The Art of Awakening Minds แก่นแท้งานศิลปะและวัฒนธรรมไทย อ. ปรีชา เถาทอง

The Art of Awakening Minds แก่นแท้งานศิลปะและวัฒนธรรมไทย อ. ปรีชา เถาทอง

ย้อนกลับไปพ.ศ. 2550 หรือ 18 ปีที่แล้ว MiX MAGAZINE เคยมีโอกาสได้สัมภาษณ์ อ.ปรีชา เถาทอง มาก่อน ครั้งนั้นท่านได้เล่าเรื่องราวชีวิตรวมถึงแนวคิดและปรัชญาการสร้างสรรค์งานศิลปะ ทว่าแม้เวลาจะผ่านไปแต่อัตลักษณ์และความเข้มข้นในการเป็นศิลปินของท่านก็ยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังทางความคิด อีกทั้งยังก้าวข้ามผ่านงานศิลปะโดยไม่ได้จำกัดรูปแบบเดิม โดยเฉพาะแนวคิดการหลอมรวมปรัชญาความเป็นไทยให้เข้ากับเทคโนโลยี ที่ส่วนหนึ่งมาจากศาสตร์พระราชาของในหลวง รัชกาลที่ 9 

อ.ปรีชาจึงเป็นทั้งอาจารย์และนักคิดผู้ไม่หยุดนิ่งในการผสานเทคนิคใหม่ในงานศิลปะ โดยเฉพาะเรื่องของวัฒนธรรมและเทคโนโลยี นับได้ว่าท่านเป็นอีกหนึ่งปูชนียบุคคลของวงการศิลปะร่วมสมัยของประเทศไทย ที่ทำงานต่อเนื่องอย่างไม่หยุดยั้ง

ศาสตร์ ศิลป์ และคุณธรรม

"ย้อนไปหลาย 10 ปีก่อน คนที่มีอาชีพทางด้านศิลปวัฒนธรรมจะโดนดูแคลน ขออนุญาตใช้คำไม่สุภาพคือเต้นกินรำกิน ไม่ร่ำรวย ไม่มีเกียรติ ไม่มีชื่อเสียง จึงไม่ค่อยมีคนอยากให้ลูกหลานมาเรียนทางด้านศิลปะ ในส่วนตัวผมเองเมื่อก้าวสู่วัยรุ่นก็เข้าเรียนที่เพาะช่าง พอเรียนจบก็มาเป็นครูสอนศิลปะ ถูกบางคนมองว่าทำอาชีพไร้สาระ 

"จึงเกิดคำถามว่าศิลปวัฒนธรรมหรือสุนทรียะ มันเป็นศาสตร์หนึ่งที่คู่กับศีล อบรมบ่มเพาะคู่กับธรรมะ ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมของมนุษย์บนโลกใบนี้ ไม่เข้าใจทำไมเขาดูถูก แต่ผมมองในแง่บวกว่าเพราะคนบ้านเราไม่ค่อย Appreciate (ชื่นชม) ไม่รู้คุณค่าเรื่องศิลปะ 

"ผมจึงบอกกับตัวเองว่าต้องทำงานที่จะพิสูจน์เรื่องทฤษฎีความจริง ความดี ความงามทางศิลปะ ทฤษฎีแสงเงา ทฤษฎีแสงสุวรรณภูมิ เพื่อจะเอาความเป็นรากไทย นั่นคือภูมิปัญญาของไทย แล้วก็พัฒนาให้มันเป็นสากลในมุมมองของคนไทย

"ในช่วงหลังโควิด-19 การสร้างงานศิลปะของผมได้คิดทำใหม่ นั่นคือต้องแชร์กันหลายภาคส่วน หลายวิชาการ ต้องข้ามศาสตร์ จึงเป็นที่มาของการเกิดศาสตร์ ศิลป์ และการบูรณาการ

"จุดที่ผมกล้าพูดกล้าคิดเพราะว่าพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ท่านบอกว่า วิทยาศาสตร์กับศิลปะคืออันเดียวกัน มันขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้ แต่มนุษย์ต้องมีคุณธรรม ต้องมี Mindset ต้องมีความคิดสร้างสรรค์ มันจะเกิดกระบวนการ Sharing ด้วยความพอดีพอเพียงกัน ทำให้ผมเกิดชุดความคิดนี้ขึ้นมา"

ศิลปะที่ซ่อนอยู่ในทุกศาสตร์

"งานในชุดปัจจุบันผมนำเรื่องศาสตร์ ศิลป์ และการบูรณาการเป็นตัวเชื่อม แต่คำว่าศิลปะมันมีอยู่แล้ว รูปแบบศิลปะไม่ใช่การเขียนรูปเป็น Canvas หรือผืนใบผ้าใบเพียงอย่างเดียว การทำอาชีพอื่น เช่น วิศวกร นักธุรกิจ แม้แต่ครู หากมี Master Mind มี Creative มันก็เป็นอาร์ตได้

"ผมคิดว่างานที่ผมทำบางคนก็อาจจะไม่อยากซื้อแล้ว ตอนนี้ผมนำงานศิลปะมาผสมกับเทคโนโลยี จนมีคนถามว่าทำไมไม่ไปเขียนภาพแบบเก่า ผมคิดว่าสิ่งที่ทำมันน่าจะเอาสุนทรียะมาถอดบทเรียนรับใช้ปัญหาของสังคม ทำอย่างไรให้คนทุกคนได้เห็นว่าความคิดสร้างสรรค์สำคัญกับความรู้ตามที่ไอน์สไตน์พูดจริง เพราะความคิดสร้างสรรค์มีอยู่ทั้งในงานวิจัย นวัตกรรม บริการ วิชาการ งานทุกอย่างของมนุษย์เป็นอาร์ต มีความคิดสร้างสรรค์หมด

"ณ ปัจจุบันการทำงานของผมจะไม่ได้ยึดติดอยู่ที่ว่าศิลปะต้องเขียนเป็น Canvas บางทีก็ใช้ AI (ปัญญาประดิษฐ์) ใช้ Application มาช่วย แต่ต้องเรียนด้วยความเคารพว่า AI ตอนนี้ผมไม่ได้ให้ค่า ผมใช้ AI แค่มาเป็นตัวร่วมทำวิจัยร่วมสร้างสรรค์มากกว่า ผมต้องการเป็น First Order ของคนทำงาน"

อัตลักษณ์ของมนุษย์และข้อจำกัดของ AI 

"ผมคิดว่ามนุษย์ทุกคนมีอัตลักษณ์ มี DNA เฉพาะทางตามลายมือที่ทุกคนกำหนดไว้ เด็กแต่ละคนเวลาเขาจะคิดวิเคราะห์ Creative อะไรบางอย่าง เขาต้องมีอัตลักษณ์ที่ไม่เหมือนกัน ผมกล้าพูดว่าไม่เหมือน AI เพราะ AI มันเป็นแค่ Database (ฐานข้อมูล) ที่เขา Random (สุ่ม) ไว้ไม่กี่เปอร์เซ็นต์เอง

"ผมเคยให้ลูกศิษย์ที่อยู่ในโครงการพัทยาบูรพาวิถี ลองใช้ AI ทำงานศิลปะโดยเขียนแสงเงาเป็นสไตล์ผมกับงานของคุณเฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ดูแล้วก็ขำเพราะว่ามันไม่ใช่ผม นี่เป็นการพิสูจน์ว่าสิ่งที่ AI ทำมันไม่สามารถคาดเดาในสิ่งที่ปรีชาจะ Create ได้ ผมมั่นใจว่ามนุษย์ยังมีความ Creative หรือมีความลุ่มลึกสำคัญอีกหลายเวอร์ชันที่จะถอดออกมา

"AI สำคัญแต่ไม่สำคัญที่สุด สำหรับเรื่องของ Practice Base หรือการปฏิบัติการขั้นพื้นฐานหลายอย่าง โดยเฉพาะงานในทางด้านสร้างสรรค์หรือสร้างองค์ความรู้ใหม่ แม้แต่งานสอนคนหรือสัมภาษณ์คนเข้าบริษัท เอา AI มาสัมภาษณ์ได้หรือเปล่า? ไม่มีทาง และ AI ไม่สามารถเป็นผู้พิพากษาเพราะตัดสินคดีไม่ได้ มันแค่รู้ Data Base มันมีเรื่องของจริยธรรม เหตุปัจจัยหลายตัวมาประกอบ

"ผมคิดว่ามนุษย์ยังสำคัญ มนุษย์ยังต้องเป็น First Order คำว่า First Order หรืออัตลักษณ์ของแต่ละคน สิ่งที่โลกใบนี้ยังต้องการอย่างมากในโลกยุคต่อไปคือการ Sharing กันทุกอาชีพ มันจะต้องทำลายความเป็นพวกนิยม ลดความเห็นแก่ตัวให้มีคุณธรรมมากขึ้น ถ้ามีคุณธรรมมากขึ้นมันไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง"

4 มิติของศิลปะ

"คำว่า Art for Art คือคนต้องบริโภคตามรสนิยมตัวเอง รสนิยมมันมีหลายอย่าง ถ้าคนเข้าใจในการดูงานมันก็สามารถใส่เสื้อหลายแบบหลายสไตล์ได้ ผมไปต่างประเทศนำความรู้เรื่องศิลปะมาจำแนกได้ 4 แบบ 4 มิติ นั่นคือ 1. มิติของความรู้สึก 2. มิติของความคิด 3. มิติของความหมาย 4. ได้ปัญญา ซึ่งปัญญาในที่นี้ไม่ใช่รู้แจ้ง ปัญญาคือการบำบัดให้มีความสุข ดูแล้ว Enjoy ก็พอแล้ว

"ในหลักของความรู้สึก รู้คิด รู้ความหมาย ได้ปัญญา 4 มิตินี้มันก็มีอยู่ในศาสตร์ของศิลปะ อยู่ในศาสตร์ของปรัชญา อยู่ในศาสตร์ของวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี เพียงแต่ว่าเราเห็นหรือไม่เห็นมากกว่า

"สรุปได้ว่ารสนิยมบางด้านศิลปะต้องมีการเรียนรู้ ถ้าเราซื้อเราต้องซื้อความคิด ซื้อรสนิยม หรือความหมายของศิลปิน ดูศิลปะอย่าไปดูเอาเรื่อง มันต้องดูความคิด ความหมาย ความรู้สึกของศิลปิน"

สุนทรียธรรมนำธรรมาภิบาล 

"เมื่อไม่นานมานี้ผมเดินทางไปประเทศจีน ได้พบมุมมองทั้งในเรื่องของศิลปะและสังคม ที่ทุกประเทศหรือในสังคมมองเหมือนกันว่าทำยังไงถึงจะดึงให้เด็กรุ่นใหม่กลับมารู้กำพืด รู้ชีวิตของความเป็นมนุษย์ ซึ่งการเรียนรู้ในจีนยุคใหม่ให้เด็กลงภาคสนามเรียนรู้กันเอง มันต้องให้เด็กมาผจญภัยเรียนรู้ประสบการณ์ของชีวิตจริง  

“เพราะในโลกปัจจุบันจีนเป็นสังคมวัตถุนิยมมาก เป็น Application มากมาย เด็กไม่รู้เลยว่าอะไรคือหัวใจ ทุกคนเดินเล่นมือถือขณะที่คุยกับพ่อแม่ สิ่งสำคัญคือเครื่องมือเหล่านี้ทำให้เราเหมือนเป็นหุ่นยนต์

“สังคมไทยของเราก็เจอปัญหาตรงกันว่าต้องดึงความเป็นคนให้มีใจคุณธรรมจริยธรรมกลับมา เมื่อใจคุณธรรมกลับมาธรรมาภิบาลก็ต้องเกิด ให้สุนทรียธรรมมาก่อน แล้วธรรมะคืออะไร? ธรรมชาติของคุณคืออะไร? ธรรมศิลป์คุณเป็นยังไง? ดึงกลับให้คนเริ่มรู้”

การศึกษาและการดึงรากไทยกลับมา 

“ประเทศไทยก็เหมือนกัน ผมคิดว่ารากไทยมันกำลังจะหายไป รากไทยจะต้องรีบดึงกลับมา การที่ผม Practice หรือสอนเด็ก ๆ ผมจะไม่ไปเปิด YouTube หรือไปหาตำรามาอ่าน ผมจะมีโจทย์ง่าย ๆ โดยเขียนคำสั่งเป็นรูปให้ดู ให้ไปสืบค้นลงภาคสนาม ไปคิดวิเคราะห์แล้วทำรายงานส่งมา อันนี้ถือว่าตัวชี้วัดเห็นผลเชิงประจักษ์ เพราะเด็กลงไปปฏิบัติการเอง    

“การศึกษาในมุมมองผมที่ต้องแก้อย่างมากคือการศึกษานอกระบบตามอัธยาศัย ต้องดึงเข้ามา การศึกษาในระบบส่วนใหญ่มันแข็งไป อย่างเมื่อ 7 - 8 เดือนต่างประเทศเข้ามาประเมินระบบการศึกษา วิทยาศาสตร์เราได้ 2.5 ธรรมาภิบาลได้ 2.6 ส่วนในด้านศิลปะ Soft Power เราอยู่ประมาณ 6 กว่า ถือว่าสูง

"ในด้านอื่นน่าเป็นห่วง แต่ผมถือว่าบ้านเรายังมีของดี เพียงแต่ระบบการศึกษามันอาจจะพลาดพลั้งไปบ้างก็ปรับซะใหม่ ใช้การเรียนรู้ในเชิงปฏิบัติการเป็นหลัก"

เน้นแนวคิดหลัก ‘บ.ว.ร.’ และการสร้างสรรค์สังคม 

"สิ่งที่ครอบคลุมชีวิตคนในสังคมคือคำว่า ‘บ.ว.ร’ ได้แก่ บ้าน วัด โรงเรียน มันมาจากเรื่องของวิถีคน สิ่งแวดล้อม วิถีชีวิต การเรียนรู้ และการดำเนินชีวิตทุกอย่าง หมายถึงคนทุกคนก็เป็น บ.ว.ร ของตัวเอง บ (บ้าน) หมายถึงวัฒนธรรมและวิถีชีวิต ว (วัด) หมายถึงใจคุณธรรม ร (โรงเรียน) หมายถึงการเรียนรู้ตลอดชีวิต ทั้งในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย 

"เนื่องจากทุกคนมีความแตกต่าง แต่เราสร้างสังคมที่มีคุณธรรมได้โดยเริ่มจากตัวเราเอง ทุกคนต้องมีสติรู้ตน มีปัญญารู้คิด รู้หน้าที่ รู้พอเพียง รู้รักสามัคคี ผมจึงจัดทำสัญลักษณ์ลงในเสื้อยืดซึ่งเพิ่งเริ่มทำเมื่อช่วงโควิด-19 นี้เอง

"ช่วงเวลาที่ผมต้องกักตัวอยู่ในบ้าน ออกไปสอนหนังสือไม่ได้ จึงได้เกิดไอเดีย ‘โควิดกักตัว แต่ไม่กักหัวใจ’ โดยได้พัฒนางานศิลปะออกมาเรียกว่า 'นามสู่รูป' (Inside Out) หรือ 'Intangible (นามธรรม) สู่ Tangible (รูปธรรม)' ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในงานวิจัย นวัตกรรม และศิลปะ โดยทฤษฎีนี้ประกอบด้วยกระบวนการ 6 ขั้นตอน แบ่งเป็น 2 ซีกหลัก ดังนี้

"ซีกที่ 1 นามธรรม คือสิ่งที่จับต้องไม่ได้และเป็นสิ่งที่ระบบการศึกษาไทยขาดหายไป ความบันดาลใจในใจจากเรื่องอะไรก็ได้ จุดกระทบใจมันก็เกิดเป็น Information (ข้อมูล) แล้วก็เกิดเป็น Inspiration (แรงบันดาลใจ) สุดท้ายคือ Imagination (จินตนาการ) Insight (การคิดวิเคราะห์แยกแยะ) เพื่อให้เกิด Creative (ความคิดสร้างสรรค์) 

"ซีกที่ 2 รูปธรรม คือจับต้องได้ เมื่อผ่านการคิดวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งแล้ว ชุดความคิดจะระเบิดออกมาเป็นผลลัพธ์ที่จับต้องได้คือ Form (รูปแบบ) Narrative/Technique (เรื่องราวเทคนิควิธีการ) และเนื้อหาสาระ Output (ผลลัพธ์) นั่นเอง"

ร่วมสมัยไม่ใช่แค่ร่วมยุค

"คำว่าร่วมสมัย หมายถึงร่วมยุคร่วมสมัยโดยจิตใจคนที่เห็นพ้องต้องกันในยุคนั้น ผมยกตัวอย่างคนมักเทียบมังกรกับพญานาค สัตว์ทั้งสองร่วมสมัยได้ด้วยอะไร ร่วมด้วยความศรัทธา ทางอิตาลีเขาทำเป็นมังกรไฟ อย่างลุ่มน้ำโขงสัตว์จะมีหงอน ความจริงแล้วจะมีหงอนไม่มีหงอน มีลายไม่มีลาย เพียงแค่ทุกคนเคารพกราบไหว้ด้วยกันก็จบ นี่คือมิตรภาพ

"คำว่าร่วมสมัยยังหมายความว่าในสมัยก่อน คนยุคนั้นมีคุณธรรมยอมรับกัน การโกอินเตอร์คือขยายไปต่างประเทศแล้วได้รับการยอมรับ อย่างต้มยำกุ้งก็โกอินเตอร์ ไม่เห็นต้องเอานักวิชาการไปทำต้มยำกุ้งโชว์ที่อเมริกา คำว่าโกอินเตอร์หรือร่วมสมัยมันอันเดียวกัน 

"งานศิลปะทุกอย่าง มนุษย์บนโลกใบนี้ ทุกประเทศมันไม่อยู่กับที่ มันโมเดิร์นตลอด นวัตกรรมเปลี่ยนไปตามยุคสมัยของมัน เข้าไปสู่ชุมชนชุมชนก็ยอมรับ มันเป็นวัฒนธรรมที่ส่งต่อกันมา มีการค้าขายแลกเปลี่ยนกันอีก มันเกิดการบูรณาการ การเอาไทม์ไลน์ของชีวิตไปเกี่ยวข้อง ไม่เกี่ยวกับรูปแบบ เช่นผมทำงานแบบนี้ เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์เขาทำแบบนี้ ฝรั่งทำอีกแบบ แต่มันก็ยังร่วมสมัยกันอยู่ "

พญานาคกับมังกร ความต่างที่กลมกลืน

"หากพูดถึงคำว่าพญานาคกับมังกร เรื่องความเชื่อผมคิดว่ามันเป็นอุบาย เป็นสัตว์นามธรรมอุดมคติในความคิดของคนจีน คนลุ่มน้ำแยงซีเกียง ลุ่มน้ำโขงหรือลุ่มน้ำเจ้าพระยาก็มีความเชื่อของตัวเอง คนลุ่มน้ำไทกริส ยูเฟรติสก็มีความเชื่อมังกรไฟ แล้วแต่การตีความ มันคือรสนิยม ความเชื่อในชุมชน ผมจึงใช้เป็นอุบายในการเอาความคิดรูปสัญลักษณ์ทางศิลปะของแต่ละประเทศมาเป็นตัวเชื่อม สร้าง Art Form เพื่อเกิดมิตรภาพทางการตีความทางด้านสุนทรียะ ไม่มีใครผิดใครถูก

"เรื่องนี้คือศิลปะ 2 ทาง ศิลปะคือสุนทรียะกับศิลปะคือมิตรภาพ ตอนนี้ทางศิลปะมันทำได้ระดับหนึ่ง ผมพยายามในซีกของผมเพราะศักยภาพผมเป็นนักวิชาการและเป็นครูศิลปะสายมนุษยศาสตร์ พยายามคิดว่าถ้าศิลปะมันเข้มแข็ง คนเข้าใจมากขึ้น ระบบการศึกษามันไปซัปพอร์ตคนทุกมิติมากขึ้น มันไม่ใช่การเรียนแบบท่องจำ เรียนตาม AI หรือเรียนตามที่ครูสั่งให้ทำ มันก็น่าจะดีขึ้น

"ผมมองเมืองไทยของเราว่ายังโชคดีเมื่อเทียบกับอีกหลายประเทศ เรามีของที่บรรพชนสร้างเอาไว้ ถ้าเราสามารถดึงเอา Intangible (นามธรรม) กับ Tangible (รูปธรรม) มาผสมกัน เรามีของที่เป็น Tangible แล้วก็เอา Intangible มาใส่ แล้วทำออกมาแต่ไม่ต้องเหมือนเขา ให้มีจริยธรรมในการส่งผ่านส่งต่อ ผมว่ามันเป็นคำตอบที่เรียกว่า Soft Power ของไทย"

Soft Power คืออัตลักษณ์ที่แท้จริง

“ลองวิเคราะห์ว่าทำไมภาพยนตร์เรื่อง 'หลานม่า' ดังระเบิดไปทั่วโลก เรื่อง 'บุพเพสันนิวาส' ก็ดัง ระดับของมนุษย์ถ้ามันเป็น Unity มันก็สื่อถึงคนทั่วโลก ไทยคือยิ้มสยาม นักกีฬาวอลเลย์บอลไทยหรือโปรกอล์ฟผู้หญิงที่กำลังดังเป็นอันดับ 1 ของโลกต่างมีจุดเด่นตรงมีสมาธิอยู่กับตัวเองนิ่ง ๆ นี่คือใจคุณธรรม คือความคิดสร้างสรรค์ ไม่ได้กำแหง ไม่ได้ก้าวร้าว ทำให้ดีที่สุด อันนี้สำคัญมาก 

"ทำไมทั่วโลกเขาถึงเฮโลมาบ้านเรา บ้านเขามีแต่อาคาร มีแต่ความเป็นศิวิไลซ์แต่ต่างคนต่างอยู่ บางทีไม่ดูดีกัน หากพวกเขามาเที่ยวเมืองไทย ติดอยู่ที่สนามบินแล้วไม่มีเงินจะจ่ายค่าตั๋ว ผมเชื่อว่าคนไทยที่พูดภาษาอังกฤษได้จะให้ความช่วยเหลือหรือคำแนะนำ ตรงนั้นแหละครับคือคุณธรรมและ Soft Power ความมี Spirit ของคนไทย

"ประเทศไทยถึงขึ้นไปเบอร์ต้น ๆ ของโลก ไม่ได้อยู่กับพวกไหนแต่ฉันเป็นมิตรกับทุกประเทศ ฉันไม่อยากทะเลาะกับใคร อันนี้คือจุดแข็งของคำว่าบูรณาการหรือใจคุณธรรม บ้านเรายังมีเยอะ ถ้าเทียบกับประเทศอื่น ๆ ที่ผมเห็นมา"

รากไทยหัวใจสำคัญของสังคม

"ผมอยากสรุปตอนสุดท้ายในเรื่องของสังคมไทย สมัยก่อนมีการบันทึกของบาทหลวงมาโคโปโลหรือนักศาสนาของเมืองจีน ในอาณาจักรสุวรรณภูมิ ผู้คนมีนิสัยโอบอ้อมอารีเป็นกันเอง แล้วก็ Never Mind ไม่เป็นไร ให้อภัย เป็นแบบนี้แทบทุกภาคส่วน

"อันนี้มันเป็นเรื่องของการแบ่งปัน ทำคนเดียวไม่ได้ ทำอะไรก็ต้องเป็นทีม เขาเรียกลงแขกกัน นี่คือจุดแข็ง ผมไม่ได้พูดเองแต่บันทึกของทั่วโลกในอดีตบันทึกเอาไว้ นี่คือจุดแข็งของรากไทย รากไทยไม่ใช่ชาติไทยนะ รากไทยคือการเป็นสหประชาชาติ สังคมคุณธรรม สังคมบูรณาการ รู้เขา รู้เรา เกรงอกเกรงใจกัน

"ประเด็นสุดท้ายคือคนไทยจะไม่คิดว่าตัวเองเป็น Genius รับรู้ได้ทุกอย่างหมด แต่เอามารวมใหม่แล้วมันเป็นของคนไทย เช่น อาหารการกิน เสื้อผ้าหน้าผม คนไทยยังเป็นประเทศสหประชาชาติ ผสมผสาน ผมอยากให้เราทุกคนตระหนักรู้ตรงนี้ มันเป็น DNA ของเรา

"คำว่าไทยมันไม่ได้หมายถึงคนเชื้อชาติใดเชื้อชาติหนึ่ง คนศาสนาใดศาสนาหนึ่ง ถ้ามาอยู่ในอาณาจักรนี้ ที่เราเรียกว่าชาติสหกษัตริย์ ทำไมรวมกันได้ เพราะเขารวมได้ด้วย Soft Power ไม่มีปืนไปจี้ ไม่มีใครมาบังคับ นี่คือ Soft Power ที่มีมาตั้งนานแล้วสำหรับแผ่นดินนี้

"คำว่ารากไทย ความหมายสำหรับผมน่าจะเป็นตรงนี้ แต่สิ่งที่ต้องรีบแก้ฉับพลันทันที อยากให้ทุกคนหันมามองว่าอย่าเห็นแก่ตัว อย่าไปติดทฤษฎีที่คิดโดยพวกตัวเองหรือมองเป็นกลุ่มก้อนย่อย ต้องมองเป็นองค์รวมที่เรียกประชาคมยอมรับกัน

"ผมอยากให้คนไทยทุกคนหันมาดูว่าเรามีของ ถ้าเข้าใจว่าจิตใจโอบอ้อมอารี ความรู้รักสามัคคีมีอยู่ ท่านจะต้องรู้ตัวเองหรือรู้ Passion ในการทำหน้าที่ของท่าน จะเป็นครู จะเป็นนักการเมือง จะเป็นอะไรก็ตาม ให้หันมาทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ด้วยความภาคภูมิใจในคุณค่าที่แท้จริงของความเป็นไทย"

The Art of Awakening Minds แก่นแท้งานศิลปะและวัฒนธรรมไทย อ. ปรีชา เถาทอง