Yasuke :The Black Samurai ยาสึเกะ ซามูไรผิวดำคนแรกของญี่ปุ่น
เมื่อเรานึกถึง "ซามูไร" ภาพที่ผุดขึ้นมาในใจมักเป็นนักรบญี่ปุ่นในชุดเกราะ เคียงคู่ด้วยดาบคาตานะและเกียรติศักดิ์แห่งบูชิโด ความจงรักภักดีต่อเจ้านาย และความเด็ดเดี่ยวในการสละชีวิตเพื่อศักดิ์ศรี แต่ใครจะคาดคิดว่า ท่ามกลางยุคสงครามกลางเมืองที่โหดร้ายในศตวรรษที่ 16 ประเทศญี่ปุ่นได้เคยมี "ซามูไรผิวสี" ผู้หนึ่ง—นามว่า ยาสึเกะ (Yasuke) ชายเชื้อสายแอฟริกันที่กลายเป็นหนึ่งในนักรบท่ามกลางสงครามแย่งชิงอำนาจ จนเรื่องราวของเขาได้ถูกบันทึกและเล่าขานต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้
หลักฐานทางประวัติศาสตร์บันทึกไว้ไม่มากนักเกี่ยวกับถิ่นกำเนิดที่แท้จริงของยาสึเกะ นักวิชาการบางส่วนเชื่อว่าเขามาจากแถบโมซัมบิก บ้างก็ว่าเป็นชาวเอธิโอเปีย หรืออาจมาจากภูมิภาคซูดานตะวันออก อย่างไรก็ตามสิ่งที่แน่ชัดคือเขาเป็นชาวแอฟริกันผิวสีผู้มีร่างกายสูงใหญ่เกินกว่าที่ชาวญี่ปุ่นในยุคนั้นที่มีความสูงเฉลี่ย 155 เซนติเมตรเคยพบเห็น

ยาสึเกะเดินทางเข้ามาในประเทศญี่ปุ่นในปี ค.ศ. 1579 โดยติดตามคณะมิชชันนารีเยซูอิตที่นำโดยอเลสซานโดร วาลิญญาโน (Alessandro Valignano) นักบวชชาวอิตาลีผู้เดินทางมาเผยแผ่ศาสนาคริสต์ในเอเชียตะวันออก ชาวญี่ปุ่นในยุคนั้นแทบไม่เคยเห็นคนผิวสีมาก่อน ยาสึเกะจึงกลายเป็นบุคคลที่สร้างความตื่นตะลึงตั้งแต่แรกพบ รวมถึงโอดะ โนบุนากะ (Oda Nobunaga) ไดเมียวผู้ทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งในยุคเซ็นโกกุ
โอดะ โนบุนางะได้พบกับยาสึเกะในปี ค.ศ. 1581 ด้วยความที่โนบุนากะเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ เปิดกว้างต่อสิ่งใหม่ๆ ทั้งอาวุธปืนที่นำเข้าจากโปรตุเกส ไปจนถึงวัฒนธรรมต่างชาติ เมื่อเขาได้เห็นยาสึเกะครั้งแรก จึงตกตะลึงในรูปร่างที่สูงกว่า 180 เซนติเมตร และผิวดำสนิทซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนในญี่ปุ่น กระทั่งถึงขั้นสั่งให้คนถูตัวของยาสึเกะ เพราะสงสัยว่า "ร่างกายสีดำ" นั้นเกิดจากหมึกหรือสีที่ทาไว้ แต่เมื่อพบว่าเป็นสีผิวแท้จริง เขายิ่งทึ่งและเกิดความสนใจในชายแปลกหน้าผิวสีผู้นี้อย่างยิ่ง
.jpg)
จากความประทับใจนี้ โอดะ โนบุนากะจึงรับยาสึเกะเข้ามาอยู่ในสังกัด และไม่เพียงแค่รับเข้ามาเท่านั้น แต่ยังมอบเกียรติยศสูงสุดให้ นั่นคือการแต่งตั้งเขาให้เป็น "ซามูไร" พร้อมที่อยู่อาศัยในเกียวโต และดาบคาตานะเป็นสัญลักษณ์แห่งศักดิ์ศรี นี่คือเหตุการณ์ที่ทำให้ยาสึเกะถูกยกย่องว่าเป็น "ซามูไรผิวสีคนแรกในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น" และไม่เพียงแค่นั้น เขายังพิสูจน์ตนเองในสนามรบ ด้วยร่างกายกำยำและความสามารถด้านการต่อสู้ที่เหนือมาตรฐาน เขากลายเป็นผู้คุ้มกันใกล้ชิดของโนบุนากะ และได้รับความไว้วางใจอย่างสูงสุด
กล่าวกันว่ายาสึเกะใช้เวลาเพียงปีเดียวในการไต่เต้าจากทหารระดับล่างมาเป็นนักรบในชั้นซามูไร ส่วนเหตุผลที่เขาสามารถขึ้นมามีสถานะนักรบชั้นสูงอย่าง "ซามูไร" ได้ก็ยังไม่แน่ชัด เนื่องจากเป็นไปได้ยากมากที่ยาสึเกะจะไต่เต้าขึ้นมาเป็นซามูไรในเวลาแค่ปีเดียวโดยที่ไม่มีภูมิหลังเกี่ยวข้องกับนักรบมาก่อน ทั้งนี้เพราะซามูไรส่วนใหญ่มักเริ่มฝึกฝนตั้งแต่วัยเด็ก ดังนั้นจึงเชื่อได้ว่ายาสึเกะมีภูมิหลังหรือประสบการณ์ในการรบมาก่อนหน้าที่จะเดินทางมาประเทศญี่ปุ่นเป็นแน่

สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือลักษณะของโอดะ โนบุนากะ ซึ่งเป็นที่ทราบกันว่าไม่เพียงเป็นขุนพลชำนาญศึก แต่เขายังสนใจในด้านศิลปวัฒนธรรมและศิลปะการต่อสู้ อีกทั้งเป็นขุนพลที่มีวิสัยทัศน์และมักสรรหาบุคคลที่ฉลาดหลักแหลมมาร่วมงานอยู่เสมอ ถ้าหากเชื่อสายตาของโนบุนากะในการดึงคนมาร่วมงาน เชื่อได้ว่าตัวยาสึเกะเองต้องมีความสามารถมากจริงๆ ประกอบกับตามบันทึกได้กล่าวว่ายาสึเกะร่วมรบกับโนบุนากะในศึกสำคัญหลายครั้ง จึงอนุมานได้ว่ายาสึเกะเองได้รับการปูนบำเหน็จเลื่อนขั้นอย่างต่อเนื่องจนเป็นซามูไรด้วยความสามารถ มิใช่เป็นการเลื่อนตามวาระอาวุโสตามสมัยนิยมนั่นเอง
ตำนานยาสึเกะมาถึงจุดพลิกผันในปี ค.ศ. 1582 ในเหตุการณ์ฮอนโนจิ เมื่ออาเคจิ มิทสึฮิเดะ (Akechi Mitsuhide) ขุนนางคนสนิทของโอดะ โนบุนากะได้ทรยศหักหลังก่อกบฏล้อมวัดฮอนโนจิที่โนบุนากะพำนักอยู่ ท่ามกลางสถานการณ์ที่สิ้นหวัง โนบุนากะตัดสินใจทำเซ็ปปุกุ (การคว้านท้องฆ่าตัวตายเพื่อรักษาเกียรติ บางตำรากล่าวว่าโนบุนากะจุดไฟเผาตัวเองเสียชีวิตในกองเพลิง) ทิ้งไว้เพียงตำนานให้คนรุ่นหลัง
ในบันทึกเล่าว่ายาสึเกะต่อสู้อย่างห้าวหาญเพื่อปกป้องโอดะ โนบุนากะเจ้านาย แต่ไม่อาจต้านทานกำลังที่เหนือกว่าได้ หลังการเสียชีวิตของโนบุนากะ เขาถูกจับกุมโดยฝ่ายมิทสึฮิเดะ ทว่าแทนที่จะถูกประหาร ยาสึเกะกลับถูกส่งตัวคืนให้แก่มิชชันนารีเยซูอิต

เหตุผลที่มิทสึฮิเดะไม่ประหารเขานั้นไม่ชัดเจน บางบันทึกกล่าวว่าเขามองว่ายาสึเกะเป็น "คนต่างชาติ" จึงไม่สมควรถูกฆ่าในฐานะซามูไรญี่ปุ่น (ฝ่ายศัตรูไม่ได้มองว่ายาสึเกะเป็นซามูไร จึงไม่ควรได้รับเกียรติตายดังเช่นซามูไรนั่นเอง) แต่ไม่ว่าเหตุผลใด ชีวิตของยาสึเกะในฐานะซามูไรก็สิ้นสุดลงที่จุดนั้น
หลังจากที่ยาสึเกะถูกส่งตัวกลับไปยังคณะเยซูอิต เรื่องราวของยาสึเกะแทบไม่มีบันทึกชัดเจนอีก บ้างเชื่อว่าเขากลับไปยังแอฟริกา บ้างว่าดำรงชีวิตอย่างเงียบๆ ในญี่ปุ่นจนสิ้นอายุขัย ตำนานยาสึเกะจึงยังคงเปิดช่องว่างให้ผู้คนจินตนาการต่อ

แม้หลักฐานเกี่ยวกับยาสึเกะจะมีไม่มาก แต่ชื่อของเขาถูกฟื้นคืนในโลกยุคใหม่ กลายเป็นแรงบันดาลใจในวรรณกรรม ภาพยนตร์ แอนิเมชัน และแม้แต่เกม ซึ่งต่างตีความเรื่องราวของเขาในมิติที่หลากหลาย
สิ่งที่ยาสึเกะสะท้อนให้เราเห็นไม่ใช่เพียงแค่ "ชายผิวสีที่กลายเป็นซามูไร" หากยังเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในสังคมที่เต็มไปด้วยข้อจำกัดและอคติ เขาคือภาพแทนของการก้าวข้ามพรมแดนทั้งเชื้อชาติและวัฒนธรรม



