สุชาติ มหันตคุณ

สุชาติ มหันตคุณ

แง่มุมใหม่ในโลกใบเดิม

ภาพจำที่ถูกสร้างขึ้นโดยผู้คนในสังคม ขีดเส้นให้เขาเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ที่คร่ำหวอดอยู่แวดวงยานยนต์สุดหรูของเมืองไทย และนักธุรกิจรุ่นใหญ่มากความสามารถ ทว่าภาพเหล่านี้ยังมีอีกแง่มุมหนึ่งซึ่งผู้สร้างอาจไม่เคยเห็นหรือสัมผัส ที่น้อยคนนักจะรู้ว่าเขานั้นคลุกคลีอยู่ในแวดวงจิวเวลรี่มานานหลายปี 

“ตอบยากเหมือนกันนะ ถ้าถามว่า สุชาติ คือใคร ความจริงแล้วผมมีชื่ออยู่ในหลายวงการ ขึ้นอยู่กับว่าคนที่ถามอยู่ในวงการอะไร ถ้าในวงการธุรกิจ ชื่อสุชาติมักจะโหล อาจไม่ค่อยชัดเจน ถ้าในแวดวงกีฬาผมคือ สุชาติเทนนิส สุชาตินักแข่งรถ เพราะชอบความเร็ว หรือถ้าในแวดวงรถยนต์ก็จะเป็น สุชาติปอร์เช่ต์ สุชาติเล็กซัส ถ้าอยู่ในวงการบันเทิงก็จะเป็นสุชาตินักร้อง เพราะไปงานไหนก็มีแต่คนขอร้องแกมบังคับให้ขึ้นไปร้องเพลง แต่น้อยคนนักจะรู้จักว่าสุชาติอยู่ในวงการจิวเวลรี่ด้วย เพราะปกติภรรยากับลูกจะเป็นคนดูแล ส่วนผมมักจะเกี่ยวข้องกับอะไรที่ดูแมนๆ

“จริงๆ แล้วจิวเวลรี่เป็นธุรกิจที่ผมเป็นผู้ริเริ่ม เพราะเป็นคนชอบของสวยๆ งามๆ จำพวกเครื่องประดับ แต่ส่วนตัวผมคิดว่าจิวเวลรี่น่าจะเป็นธุรกิจที่ผู้หญิงทำได้ดีกว่าผู้ชาย จึงผลักดันให้ภรรยา (สุวลักษณ์ มหันตคุณ) มาดูแล โดยการส่งภรรยาไปศึกษาเรื่องเพชรและอัญมณีต่างๆ ที่ Santa Monica รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา จนจบ Graduate Jeweler Gemologist (USA) ทางด้านนี้โดยเฉพาะ หลังจากนั้นได้มอบร้าน Bee Bijoux ให้ภรรยาดูแลอย่างเต็มตัว ในตอนแรกภรรยาก็ไม่เอาด้วย เพราะการทำจิวเวลรี่ต้องรู้จริง ถ้ารู้ไม่จริง ซื้อมาอย่างไรขายไปอย่างนั้นก็เท่ากับว่าเราขายของโดยการหลอกลูกค้า มาตอนนี้เขาสามารถทำได้ทุกอย่างแม้กระทั่งหล่อทอง รีดแผ่นทอง ดังนั้นจะเห็นได้ว่าผมมาเกี่ยวข้องกับจิวเวลรี่ได้เพราะความชอบส่วนตัวล้วนๆ ทั้งที่ไม่ได้เรียนทางด้านจิวเวลรี่ เพชร พลอย โดยตรง แต่จากประสบการณ์ที่รู้มาเยอะ เห็นมาเยอะ จับมาเยอะ ความจำดี รู้ว่าเหลี่ยมเพชรแบบนี้แปลว่าอะไร

“ผมเติบโตมาจากครอบครัวนักธุรกิจคนจีน คุณพ่อทำโรงงานอุตสาหกรรม จึงเกิดมาพร้อมกับสัญชาตญาณการค้าขาย เมื่อครั้งเรียนอยู่ชั้นประถมจนถึงมัธยมต้นผมเรียนที่เมืองไทย พอช่วงมัธยมปลายก็ไปเรียนที่ไต้หวัน กระทั่งย้ายไปเรียนที่ประเทศอังกฤษจนจบมหาวิทยาลัยด้านวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งตอนนี้ผมก็ทำธุรกิจรถยนต์อยู่ โดยหุ้นกับเพื่อน เพราะมีความชื่นชอบด้านรถยนต์ด้วยเช่นกัน 

“เมื่อเทียบกับ 10 ปีที่แล้ว ชีวิตของผมตอนนี้ไม่มีสีสันเลย ตื่นมาก็กิน Brunch เล่นเฟซบุ๊ก เสร็จแล้วก็มานั่งดื่มกาแฟ เข้าสปอร์ตคลับ พอตกเย็นก็กินข้าวตามโรงแรม 4 - 5 ดาว เสร็จแล้วก็กลับบ้าน ทำอย่างนี้จนเป็นกิจวัตร ส่วนธุรกิจทุกอย่างผมจะทำผ่านอีเมล์บนไอแพด คนแก่บางคนไม่สนใจเทคโนโลยี อันนี้ไม่ควร เพราะถ้าไม่ใช้แล้วสมองจะฝ่อ อะไรที่ไม่ใช้พระเจ้าจะเรียกคืน 

“ผมเป็นคนชอบเลี้ยงสัตว์ เลี้ยงกระรอกและนก แต่จะไม่ขังมันไว้ ให้มันบินอยู่ข้างนอก มีน้ำและอาหารให้เป็นเวลา แล้วผมก็นั่งจิบไวน์สักแก้ว ดูพวกมันอย่างมีความสุข ผมเชื่อว่าสัตว์ทุกชนิดจะมีสัญชาตญาณรู้เองว่ามนุษย์คนไหนหรือสัตว์ตัวไหนมีความใจดีกับมันหรือเปล่า จะเข้ามาทำอันตรายกับมันหรือไม่ นี่แหละความสุขที่เงินก็ซื้อไม่ได้ (หัวเราะ)”

ทำธุรกิจต้องคิดให้เยอะ

เส้นทางของธุรกิจจิวเวลรี่นี้เต็มไปด้วยขวากหนาม แต่ด้วย ‘วิธีคิด’ ของคุณสุชาติ ที่คิดไตร่ตรองมาอย่างถี่ถ้วนพร้อมใส่ใจในทุกรายละเอียด นี่จึงเป็นคำตอบได้ว่าทำไม Bee Bijoux อยู่มาได้กว่า 30 ปี

“เราเริ่มจากเป็นเอเย่นต์ นำจิวเวลรี่หลายแบรนด์เข้ามาขาย ซึ่งโชว์รูมแรกเปิดอยู่ที่โอเรียนเต็ลพลาซ่า ไฮโซในเมืองไทยทุกคนต้องเคยมาที่ร้าน ไม่เว้นแม้กระทั่งดาราฮอลลีวูดอย่าง เอลิซาเบธ เทย์เลอร์ เรียกได้ว่าถ้าคุณต้องการซื้อของเก๋ๆ มีราคา มีรสนิยม มีร้านของผมร้านเดียวเท่านั้น

“เคยมีครั้งหนึ่งนักออกแบบชื่อดังของเมืองไทยมาที่ร้าน ปรากฏว่าเขาชอบสินค้าหมดทุกชิ้น ซึ่งทั้งร้านมีจิวเวลรี่ทั้งหมด 4 แผง เขาขอเหมา 1 แผง แต่ผมบอกว่าไม่ขาย ถ้าจะซื้อเพียงแค่ 1 - 2 ชิ้น ผมยินดีจะขายให้ แต่ไม่ใช่ซื้อเยอะๆ อย่างนี้ เขาเองก็คงงง เพราะผมไม่ได้บอกเหตุผลหรืออธิบายอะไร แต่ผมกลับมาเล่าให้ภรรยาและลูกฟัง พร้อมบอกว่าที่ไม่ขายเพราะหากขายไป สินค้าทั้งร้านจะหายไปเลย 1 แผง เหลือแค่ 3 แผงเท่านั้น การที่จะทำให้สินค้าหมดไปนั้นไม่ยาก เพราะมีลูกค้าเข้ามาซื้ออยู่แล้ว แต่การซื้อจิวเวลรี่เข้ามาจัดแสดงหน้าร้านเป็นสิ่งที่ยากกว่ามาก เพราะต้องใช้เวลาในการเลือกซื้อมาทีละชิ้น จิวเวลรี่ 1 แผง ผมต้องใช้เวลาเลือกนานเป็นเดือน เงินผมก็อยากจะได้ แต่คิดดูดีๆ วิธีแบบนี้มันไม่เวิร์ค นี่คือประสบการณ์ชีวิตในการค้าขา

“ร้านของผมเป็นที่นิยมขนาดที่ว่าน้ำท่วมจนถูกตัดน้ำตัดไฟ จุดเทียนขาย ก็ยังมีคนมาซื้อ ยุคนั้นเป็นยุคที่ใครๆ ก็รู้จักบี บิฌูส์ แต่ต่อมาการทำธุรกิจมันเปลี่ยนไป เริ่มมีการนำเครื่องประดับที่ใช้พลอยแท้ พลอยสีมาขาย ซึ่งก็ขายดี เพราะไม่ค่อยมีใครทำ ตรงนี้เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ผมภูมิใจมาก เพราะผมมักเป็น Pioneer หรือคนคอยนำทาง คิดทำอะไรก่อนคนอื่น 1 ก้าวเสมอ ธุรกิจเป็นเหมือนการฉวยโอกาส คุณไปก่อนคุณได้ก่อน แต่บางครั้งสิ่งที่เราสร้างขึ้นมา คนอื่นยังไม่นิยม ตลาดยังไม่พร้อม ก็เจ็บตัวไป ถือว่าเป็นบทเรียน

“พอถึงจุดๆ หนึ่ง แฟชั่นก็เปลี่ยนไป พลอยสีจำเป็นต้องทำน้อยลงจนแทบไม่มีแล้ว จึงเปลี่ยนมาขายเพชรแทน ซึ่งตลาดตรงนี้ก็มีการแข่งขันสูง คนซื้อน้อย คนดูเยอะ เพราะเชื่อว่าใครๆ ก็ชอบของสวยงาม นอกจากนี้ยังต้องใช้เวลานานมาก กว่าจะขายเพชรได้ 1 เม็ด ต้องคุยกันจนน้ำท่วมทุ่ง ผมแนะนำว่าถ้าคุณไม่พร้อมที่จะเอาขาผูกติดกับตู้โชว์ คุณก็ขายเพชรไม่ได้ เพราะลูกค้าที่มาซื้อเขาก็ต้องการคุยกับเจ้าของ ถ้าเจ้าของไม่อยู่ไม่ซื้อ เรียกได้ว่าจะเสียเงินทั้งที ต้องมีความสบายใจด้วย

“ทั้งนี้ทั้งนั้นการขายเพชรก็ต้องมีจุดเด่น จุดดี ที่ชาวบ้านไม่มี สำหรับผมเพชรขาวๆ จะไม่ค่อยเน้น แต่จะเน้นขายเพชรสี เพราะเพชรสีเป็นของหายาก มีทุกสีแม้กระทั่งสีดำซึ่งคนทั่วไปก็ไม่ค่อยรู้ แน่นอนว่าราคาต้องแพงกว่า ผมพยายามนำจุดนี้มาสร้างกิตติศัพท์ให้ลูกค้ารู้ว่าร้านของเราถือเป็น 1 ในไม่กี่เจ้าที่เป็น Specialize ในการขาย Color diamond เพชรสีไม่ใช่ทุกคนมี แต่ถ้าคุณอยากซื้อ สีไหนเราก็หาให้คุณได้ ในมุมมองของผม ผมไม่ได้ขายแค่ของ แต่ผมขายความสุขให้กับลูกค้า ไม่ว่าเขาจะเสียเงินกี่แสนหรือกี่ล้าน เขาต้องมีความสุขในสิ่งที่เขาอยากจะได้ ใส่แล้วไม่อายใคร นี่แหละคือนโยบายการขายของผม

“คนค้าขายเพชรจริงๆ ในตัวไม่ค่อยใส่เพชรสักเท่าไหร่ ยกเว้นออกงานหรือมีโอกาสพิเศษ แต่จะพกข้อมูล พกรูปภาพเสียมากกว่า เพราะโอกาสที่จะหยิบขึ้นมาให้คนดูมันมีน้อย ผมใส่แต่แหวนแต่งงานเล็กๆ คนเป็นพ่อค้าต้องคิดถึงหัวอกของลูกค้าที่มาซื้อด้วย ถ้าใส่แหวนแพง เครื่องประดับแพง ลูกค้าเห็นอย่างนี้ก็แทบไม่อยากจะต่อราคา ทำอะไรทุกอย่างมันต้องคิด แม้กระทั่งเรื่องที่ผมไม่ทำจิวเวลรี่เต็มตัวก็เพราะผมเป็นผู้ชาย เวลาลูกค้าผู้หญิงลองใส่สร้อยคอ ผมก็ต้องเอื้อมไปใส่ให้ ซึ่งมันก็จะดูไม่ดี”

หัวใจราชสีห์

กว่าจะผ่านแต่ละช่วงชีวิต ชายผู้นี้ได้ผ่านการเรียนรู้ทั้งจากประสบการณ์ สัญชาตญาณ รวมถึงคำสอนจากผู้เป็นพ่อ ถึงอย่างนั้นเขากลับบอกว่าสิ่งที่ได้เรียนรู้มาในอดีตไม่ใช่ทุกอย่างที่จะสามารถนำมาใช้ได้ในสังคมปัจจุบัน เขาจึงคิดว่าการถ่ายทอดแง่มุมเหล่านี้ให้ลูกหลานอาจไม่ค่อยได้ผลเท่าที่ควร สู้ให้แต่ละคนได้ลองล้มและลุกด้วยตนเองจะดีกว่า 

“สมัยก่อนทุกอย่างมันไม่ซับซ้อนอย่างนี้ ทุกวันนี้โลกเจริญเร็วเกินไป คนก็เรียนหนังสือเยอะขึ้น ฉลาดมากขึ้น จิตใจก็โหดเหี้ยมมากขึ้น แก่งแย่งชิงดีมากขึ้น ทุกอย่างมันมากขึ้นหมด อะไรที่เคยรู้เมื่อสมัยเด็กก็ไม่สามารถเอามาใช้ในสมัยนี้ได้หมด แต่ลึกๆ แล้ว สิ่งที่นำมาใช้ได้คือความรู้สึกในการอ่านคน ผมมองออกว่าคนไหนคบได้หรือไม่ได้ จริงใจแค่ไหน เพราะการพูดการจามันบ่งบอกได้ ยิ่งขายของแพงๆ อย่างจิวเวลรี่ หากมีลูกค้าขอเอาเพชรกลับไปดูที่บ้านนานข้ามคืน คุณก็ต้องตัดสินใจแล้วว่าได้หรือไม่ได้ ถ้าข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าคนนั้นไม่แน่นพอ อ่านคนไม่ออก คุณก็อาจจะพลาดเจ็บตัวขาดทุนหรืออาจพลาดโอกาสในการขายเพชรก็เป็นได้

“ส่วนตัวผมคิดว่าสอนลูกสมัยนี้ยากนะ เพราะเขาเรียนสูงกว่าเรา ด้วยดีกรีถ้าเราสอนเขาก็ไม่เชื่อเราอยู่แล้ว แต่อาจจะไม่เถียง เพราะเราเป็นพ่อ ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว ยุคที่เราคิดว่าวิธีนี้เจ๋ง ใช้งานเวิร์ค ในยุคนี้มันอาจจะไม่เวิร์คก็ได้ ในทางกลับกันเราก็ต้องนับถือเขาด้วยซ้ำ เพราะว่าเขามีข้อมูลที่เราไม่รู้หรือมีวิธีการที่ดีกว่า

“บ้านผมมีความเป็นประชาธิปไตยนะ ว่ากันตามเหตุและผล อย่างการตัดสินใจต่างๆ ในธุรกิจ ผมถือว่าถ้าเรื่องไม่ใหญ่อย่าไปรู้มาก ถ้าเรื่องใหญ่เขาจะมาปรึกษาเราเอง ถ้าเรื่องเล็กๆ เขาตัดสินใจเอง อย่างมากก็แค่พลาดนิดเดียว ถ้าคนไม่เคยล้ม บอกให้ระวังอย่างไร เขาก็ไม่รู้ว่าความเจ็บปวดมันเป็นอย่างไรอยู่ดี ดังนั้นจึงต้องให้เขาล้มเอง ลุกเอง ถึงจะฉลาด

“สำหรับลูกน้องหรือพนักงาน เรียกได้ว่าผมเป็นทั้งพ่อ ทั้งปู่ ทั้งพี่ เป็นทุกอย่าง พนักงานที่อยู่กับผมต่ำกว่า 5 ปี ถือว่าเป็นพนักงานใหม่ เพราะส่วนใหญ่อยู่ด้วยกันมานาน นั่นก็แปลว่าเราต้องดูแลพวกเขาดีพอสมควร ทุกคนที่อยู่กับผมจะเปรียบเหมือนคนในครอบครัว ผมรู้หมดว่าภรรยาใคร ชื่ออะไร ลูกกี่ขวบ เรียนที่ไหน เดือดร้อนอะไรหรือไม่ รวยเกินไปหรือเปล่า มีเรื่องอะไรทุกคนมาปรึกษาผมได้หมด บางคนมาปรึกษาแม้กระทั่งเรื่องจะเลิกกับสามี ซึ่งผมก็แนะนำไปตามเนื้อผ้า

“แน่นอนการทำธุรกิจตรงนี้ความไว้วางใจกันเป็นเรื่องสำคัญ ร้านของผมจิวเวลรี่ไม่เคยหายสักชิ้น ตั้งแต่ค้าขายจิวเวลรี่มา ผมคิดว่าน่าจะเป็นบริษัทเดียวที่เจ้าของกิจการไม่มีกุญแจตู้เซฟ ลูกน้องเปิดตู้เซฟเองเช้า - เย็น ลองนึกภาพดูว่าในตู้เซฟมีทรัพย์สินอยู่เท่าไหร่ แล้วลูกน้องซึ่งไม่ได้เป็นญาติเป็นคนเปิดปิดเอง เขาจะไว้ใจได้ถึงขนาดไหน

“ถ้าถามผมว่า ณ ตอนนี้ ชีวิตประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง คงต้องบอกว่ายัง เพราะถ้าเชื่อว่าเราประสบความสำเร็จแล้ว เราก็จะหยุดนิ่งอยู่อย่างนั้น ถ้ามีโอกาสผมก็อยากทำอะไรอีกหลายๆ อย่าง เพราะผมไม่รู้สึกว่าผมแก่ สภาพร่างกาย ความจำของผมยังดีอยู่ทุกอย่าง ทุกวันนี้ผมก็ยังเปิดเกียร์ว่าง รับฟังความคิดเห็น ความเป็นไปได้ในการทำโครงการใหม่ๆ อยู่เสมอ แต่ถ้าจะให้ลงไปตัดสินใจอะไรคงไม่ทำ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอายุมากแล้ว ถ้าล้มคงลุกไม่ไหว มันคงไม่คุ้มกับที่ต้องเสียเวลาไปกับความเหนื่อย สู้เอาเวลาไปตีเทนนิส ดื่มไวน์น่าจะดีกว่า อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะผมชอบทำอะไรใหญ่ๆ พอทำใหญ่ๆ แล้วพลาดมันก็จะเสียหายเยอะ แต่ถ้าคุณอยากรวย ก็ต้องทำอะไรที่มันเสี่ยง ถ้าเสี่ยงก็ต้องมีได้มีเสีย ในทางตรงกันข้ามถ้าทำอะไรที่ไม่มีความเสี่ยง มันก็จะได้น้อยตามไปด้วย

“มาถึงวันนี้ผมไม่เสียดายชีวิต เพราะผ่านมาหมดแล้วทุกอย่าง เกินคำว่าคุ้ม รู้สึกพอใจในชีวิตแล้ว มีกิน มีใช้ ไม่สร้างบาป ไปไหนก็มีแต่คนเป็นห่วง ส่วนความสุขในชีวิตของผมคือ ครอบครัว ซึ่งเป็นสิ่งที่เงินซื้อไม่ได้ เมื่อทุกคนในบ้านไม่ทะเลาะกัน อยู่กันอย่างมีความสุข ผมเองก็มีความสุข” 

เพชรเม็ดใดเป็นเพชรน้ำงาม เพียงแค่ดูใบ Certificate