง “กูมาได้ยังไงวะ” ทั้งที่จริง ๆ แล้วมันไม่น่าจะมาได้เลย ไม่น่าจะสร้างได้ ทุกคนบอกว่าเป็นไปไม่ได้หรอก แต่ผมเชื่อว่ามันสร้างได้ถ้าเราทุ่มหมดตัว งานนี้เป็นงานสุดท้ายในชีวิตผมแล้ว ผมเลยเหมือนเล่นการพนัน เทหมดหน้าตักว่ามันจะแทงถูกหรือเปล่า ทุกวันนี้ไปเช็คดูได้ ผมเปิดเผยต่อสาธารณชนว่ามีแต่หนี้สิน เมียเป็นคนเก็บเงิน ผมไม่เคยเก็บเงินสักบาท ผมบอกเลยว่าเราต้องขายของ ไม่รับบริจาคโดยเด็ดขาด ผมก็อยากจะลองดูว่าถ้าเราไม่เปิดบริจาค ด้วยบารมีแห่งพระองค์ท่าน มันจะเสร็จไหม
“ปัจจุบันผมกินมังสวิรัติมา 2 ปีแล้ว เพราะพระองค์มาบอกว่า "จะสร้างได้ก็ต่อเมื่อท่านกินมังสวิรัติ ถ้าท่านไม่กินมังสวิรัติท่านไม่มีสิทธิ์จะสร้าง เพราะพระองค์ไม่เสวยมังสา แล้วท่านเป็นสาวกของพระองค์ ท่านต้องทำตัวเหมือนพระองค์" เราเลยปฏิญาณตนกินมังสวิรัติตลอด”
ศาสนา ศรัทธา และสติ
“แม้ผมจะมีความศรัทธาต่อพระองค์ (พระศิวะ) แต่วันนี้ก็ยังมีคนที่โง่งมงาย เชื่อว่าการอ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะทำให้ร่ำรวยได้ การอ้อนวอนขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ร่ำรวยเป็นสิ่งที่ไม่ผิด แต่ใครล่ะมันจะสมหวังทุกคน ไม่มีหรอก บางคนได้บางคนมันก็ไม่ได้
“สิ่งแรกที่คุณต้องทำคือพึ่งพาตัวเองให้สุดกำลังความสามารถของคุณ เมื่อคุณท้อ คุณก็มาเอาพลังใจจากพระองค์ไปเพื่อทำให้มันสุด ผมเชื่อว่าถ้าคุณพยายามประเทศไทยจะทำให้คุณรวยได้ แต่ถ้าคุณมาขอพระองค์แล้วคุณไปนั่งกระดิกตีนไม่ทำอะไรเลย คุณไม่รวยแน่นอน ไม่มีเงินหล่นจากฟ้ามาทับคุณหรอก
“ผมสร้างเทวสถานไม่ได้ให้คนมาขอความร่ำรวย ผมสร้างเพื่อให้คนมาขอกำลังใจ เป็นที่พึ่ง เอาพลังบวกไป เวลาไม่สบายใจผมจะมามองหน้าพระองค์ มาขอพลังใจจากพระองค์ มาขอแรงใจจากพระองค์ เพราะมันเป็นความเชื่อของเราเสร็จแล้วเราก็ไปลุยต่อหลังมาเติมพลัง เหมือนรถน้ำมันจะหมด เติมน้ำมันเข้าไปใหม่ ขับได้ต่อ
“ให้มาขอกำลังใจ มาขอสติปัญญา มาขอความอดทน มาขอความวิริยะ มาขอความอุตสาหะจากพระองค์ไป คุณดูพระศิวะแต่งตัวสิ ไม่มีทองเลย ท่านแต่งตัวเป็นมหาโยคีมีหนังนุ่งห่ม จะเอาเงินที่ไหนมาประทานให้คุณ ดังนั้นท่านเป็นมหาโยคีก็ให้คุณมาขอความอดทน เพราะโยคีต้องบำเพ็ญพรตด้วยความอดทน วิริยะ อุตสาหะ และมีจิตใจที่มุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว แล้วคุณค่อยเอาสิ่งนี้ไปทำงานกิจการของคุณ ผมเชื่อว่าคุณจะประสบความสำเร็จในชีวิตและในหน้าที่การงานของคุณเอง
“ศาสนาทุกศาสนาถูกสร้างมาเพื่อให้มนุษย์อยู่กันอย่างสันติสุข เพราะทุกศาสนาจะพูดถึงเรื่องนรก เรื่องสวรรค์ ให้มนุษย์กลัวการทำบาปและกลัวการทำสิ่งที่เลวร้าย เรามีศาสนาเอาไว้เพื่อควบคุมจิตใจมนุษย์ไม่ให้เอียงไปในสิ่งที่เราเรียกว่าชั่วร้ายเลวร้าย แต่ให้มนุษย์ได้นำไปนับถือและนำไปใช้ ซึ่งศาสนามันก็เหมือนอุปกรณ์หรือเครื่องมือ มันอยู่ที่คนเท่านั้นแหละ จะเอาไปใช้ในทางที่ถูกหรือทางที่ผิด
“ตอนนี้ผมอายุ 56 ปีแล้ว ผมอยู่กับความงมงายมาทั้งชีวิต ยายผมเป็นร่างทรง ทำให้ผมพบเจอมาตั้งแต่เด็ก คนป่วยไปหาหมอไม่หายเขาก็มาหาร่างทรงเพราะมันเป็นที่พึ่งทางใจ ดังนั้นผมจะบอกว่างมงายได้เพราะคนไทยอยู่กับความงมงายมาทั้งชีวิต แต่ว่าอย่าโง่งม ดูสิว่าเขาทำจริงทำไม่จริง ใช้สมองคิดก่อนว่ามันใช่หรือไม่ใช่ ดูปฏิภาน ดูการกระทำ คนที่เป็นคนดีจะทำเพื่อส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน เหมือนเทวสถานแห่งนี้ที่ท้ายที่สุดแล้ว เราสร้างไว้เพื่อจะเป็นของส่วนรวม
“ดูเทวสถานนี้สิ ที่นี่ไม่มีตู้บริจาคสักใบเดียว ผมไม่เคยเปิดเพจว่าต้องบริจาคเข้ามา คนอยากจะโอนเงินให้ผมแต่ผมก็ไม่รับเพราะมันอันตรายในเรื่องกฎหมาย มาตรวจสอบผมได้ อาจารย์ตุ๊กหนี้บานเลย ผมพูดไม่อาย ค่าโดมยังค้างอยู่ 167,000 บาท ค่าไฟ 9,000 บาท ค่าช่างก็ยังค้างอยู่ มันเป็นความจริงจะอายทำไม เล่าความจริงไปสิ”
ถึงคนรุ่นใหม่และแรงบันดาลใจจากชีวิตจริง
“ทุกวันนี้ผมอยู่ไปวัน ๆ คำว่าอยู่ไปวันๆ ของผมไม่เหมือนของคนอื่น เวลาผมออกมาจากห้องน้ำ ผมจะต้องไปแต่งตัวหน้ากระจกบานใหญ่ ผมบอกตัวเองว่าวันนี้เราทำดีที่สุดแล้วหรือยัง จงทำวันนี้ให้ดีที่สุดกว่าเมื่อวานนี้ บอกตัวเองว่าทำให้ดีที่สุดแค่นั้น
“แล้วสิ่งสำคัญที่อยากจะฝากคนรุ่นใหม่ มันเป็นคำพูดของคนโบราณที่ผมย้ำนักย้ำหนา นั่นคืออย่าดึงฟ้าลงต่ำ อย่าทำหินแตก อย่าแยกแผ่นดิน เราเป็นไทย เราควรจะเป็นไทยตลอดไป ลูกหลานก็ต้องมีความเป็นไทยตลอดไป อนาคตของชาติอยู่ในมือของเด็กและเยาวชน บรรพบุรุษสร้างให้ลูกหลานอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขเพราะมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
“อย่าให้เหมือนประเทศอื่น อย่าเอาประเทศอื่นมาเป็นตัวอย่าง เพราะประเทศอื่นไม่มีน้ำพริกกะปิ ประเทศไทยมีน้ำพริกกะปิ นั่นคือเรามีวัฒนธรรมเฉพาะตัวของเรา เราจะเอาประเทศอื่นมาเป็นแบบอย่างไม่ได้ ฉะนั้นเราควรรักษาความเป็นไทย วัฒนธรรมไทย และรักษาสถาบันหลักของเราไว้ให้มั่นคงดีที่สุด เราถึงจะก้าวไปต่อได้ในสังคมโลกอย่างภาคภูมิใจ”



