ภูเรือ เมื่อปลายฝน

ภูเรือ เมื่อปลายฝน

ผมยิ่งมั่นใจเมื่อเวลาเกือบอาทิตย์ที่ขึ้นมาอยู่ท่ามกลางไอหมอกและอากาศเย็นในปลายฤดูฝนบนยอดภูเรือ หลายต่อหลายวันดวงตาและจุดมุ่งหมายของผมต่างก็มีแง่มุมแปลกแยกแตกต่างกันไปตามแต่การเลือกมอง

 

บางรุ่งเช้าเราดั้นด้นขึ้นไปบนความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางราว 1,365 ม. เพียงเพื่อจะพบว่าเบื้องล่างถูกปิดกั้นด้วยหมอกหนาและอากาศฉ่ำเย็น มองไม่เห็นแม้ยอดไม้

 

บางวันป่าสนก็ชัดเจนเป็นเงาดำ มีฉากหลังเป็นฟ้าหน้าฝนที่กลายเป็นสีบลูในยามเย็น

 

ว่ากันใกล้ๆ ตัว เพื่อนช่างภาพผิดหวังอยู่หลายเช้าที่แสงแรกไม่ผ่านม่านเมฆลงมาเป็นภาพสวยบนแผ่นฟิล์ม ขณะที่กลุ่มนักท่องเที่ยวที่เหมารถขึ้นมาจากล่างภู แต่หัวรุ่งกลับตื่นเต้นกับภาพเดียวกันตรงหน้าที่หมอกหนาห่อหุ้มกลืนกินวิวเบื้องล่างกลายเป็นฉากสีขาว

 

หลายวันผ่านไปซ้ำๆ ผมเองคล้ายจะเห็นภาพแตกต่างที่เดินไปร่วมกันที่ภูเรืออยู่แทบทุกวัน

 

หากไม่ไปตั้งความหวังอะไรให้มากมายกับสิ่งรายรอบ เราอาจเห็นว่าทุกสิ่งนั้นมีความงดงามเป็นตัวของตัวเองเสมอ และก็ไม่ได้มีแต่ด้านที่เราเลือกมอง

 

เป็นต้นว่า...

 

บ้านพักบริเวณที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูเรือในปลายฤดูฝนเงียบเชียบ ยังไม่ต้องไปพูดถึงข้างบนยอด ที่เหลือร้านอาหารเพียงร้านเดียว นักท่องเที่ยวพากันขึ้นมาในยามเช้าและกลับลงไปเมื่อประทับภาพวิวกระจ่างตาเอาไว้ในความทรงจำ มีบ้างราวกลุ่มสองกลุ่มที่กางเต็นท์สีสด เตรียมผ่านค่ำคืนไปเงียบๆ

 

ม่านฝนตั้งแต่เมื่อคืนส่งผลให้เช้ามืดวันนี้อึมครึม ยอมรับกันตามตรงตามประสาคนไม่คุ้นกับการตื่นเช้า ผมงัวเงียลงมาเปิดประตูรถใส่เกียร์โลว์ไต่ความความสูงอันคดโค้งขึ้นไปบนยอดภูเรือ หมอกจัดไหลตัวผ่านบานกระจก สร้างภาพโลกฝันเอาไว้ตามป่าสนริมทาง ยิ่งขึ้นมาสูงก็ยิ่งกดหนักและติดไอชื้นไว้ตามเนื้อตัว

 

ก่อนเช้ามืดตรงศูนย์บริการนักท่องเที่ยวจุดที่ 2 เริ่มคึกคัก กาแฟร้อนจากเพิงขายของที่เป็นเหมือนร้านสะดวกซื้อง่ายๆ โชยควันฉุย เราแอบรถจี๊ปคันเล็กไว้ริมต้นสนพร้อมๆ กับการมาถึงของกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เหมารถสองแถวขึ้นมาจากรีสอร์ตข้างล่าง เช้านี้หลายคนตั้งจุดมุ่งหมายไว้ที่ดวงตะวันหลังม่านเมฆฝนที่คลายความหนาไปมากหากเทียบกับเมื่อคืน

 

หลายคนเดินลิ่วนำไปทางผาโหล่นน้อย จุดชมพระอาทิตย์ขึ้นชั้นดีของภูเรือ ผมยังอ้อยอิ่งอยู่กับกาแฟร้อนและภาพวุ่นๆ ของกลุ่มนักท่องเที่ยวหนุ่มสาว ค่อยเดินเตาะแตะตามไปในฉากหมอกที่ยังไม่คลายตัว พรางเส้นทางเดินราว 200 ม. ไว้เบื้องหลัง

 

สิ่งใดกันแน่ผลักดันให้เราเดินไปในทางที่ยังรางเลือนในจุดหมาย ความกดดัน เวลา หรือแรงบันดาลใจ

 

จริงๆ แล้วไม่มีใครตอบได้จนกว่าจะใช้ก้าวแรกไปในการออกเดิน

 

ยามเช้าที่ผาโหล่นน้อยเมฆกลืนกันเป็นผืน แต่ก็มีช่องเล็กน้อยให้แสงผ่านลงมาบางๆ หญิงสาวข้างๆ สอดสานมือเข้าหากันอย่างต้องการความอบอุ่น สนสองใบบางต้นเหลือเพียงกิ่งแห้งตายโกร๋น สร้างเส้นสายสวยงามแบบแปลกๆ

 

ฝนลงต่อเนื่องมาทั้งคืน ท้ายสุดภูเขาก็ผลักดันให้หมอกฟุ้งสูง เลือนภาพที่ราบของภูเรือกลายเป็นหมู่หมอกสีขาว อากาศปิดทึบคนถ่ายรูปรวบขาตั้งกล้องอย่างไม่ไยดีกับความหนาวเย็นที่หลายคนบนผาโหล่นน้อยตื่นเต้น

 

หากเป็นวันอากาศดี จากบนภูเรือ เราสามารถมองเห็นแม่น้ำเหืองและแม่น้ำโขงที่เป็นเส้นกั้นเขตแดนไทยกับลาวได้ลิบๆ แต่กระนั้นก็เถอะ ลานหินธรรมชาติที่แซมด้วยทุ่งหญ้าสลับป่าสนบนภูเรือก็งดงามไม่แพ้การมองออกไปในความว่างเปล่าเบื้องล่างสนสองใบที่ขึ้นตามธรรมชาติและสนสามใบที่ปลูกเพิ่มมาเนิ่นนานยามที่มีหมอกไหลผ่านดูราวกับข้างบนนี้เป็นฉากในนิทานสักเรื่อง

 

เดินจากผาโหล่นน้อยขึ้นไปจุดสูงสุดของยอดภูเรืออีกราว 700 เมตร หลายคนกลับมารวมกันที่เพิงร้านค้าเล็กๆ เช่นเดิม ไม่นับคนที่กลับไปหาอะไรกินแถวพื้นราบข้างล่างที่จากมาก่อนสว่าง เมนูง่ายๆ ข้างบนนี้ก็ช่วยให้มื้อเช้ากลางความหนาวเป็นอีกหนึ่งบรรยากาศอันน่าจดจำ

 

ต่อด้วยทางเดินศึกษาธรรมชาติ พรรณไม้ในฤดูฝนยังคงหลงเหลือและหยัดตัวเองขึ้นมาจากลานหิน แม้เปราะภูเรือที่มีสีชมพูอ่อนหวานอันเป็นพืชเด่นของอุทยานจะโรยไปตั้งแต่กลางฤดูฝน แต่ระหว่างทางเดินไปหินพานขันหมาก กล้วยไม้ดินอย่างเอื้องม้าวิ่งก็ยังติดดอกสีชมพูอมม่วงเรียงรายเป็นระยะ ยังมีเอื้องนวลจันทร์อวดกลีบสีเหลืองอ่อนแต้มน้ำค้างที่ยังไม่เหือด และยี่โถปีนังที่คนรักการถ่ายรูปบรรจงแยกแฟลชออกให้แสงจากด้านข้างเพื่อความมีมิติ

 

อาจเพราะไม่รู้ว่าชนิดไหนเป็นไม้หายากหรือง่าย แต่ผมก็มีความสุขยามเห็นสีสันจากดวงดอกเป็นหย่อมๆ ตรงนี้นิด ตรงนั้นหน่อยผืนมอสดูจะมีความสุขกับฤดูฝนมากกว่าฤดูอื่นใด แผ่คลุมหุ้มห่มจนแผ่นหินดูอ่อนนุ่มและขอนไม้ก็กลับมีชีวิตชีวา

 

บางคนกล่าวว่าดอกไม้เป็นสัญลักษณ์แห่งธรรม งดงามในชั่วเวลา ราโรยทิ้งดอกลงไป ฤดูกาลก็ผ่านพ้นไปอีกครั้ง โดยแท้ก็เท่ากับความไม่แน่นอน

 

แต่บางคนก็กล่าวว่า มองดอกไม้ให้เป็นดอกไม้ ไม่คาดหวัง ไม่นิยาม และไม่ค้นหา

 

เท่านั้นหัวใจก็รู้จักความงดงามได้ไม่ยาก

 

สายขึ้นมาหน่อย แต่ป่าสนแถบภูสนหรือที่เรียกว่าทุ่งกวางตายยังชื้นฝน หมอกขาวไม่จางคลายและทำให้ภาพตรงหน้าเหมือนกันไปหมด ไม่อาจระบุเวลา ลำต้นและรูปทรงมีเสน่ห์ของสนดูเข้ากันกับความสูงและอากาศหนาวบนภูเรือ และมันก็มีค่าพอจะทำให้เราปักหลักรอดูการไหลผ่านของสายหมอกไปตามแนวสน นาทีนั้นผมอยากมีกล้องวีดิโอสักตัว ค่อยๆ บันทึกช่วงเวลาสลับกันของฝนกับหมอก พอฝนมาหมอกก็ละลาย หมดฝนสักเพียงครู่ กลุ่มก้อนขาวขุ่นชื่นเย็นก็กลับมาใหม่

 

ใช่ว่าพื้นที่ราว 74,525 ไร่ อันครอบคลุมอำเภอภูเรือและอำเภอท่าลี่จะมีเพียงความสูงชันอันเหน็บหนาวและมุมมองลงสู่เบื้องล่างเท่านั้น แต่เส้นทางป่าบางสายก็นำเราไปสู่มุมมองที่ต้องแหงนเงยจนคอตั้งบ่า

 

ทางขึ้นลง 2.5 กิโลเมตร จากที่ทำการอุทยานฯ ตัดไปบนที่ราบของภูเรือ รอบด้านร่มรื่นจนเขียวครึ้ม ยิ่งใกล้ตัวน้ำตก ทางหินและโคนไม้ใหญ่ล้วนขึ้นเขียวไปด้วยมอสและตะไคร่ ได้อารมณ์ชื่นฉ่ำของภูเรือยามฤดูฝนที่ป่าพักฟื้น นานๆ จะมีคนขึ้นมาเยือน

 

ระหว่างลงสู่ 400 เมตร สุดท้ายที่ตัดลงสู่หุบลึกผมนึกถึงขากลับที่ต้องสวนความชันกลับขึ้นมา รอยบั้งดินเป็นบันไดลบเลือนทำให้ทางเดินยิ่งลื่น และเมื่อผ่านป่าไผ่ลงไปถึงน้ำตกห้วยไผ่ ผมก็ยิ่งได้เห็นว่าดวงตาของทุกคนมีแง่มุมแตกต่าง

 

ความสูงราว 30 เมตร และสายน้ำที่ถาโถมโจนตัวทำให้ละอองน้ำฟุ้งกระจายไปทั่ว และมันก็ดึงคนหลงใหลธรรมชาติให้จ่อมอยู่ตามมุมบังคับของพื้นที่ได้นานเท่านาน สำหรับผมเอง การได้นั่งมองเถาวัลย์วงรอบใหญ่โตที่เขียวครึ้ม หรือทิศทางแสงเฉียงๆยามสาดผ่านละอองน้ำดูจะเพลิดเพลินกว่าการจดจ่อตัวน้ำตก

 

อย่างไรก็ตาม ในความต่างท่ามกลางสิ่งเดียวกัน หากรู้จักที่ทางและช่องว่างอันพอดิบพอดี ก็ดูเหมือนเราก็ไม่ได้ก้าวสู่ปลายทางอย่างโดดเดี่ยว

 

หอบโยนกันเป็นช่วงๆ เมื่อทวนความชันกลับจากน้ำตกห้วยไผ่ ภูเรือยามบ่ายเงียบเชียบ ร้านอาหารตามสั่งเจ้าประจำที่ยามหน้าฝนที่เหลือเพียงเจ้าเดียวกลายเป็นแหล่ง “พบปะ” ของคนมาเยือนและคนอยู่กิน หมอกกลับมาสู่สายตาอีกครั้งและเป็นอย่างนั้นอยู่แทบทั้งวัน

 

ผมขับรถลงมารับลมตรงผาซำทอง ไลเคนเหลืองทองขึ้นคลุมราบรอบ นอกจากหน้าผาแห่งนี้จะเป็นจุดที่เห็นดวงอาทิตย์ทั้งขึ้นและตกได้สวยแล้ว อากาศสดที่ลอยมากับลมยังมีเสน่ห์ไม่น้อยไปกว่ากัน

 

วันทั้งวันของฤดูฝนสำหรับคนที่ขึ้นมาเยือนภูเรืออาจเป็นเช่นนี้ คาดหวังอะไรกับวิวข้างล่างไม่ได้ ก็ต้องมีความสุขกับภาพตรงหน้า

 

บางคราวหมอกหนาและฟ้าสีเทาก็ก็นุ่มนวลอิ่มอารมณ์ไม่แพ้แดดอุ่นเรื่อเรือง

 

เราใช้เวลาที่เหลือไปกับความสูงอันหนาวเย็นและภาพเดิมๆ ของภูเรือ เห็นว่าอากาศน่าจะเปิด ก็ขับรถเที่ยวไปตามจุดชมวิว อยากดูดอกไม้สีสวยๆ ก็หยิบเลนส์มาโครเดินตามกันไปแถบลานหิน ที่บางช่วงก็มีลมอ่อนพัดให้ดอกไม้พลิ้วขยับ หรือหิวจัดก็เวียนไปหาเห็ดหอมที่ร้านตามสั่ง สนุกกับการเปลี่ยนแมนูและหยอกล้อเจ้าของร้านที่เริ่มคุ้นกันมากขึ้นในทุกๆ มื้อ

 

ในวงล้อมอันจำกัดอยู่ด้วยเงื่อนไขฤดูกาล อย่างถึงที่สุดเราก็ทำอะไรได้เพียงระดับหนึ่ง

 

หากไม่เปิดที่กว้างให้ใจตัวเองยอมรับ หรือมากไปกว่านั้น อาจเผื่อออกไปสู่หัวใจดวงอื่นที่ร่วมเดินหรือสัมผัสสัมพันธ์ในสิ่งเดียวกัน

 

สายหมอกก็อาจจมให้เราเดินควานหาจุดหมายอยู่เพียงคนเดียว

ในดวงตาของเราทุกคนมีจุดหมายแตกต่าง