นที เอกวิจิตร

นที เอกวิจิตร

นักร้อง นักแต่งเพลง ศิลปินแร๊พผู้โด่งดังในนาม อุ๋ย บุดด้าเบลส หลังจากที่เขาดีเบตเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนากับเจ้าหน้าที่ของวัดแห่งหนึ่ง ชื่อของเขาก็กลายเป็นที่สนใจขึ้นมาในทันที เนื่องจากเหตุผลและการโต้ตอบอันชัดเจน คมคาย โดยเฉพาะในเรื่องการให้ทานและการปฏิบัติ มีความเข้าใจ แก่น เปลือก และศึกษาธรรมะด้วยตนเองจากการบวชเรียน และศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า ภาพลักษณ์อีกด้านเขาเป็นศิลปินจิตอาสาที่หมั่นทำความดีเพื่อสังคมด้วยเช่นกัน

“ความดีสำหรับผมคือเรื่องที่เรารู้สึกดีก่อนที่จะทำ ระหว่างที่ทำ และเมื่อทำไปแล้วนึกกี่ครั้ง ๆ ก็รู้สึกดี คือเป็นเรื่องที่ดีและเกิดประโยชน์กับคนอื่นด้วยจริง ๆ ผลกระทบกับผู้อื่นที่เป็นความเดือดร้อนน้อย มีผลดีมากกว่า อันนั้นแหละครับคือความดี การทำความดีง่าย ๆ คือใช้ชีวิตประจำวันโดยไม่เบียดเบียนใคร ถ้าเป็นไปได้ก็เบียดเบียนให้น้อยที่สุด ไม่เบียดเบียนใครเลยมันเป็นไปได้ยากเพราะทุกการกระทำมันมีผลกระทบต่อคนอื่นแน่นอนอยู่แล้ว จะมากหรือน้อยเท่านั้นเอง เราก็เลือกทำในเรื่องที่มีผลกระทบที่เกิดผลดี

“แนวทางที่เป็นการทำความดีสำหรับผมก็แค่รับผิดชอบหน้าที่ตัวเองให้ได้ก่อน เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่หรือยัง เป็นนักเรียนที่ดีหรือยัง ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีแค่นี้ก็พอแล้ว ไม่ต้องหวังว่าใครจะมาเปลี่ยนแปลงสังคมหรือเราต้องออกไปเปลี่ยนแปลงสังคม คุณกินข้าวคุณล้างจานเองหรือเปล่า คุณปล่อยให้พ่อแม่ล้าง คุณรับผิดชอบตัวเองหรือยัง แค่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนี้ รับผิดชอบตัวเองให้ได้ก่อนแล้วค่อยขยายออกไปในเรื่องที่มันใหญ่กว่านั้น ถ้าออกมาเป็นอาสาไปกวาดถนนนู่นนี่นั่นแต่ยังให้พ่อแม่ล้างจานข้าวอยู่เลย ใช้เค้าซักเสื้อผ้า อันนี้ผมว่ามันเป็นการทำดีแบบฉาบฉวย เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับผมก็ถือเป็นเรื่องความดีแล้วนะ คือรับผิดชอบตัวเองได้ ไม่เดือดร้อนคนในครอบครัวหรือคนรอบข้าง อันนั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นในการทำความดี “ทำดีไม่ได้มีไว้อวด การทำดีก็ได้ดีตั้งแต่ตอนทำ ผมเชื่อว่าบางอย่างมันไม่ต้องรอผล คือทำดีก็ได้ดี ทำชั่วมันก็ชั่วตั้งแต่ตอนนั้น จะไปรออะไร สิ่งที่ตามมาก็คือผลพลอยได้ สิ่งที่ทำดีไปแล้วมันก็จะดีตั้งแต่ตอนทำแล้ว ถ้าทำดีแล้วรอให้มันเกิดผลดีมันไม่ได้เรียกว่าทำดีนะครับ มันเรียกว่าการลงทุนแล้วหวังผลตอบแทน แต่ทำดีแล้วต้องไม่หวังอะไรครับ คือเห็นว่ามันดีแล้วก็เลยทำ

“สำหรับผมต้นแบบในการทำความดีมีสองคนครับ คือพระพุทธเจ้ากับพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ในหลวง รัชกาลที่ 9 ทรงเป็นตัวอย่างที่ผมเห็นการทำความดีต่อไปเรื่อย ๆ ไม่หยุด ท่านเคยโดนโจมตีทั้งจากสื่อต่างชาติ หรือจากคนในประเทศตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ทำความดีให้ผู้คน แต่กลับโดนบั่นทอนจิตใจสารพัด ท่านก็ยังมุ่งหน้าทำแล้วก็ทำ นี่เป็นต้นแบบของการทำไปเรื่อย ๆ ทุกวันนี้เรายังได้รับผลที่ท่านทรงทำให้อยู่เลย ไม่ว่าจะจากแนวคิด โครงการหรือพระราชกรณียกิจต่าง ๆ ผมบอกเลยว่ามีอย่างเดียวที่ผมเห็นชัดที่สุดคือการไม่หยุด ทรงทำต่อไปเรื่อย ๆ ใครจะไปพูดยังไงก็ทรงทำต่อไปเรื่อย ๆ

“เรื่องประทับใจที่พระองค์ทรงทำมีเยอะมากครับ โดยเฉพาะเรื่องภูมิศาสตร์ ซึ่งโยงให้เห็นว่าประชากรส่วนใหญ่ในประเทศเราเป็นเกษตรกร ฉะนั้นสิ่งที่ท่านทำมีผลต่อประชากรในประเทศมาก เรื่องภูมิศาสตร์ เรื่องดินฟ้าอากาศ โครงการฝนเทียม องค์การบริหารจัดการน้ำ เรื่องให้ทำฝายชะลอน้ำ ไม่จำเป็นต้องสร้างเขื่อนใหญ่ ทำเป็นฝายเล็ก ๆ เพื่อให้ชะลอน้ำได้ เรื่องการพลิกฟื้นแผ่นดินที่โทรมไปแล้วให้เป็นฝาย แล้วก็ทำให้คนมีอาชีพได้ด้วย ผมว่าเรื่องเหล่านี้มันเป็นวงจร คือถ้าธรรมชาติ สภาพแวดล้อมดี เกษตรกรอยู่ดีกินดีไม่ได้มุ่งแต่จะไปผลิตผลผลิตเพียงอย่างเดียว ท่านแนะนำให้ปลูกหลากหลาย เศรษฐกิจพอเพียงท่านมองในระยะยาวแล้วว่าสิ่งที่จะมุ่งเน้นแต่เศรษฐกิจอย่างเดียวนั้นไม่ยั่งยืน การขาดคุณธรรมสังคมก็พังอยู่ดี เน้นการโตแบบไม่รวดเร็วแต่ยั่งยืน ก็คือเศรษฐกิจพอเพียงอย่างเดียวครบเลยครับ ท่านก็ได้พยายามเน้นย้ำเรื่องนี้มาโดยตลอด ซึ่งก็เป็นทางออกของเรื่องนี้ภายในประเทศเราจริง ๆ

“การทำความดีนั้นผมอยากให้แต่ละคนรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเอง ก็ยังย้ำอยู่เรื่องเดิมครับ เรื่องง่าย ๆ ก็คือรักษากฎ รักษาวินัย หรือหน้าที่ของตนเอง อย่างสมมติเป็นสามีภรรยากันก็ต้องไม่นอกใจ ดูแลจิตใจซึ่งกันและกัน ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีก่อนไม่ต้องไปคิดอะไรไกล เป็นลูกจ้างที่ดี เป็นเจ้านายที่ดี ทำให้สังคมดีขึ้น เริ่มจากเรื่องเล็ก ๆ ในชีวิตประจำวันแค่อย่างเดียวเลือกมาข้อไหนก็ได้ ผมว่ามันเห็นผลนะ แล้วใจเราก็สบายด้วยที่ได้ทำความดี ไม่เบียดเบียนใคร”

รอยทำแห่งความดี