PHON PHISAI: THE MIRACLE OF NAGA โพนพิสัย: มหัศจรรย์แห่งนาคาศรัทธา

‘โพนพิสัย’ หรือชื่อเดิมว่าปากห้วยหลวง อดีตมีสถานะเป็นเมืองลูกหลวงของอาณาจักรล้านช้างที่สร้างขึ้นโดยพระไชยเชษฐาธิราชเพื่อทำนุบำรุงพุทธศาสนา ปัจจุบันโพนพิสัยมีอายุ 667 ปีและกลายเป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดหนองคาย ทว่าร่องรอยทางประวัติศาสตร์ยังคงปรากฏอยู่ตามโบราณสถานต่าง ๆ ทั้งศิลปะล้านช้างและพระพุทธรูปเชียงแสน ณ วัดผดุงสุข สถูปเจดีย์และจารึก 11 หลัก ณ วัดคงกระพันชาตรี รวมถึงวัฒนธรรมประเพณีสำคัญที่สืบสานต่อกันมา อย่างความเชื่อความศรัทธาในเรื่องของ ‘พญานาค’ ตำนานมหัศจรรย์ริมฝั่งโขง

คุณอมรรัตน์ ลีเพ็ญ
ท่านคืออดีตผู้เชี่ยวชาญเครือข่ายทางวัฒนธรรมและอดีตผู้อำนวยการกองกิจการเครือข่าย กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ผู้มุ่งมั่นจะสานต่อประเพณีวัฒนธรรมของโพนพิสัยในฐานะลูกหลานชาวเมือง โดยเมื่อปี 2557 ท่านได้เป็นหัวเรือหลักโครงการบูรณะตกแต่ง ‘ศูนย์วัฒนธรรมเฉลิมราช พิพิธภัณฑ์เมืองโพนพิสัย’ ซึ่งมีอาจารย์วนิดา พึ่งสุนทร ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์และคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากรร่วมออกแบบ จนกลายมาเป็นแหล่งเรียนรู้พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ประวัติศาสตร์เมืองโพนพิสัย และปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค ที่ปัจจุบันจดทะเบียนเป็นโบราณสถานแห่งชาติแล้วเรียบร้อยโดยกรมศิลปากร

“อดีตเราไม่เรียกพญานาคนะคะ เราเรียก ‘ตัวนาค’ หรือ ‘เงือก’ ในภาษาอีสาน รวมถึงเรียกกันว่า ‘บั้งไฟผี’ เพราะเรามองว่าเอ๊ะ! ทำไมลูกไฟสีส้ม ๆ แดง ๆ ขนาดเท่าไข่ห่านถึงลอยขึ้นมาเหนือน้ำโขงได้ กระทั่งปี 2535 ท่านอดีตส.ส.พิทักษ์ ศรีตะบุตร สภาวัฒนธรรมอำเภอโพนพิสัย และสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดหนองคาย ทั้งหมดรวมกลุ่มคุยกันว่าอยากสร้างที่นี่ให้เป็นเมืองท่องเที่ยว จึงเปลี่ยนจากคำว่าบั้งไฟผีมาเป็น ‘บั้งไฟพญานาค’ โดยคนอีสานแท้จะเรียกว่า ‘บ้องไฟ’
“อย่างเมื่อสมัยรัฐบาลนายกทักษิณ ชินวัตร กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเอาเรือดำน้ำมาพิสูจน์ เขาก็มองว่ามันคือปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอันเกิดจากแก๊สชีวภาพสะสมแล้วลอยพุ่งขึ้น ติดที่เขาไม่สามารถระบุได้ว่าทำไมถึงเกิดเฉพาะขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 สิ่งนี้ถ้าเราจะอธิบายในเชิงวิทยาศาสตร์มันตอบไม่ได้ แต่เราตอบในตำนานพุทธศาสนาได้ค่ะ นั่นคือครั้งหนึ่งมีพญานาคอยากบวชเป็นพระภิกษุทว่าทำไม่ได้ เลยขอให้อย่างน้อยคงชื่อเอาไว้จนมีการบวชนาคก่อนบวชพระ ซึ่งพญานาคก็ยังนับถือพระพุทธเจ้ามาตลอด ในวันออกพรรษาที่ท่านเสด็จลงจากชั้นดาวดึงส์จึงเป็นการเฉลิมฉลองจุดพลุขึ้นมาจากใต้น้ำหรือเมืองบาดาลนั่นเอง


“ดังนั้นหากถามว่าทำไมบั้งไฟพญานาคถึงขึ้นเยอะ นั่นก็เพราะที่นี่เป็นเมืองพุทธและมีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ค่ะ ข้างล่างอำเภอโพนพิสัยเป็นเมืองบาดาล เมืองหลวงของพญานาค ตั้งอยู่ตรงข้ามวัดไทย (ถ้ำพญานาค) หลักฐานเหล่านี้ปรากฏอยู่ในคำสอนของหลวงปู่เทสก์และหลวงปู่มั่น ส่วนฝั่งตรงข้ามคือภูเขาควายที่ทุกคนจะต้องไปแสวงบุญศึกษาธรรมะ เพราะฉะนั้นเรื่องราวมันจึงเชื่อมโยงกัน อย่างไรก็ตามเราจะไม่พูดในแง่ของกระแสมูเตลู แค่เล่าถึงความเชื่อ ความศรัทธา ความเป็นมาซึ่งสะท้อนคุณค่าอันเกิดจากการที่ทุกคนนับถือพญานาคเท่านั้นค่ะ”
ปัจจุบันคุณอมรรัตน์กล่าวกับเราว่าชาวโพนพิสัยและผู้มีส่วนร่วมกำลังรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ เพื่อขอขึ้นทะเบียนบั้งไฟพญานาคให้เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมอันจับต้องไม่ได้ (Intangible Cultural Heritage) โดยมีความคาดหวังว่าจะสำเร็จได้ในที่สุด

ทันตแพทย์หญิง ดร.จิดาภา สุนทรธนากุล (หมอมิลค์)
ชาวโพนพิสัยรู้จักท่านในนาม ‘หมอมิลค์’ ประธานบริหารโรงพยาบาลพิสัยเวชและเลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งแท้จริงแล้วท่านเป็นชาวเหนือแต่กำเนิด ทว่าเมื่อต้องจับฉลากใช้ทุนหลังจบการศึกษาจากคณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โชคชะตาเลยลิขิตให้มาประจำอยู่ ณ โพนพิสัย จังหวัดหนองคาย ก่อนจะพบรักกับนายแพทย์สรร สุนทรธนากุล นายกเทศมนตรีตำบลโพนพิสัยในปัจจุบัน แม้ทั้งคู่จะไม่ใช่ชาวโพนพิสัย แต่การได้อาศัยอยู่ที่นี่กลับให้อะไรมากมายต่อชีวิต จึงมีความตั้งใจแรงกล้าว่าอยากทำความดีทดแทนบุญคุณแผ่นดิน
“ปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคมันประเมินค่าไม่ได้ ทว่ามันสร้างคุณค่ามหาศาลให้กับพ่อแม่พี่น้องชาวโพนพิสัยและจังหวัดหนองคายได้ ดังนั้นเมื่อปีที่ท่านนายแพทย์สรร สุนทรธนากุลดำรงตำแหน่งสมัยแรก จึงดำริว่ากิจกรรมออกพรรษาบั้งไฟพญานาคจะทำยังไงให้นักท่องเที่ยวรับรู้และเข้ามาเพื่อสร้างรายได้ค่ะ โดยตอนแรกงานนี้ใช้ชื่อเทศกาลว่าออกพรรษาไหลเรือไฟประจำปีซึ่งที่ไหน ๆ ก็มีเยอะแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่จังหวัดอื่นไม่มีคือเรื่องปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค เราเลยเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น ‘เทศกาลออกพรรษาและบั้งไฟพญานาคโลก (World NAGA Festival)’ แทน พร้อมเชิญชวนคนที่มีความเชื่อเกี่ยวกับพญานาคโดยเฉพาะชาวพุทธ หากอยากมาทำบุญในช่วงวันออกพรรษาอันเป็นวันที่ทั้ง 3 โลก (สรวงสวรรค์ โลกมนุษย์ ใต้บาดาล) เปิดออก โพนพิสัยก็จะเป็นจุดรวมความเชื่อความศรัทธาในเรื่องนี้
“จริง ๆ ความเชื่อความศรัทธาไม่ใช่สิ่งที่ผิดนะคะ แต่ว่าเราจะต้องกำกับด้วยปัญญา ไม่อย่างนั้นมันจะเป็นความเชื่อความศรัทธาที่มืดบอด ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ชาวพุทธเราเชื่อเสมอคือกฎแห่งกรรมค่ะ คุณทำอะไรแล้วจะได้สิ่งนั้นตอบแทนไม่ช้าก็เร็ว อย่างมงายว่าต้องขออย่างเดียว เพราะทุกสิ่งทุกอย่างพญานาคท่านทำให้เห็นแล้วว่ามีศรัทธาในศาสนาพุทธมาก ไม่เคยขอเงินขอทองกับพระพุทธเจ้า ขอแค่ได้บวชเรียนรู้หลักธรรมคำสอนเพื่อหลุดพ้นจากการเป็นสัตว์เดรัจฉาน ฉะนั้นตัวเราเองก็เหมือนกันค่ะ เพียงไหว้เคารพบูชาคุณของพญานาคที่มีศรัทธายิ่งยวดต่อศาสนาพุทธ ทั้งมีจิตใจเมตตาปกปักรักษาบ้านเมืองโพนพิสัยของเราเท่านั้น
“นอกจากนี้หมอเองก็อยากจะแนะนำแขกบ้านแขกเมืองหรือนักท่องเที่ยวที่ยังไม่เคยมาเมืองโพนพิสัย ทุกท่านยังสามารถมากราบสักการะหลวงพ่อพระเสี่ยง ณ วัดมณีโคตรซึ่งชาวเมืองเคารพนับถือเป็นพระคู่บ้านคู่เมือง รวมถึงไปชมแลนด์มาร์กเมืองโพนพิสัยอย่างพญาพิสัยสัตตนาคราช ณ ริมฝั่งโขง เพื่อความเป็นสิริมงคลในชีวิตท่านเองได้ด้วยค่ะ”

อาจารย์ณัฏฐ์ จันทร์อ่วม
ตามความเชื่อของชาวอีสาน พญานาคสามารถเดินทางไปได้ทั้งสรวงสวรรค์ โลกมนุษย์ และใต้บาดาล ดังนั้นการสวมใส่ผ้าลายพญานาคในวันทำบุญจึงถือเป็นการแสดงความศรัทธาที่มีต่อท่าน อย่างไรก็ตามด้วยความยากในการทอ ชาวหนองคายจำต้องพึ่งพาช่างจากจังหวัดอื่น ๆ มาผลิตทำให้ราคาสูงเกินเอื้อม อีกทั้งยังมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นเมื่ออำเภอบึงกาฬแยกตัวออกไปพร้อมกำหนดสีม่วงเป็นสีประจำจังหวัด ซึ่งเดิมทีหนองคายเคยใช้สีม่วงจากดอกชิงชัน ดอกไม้ประจำจังหวัดเป็นสีหลักบนผ้าถุง ดังนั้น อาจารย์ณัฏฐ์ จันทร์อ่วม ปราชญ์ทางด้านลายผ้าไทยจึงเข้ามามีส่วนร่วมออกแบบผ้าประจำจังหวัดหนองคายอย่างเป็นทางการ
“เราได้รับบรีฟมาว่าลายผ้าห้ามยากเกิน เพื่อคนหนองคายจะสามารถทอเองและสร้างรายได้วนอยู่ในพื้นที่ โดยเขากำหนดสีประจำจังหวัดหนองคายไว้คือแดงอิฐ อันมาจากดินของแม่น้ำโขง ทางเราก็ออกแบบลายผ้ามาเป็นลายพญานาค แต่เผอิญใช้พญานาคตัวใหญ่เลยเรียกลายนั้นว่า ‘ลายนาคใหญ่’ ซึ่งบนผ้าประกอบไปด้วยลายแม่น้ำโขง พญานาค และต้นชิงชัน หลังจากนั้นก็จดลิขสิทธิ์แล้วมอบแด่ทางจังหวัดให้คนหนองคายนำไปใช้ได้ทุกคน จนสามารถทอส่งลูกส่งหลานเรียน มีรายได้ในครอบครัว สังคม และชุมชนครับ
“หลังจากนั้นคุณหมอมิลค์ท่านเล็งเห็นว่าโพนพิสัยยังไม่มีผ้าลายประจำอำเภอและอยากให้เป็นอำเภอแรกที่มี เราเลยต้องไปหาข้อมูลจากผู้รู้ในโพนพิสัยอย่างคุณอมรรัตน์ ลีเพ็ญและผู้ใหญ่หลาย ๆ ท่านจนเกิดผ้าลาย ‘นาคาศรัทธา’ ขึ้นมา บนผ้าจะประกอบด้วยลายพญานาค 7 เศียร บั้งไฟ แม่น้ำโขง และสีแดงเลือดหมูจากดอกชบาซึ่งเป็นดอกไม้โปรดของพระยาสุนทรธรรมธาดา เจ้าเมืองคนแรกของโพนพิสัย แล้วเสร็จเราก็จดลิขสิทธิ์มอบให้ทางอำเภออีกเช่นกัน พร้อมโปรโมทครั้งแรกโดยให้คุณเบลล่า ราณี แคมเปนสวมใส่รำในงานออกพรรษาเมื่อปี 2562 และนางรำทุกคนก็สวมใส่ทุกปี กระทั่งมาถึงน้องเดนิส เจลีลชา คัปปุนในปี 2568”
เมื่อสอบถามย้อนไปถึงภูมิหลังของอาจารย์ณัฏฐ์ ท่านเผยกับเราว่าทางฝั่งคุณแม่เป็นคนจังหวัดสกลนครและครอบครัวเปิดโรงเรียนสอนตัดผ้า ดังนั้นจึงซึมซับศาสตร์แห่งผ้ามามากมาย ภายหลังจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ หันมาสนับสนุนผ้าไทยอย่างจริงจังเพื่อส่งเสริมอาชีพแก่ชุมชน ตัวอาจารย์ณัฏฐ์เองเคยมีโอกาสได้พานพบพระองค์ท่านอยู่บ่อยครั้งทำให้ความหลงใหลในผืนผ้าทอเริ่มมากขึ้น ก่อนตัดสินใจเดินบนเส้นทางนี้ต่อไปด้วยความศรัทธาในวิชาชีพ
“สิ่งหนึ่งในวิชาชีพที่เราให้ความสำคัญมากสุดคือรสนิยมของลูกค้าครับ แต่ละท่านนั้นไม่เหมือนกัน บางคนชอบสีฉูดฉาด สีเอิร์ธโทน สีหวาน ๆ เราก็ต้องอ่านใจลูกค้าให้ได้ อีกอย่างคือความจริงใจที่เราต้องมีให้กับเขา ผมบอกเด็ก ๆ ตลอดว่าเราจะไม่โกหกลูกค้า ดีคือดี ไม่ดีคือไม่ดี ให้ลูกค้าตัดสินใจเอาเองว่าอยากได้ไหมหรืออยากได้แบบไหน
“ส่วนเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์มันก็ต้องควบคู่ไปกับการกระทำของเราด้วย ถ้าเราไม่ทำท่านคงช่วยเราไม่ได้หรอก เพราะผมเชื่อว่าเขามองเราอยู่ ใครเป็นคนดีและทำอะไรบางอย่างสุดความสามารถแล้วแต่ยังไม่สัมฤทธิ์ผล ท่านอาจจะช่วยเพื่อให้สัมฤทธิ์ผล
“สุดท้ายนี้โลกมันก้าวหน้าแล้ว เราควรที่จะนำความเป็นไทยมาร่วมสมัยกับความเป็นสากลเพื่อคงอยู่ได้นาน ทำให้ดูมีสไตล์และดูเก๋มากขึ้น ขณะเดียวกันเด็กรุ่นใหม่ก็จะสนุกกับการแต่งตัวด้วย รวมถึงเหล่าน้อง ๆ ที่กำลังทำผ้าในปัจจุบัน จงจำไว้ว่าสิ่งหนึ่งที่สำคัญสุดคือความจริงใจต่อลูกค้า เหนือสิ่งอื่นใดคืออย่าทิ้งความเป็นไทย อาจารย์ณัฏฐ์เชื่อมั่นว่าน้อง ๆ จะประสบความสำเร็จเป็นรุ่นต่อไป เพราะพวกพี่ทุกคนอายุมากแล้ว เหมือนกับไม้ใกล้ฝั่ง จำต้องส่งไม้ต่อให้กับน้อง ๆ และเชื่อมั่นว่ารุ่นพี่ทำมาดีในระดับหนึ่ง รุ่นน้องต้องทำดีกว่าอีกหลายระดับแน่นอนครับ”


เดนิส เจลีลชา คัปปุน ผู้นำรำบวงสรวงพญาพิสัยสัตนาคราชประจำปี 2568
“รู้สึกดีใจและเป็นเกียรติมาก ๆ ที่ผู้ใหญ่ให้โอกาส เพราะว่าจริง ๆ อยากมาร่วมรำในงานนี้นานมากแล้วค่ะ ด้วยความที่ตัวหนูเองซึมซับประเพณีนี้มาตั้งแต่เด็ก ทางครอบครัวคุณแม่ก็ไหว้องค์ปู่พญานาคเป็นหลักและทำมาเรื่อย ๆ ตลอดจนเราโต ดังนั้นเลยรู้สึกว่ามีความศรัทธากับท่านมาก ๆ
“ส่วนผ้าที่สวมใส่วันนี้ก็สวยมาก ๆ เลยค่ะ มันคือผ้าลายนาคาศรัทธาของโพนพิสัย ซึ่งหนูเองเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่สนับสนุนวัฒนธรรมคนอีสานบ้านเราอยู่แล้ว เพราะเราก็เป็นคนอีสานในสายเลือดเหมือนกัน รู้สึกว่าอยากจะเผยแพร่วัฒนธรรมอีสานให้คนทั่วประเทศรวมไปถึงคนต่างชาติได้มารู้จักวัฒนธรรมบ้านเราค่ะ มีหลายอย่างที่น่าสนใจมาก ๆ ทั้งเรื่องอาหารการกิน ประเพณี เสื้อผ้า ผ้าถุงลายต่าง ๆ อยากจะให้ทุกคนได้มารู้จักจริง ๆ ”



