ทราบหรือไม่ว่าด้วยนโยบายความเป็นส่วนตัวฉบับล่าสุดของสองยักษ์ใหญ่อินเทอร์เน็ตอย่าง Google และ Facebook นั้นอาจทำให้ ‘ชื่อและรูปโพรไฟล์’ ของเราไปปรากฏอยู่ในโฆษณาใดโฆษณาหนึ่งก็ได้ ...

ไม่แน่ใจว่ามีใครสังเกตหรือเปล่า เวลาที่ Google หรือ Facebook มีการเปลี่ยนโฉมหน้าตาใหม่ ก็จะมีข่าวคึกโครมและแชร์บอกต่อกันเป็นวงกว้างว่าดีอย่างนั้นสวยอย่างนี้(แค่ไอคอน Notification ที่ลูกโลกเปลี่ยนลายนิดหน่อยยังแชร์กันกระจาย) แต่ในทางกลับกัน กรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์หรือนโยบายการใช้งาน ที่โดยมากแล้วจะเกี่ยวข้องและกระทบกับข้อมูลความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ เราแทบจะไม่ได้ยินหรือทราบรายละเอียดเหล่านั้นเลย

เหมือนในการเปลี่ยนแปลงครั้งล่าสุดที่เงียบเป็นป่าช้า ใช่แล้วครับ มันคือการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงในการใช้งานใหม่ของ Google ที่สามารถสรุปใจความสำคัญได้ว่า ตั้งแต่นี้ต่อไป Google จะสามารถแสดงความเห็นของผู้ใช้รวมไปถึงรูปภาพโพรไฟล์ในโฆษณาใดๆ ของ Google ก็ได้ เรียกได้ว่าจับเอาผู้ใช้งานมาเป็นตัวประกันให้ธุรกิจโฆษณาของตัวเองแบบดื้อๆ

ในรายของ Facebook นั้นอันที่จริงได้มีการเขียนนโยบายการใช้งานในลักษณะที่สามารถนำข้อมูลของผู้ใช้ไปหาประโยชน์จากการโฆษณาอยู่แล้วก่อนหน้านี้ แต่ล่าสุดได้มีการระบุรายละเอียดเพิ่มลงไปในทำนองที่ว่า ผู้ใช้มีสิทธิ์อะไรบ้างเหนือข้อมูลต่างๆ ที่ได้โพสต์ลงใน Facebook นอกจากนี้ยังได้มีการเพิ่มฟังก์ชั่นการค้นหาใหม่เข้ามาในชื่อ‘Graph Search’ และยังลบการซ่อนข้อมูลของผู้ใช้ออกโดยไม่มีทางเลือกอื่นๆ มาแทนแต่อย่างใด

แน่นอนครับ การเปลี่ยนแปลงของ Google และ Facebook ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้มีจุดประสงค์เดียวคือการเพิ่มรายได้ให้กับการโฆษณา เหตุผลสำคัญนั้นไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย เพราะบริการของทั้งสองรายนี้แม้เบื้องหน้าจะเปิดให้ใช้ฟรี แต่อย่าลืมว่าทั้งสองไม่ใช่องค์กรการกุศลการหารายได้มาสนับสนุนจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้การบริการยังคงเป็นไปและดำเนินต่อไปได้ รวมไปถึงการวิจัยพัฒนาเพื่อต่อยอดบริการต่างๆ ดังที่เราได้เห็นและได้ใช้งานกันอย่างสนุกสนานในปัจจุบัน

ตัวเลขที่ชี้ชัดคือผลกำไรร้อยละ 90 ของรายได้ทั้งหมดของทั้งสองยักษ์ใหญ่นั้นมาจากธุรกิจโฆษณา สอดคล้องกับธุรกิจโฆษณาออนไลน์ในตลาดโลกที่มีอัตราเติบโตรวดเร็วมาก (ประมาณร้อยละ 10 ต่อไตรมาส) 

ซึ่งการเติบโตนี้ก็นำมาซึ่งการแข่งขันในธุรกิจที่ต้องฟาดฟันกันอย่างหนักหน่วง ในขณะที่ลูกค้าผู้ถืองบโฆษณาก็ต้องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายให้ได้มากที่สุด ก็แน่นอนครับว่าความคาดหวังทั้งหมดมาตกอยู่กับ Google และ Facebook ที่ถือเป็นช่องทางการโฆษณาที่สามารถเข้าถึงผู้ใช้ได้มากที่สุดในโลก ณ ขณะนี้

การเข้าถึงผู้ใช้ในความหมายของการโฆษณา หมายถึงGoogle และ Facebook จะต้องทำอย่างไรก็ได้ให้ผู้ใช้งานคลิกอ่านโฆษณาที่ปรากฏขึ้นในระหว่างการใช้งานมากที่สุด นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมทั้งสองบริษัทจำเป็นต้องนำข้อมูล
และรูปภาพของเราไปสู่การโฆษณาด้วย

เหตุผลก็คือ ถ้าเป็นรูปโฆษณาปกติ ผู้ใช้ส่วนใหญ่มักจะไม่สนใจและมองข้ามไป แต่ถ้าโฆษณานั้นมีชื่อและรูปของเพื่อนเราติดอยู่ด้วย เช่น โฆษณาร้านอาหารแห่งหนึ่ง ที่เพื่อนของเราเคยไปกด Like ให้ดาวหรือคอมเม้นท์ในเชิงบวกว่าอร่อยมาก ... อาจทำให้เราสนใจที่จะดูว่ามันคืออะไร ซึ่งก็จะเพิ่มโอกาสในการคลิกเปิดโฆษณานั้นๆ ดูด้วย      

ไหนๆ ก็พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ในกรณีที่คุณไม่อยากตกเป็นพรีเซ็นเตอร์แบบไม่รู้ตัว ผมมีเทคนิคการป้องกันตัวมาฝากครับ สำหรับใครที่มีบัญชีของ Google ก็ล็อกอินให้เรียบร้อย จากนั้นเปิดเว็บบราวเซอร์แล้วพิมพ์ไปที่ plus.google.com/settings/endorsements แล้วลบเครื่องหมายถูกหน้าข้อความ “Based upon my activity, Google may show my name and profile photo in shared endorsements that appear in ads.” แล้ว Save   

ส่วน Facebook ที่หน้าโปรไฟล์ของคุณ คลิกเลือกเมนู Settings -> Ads จากนั้นคลิก Edit ด้านขวามือของหัวข้อ Ads and Friends มองไปด้านล่างที่ประโยค “Pair my social actions with ads for” คลิกเลือก “No one” จากนั้นคลิกปุ่ม Save Changes ก็เป็นอันเรียบร้อยขอให้ทุกท่านใช้กูเกิลและเฟซบุ๊กอย่างมีความสุขครับ! 

พรีเซ็นเตอร์ที่ไม่รู้ตัว