อสิตา วิมลไชยจิต

อสิตา วิมลไชยจิต

ย้อนไปเมื่อ 16 ปีที่แล้ว เธอเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง ที่หลังจากเรียนจบปริญญาโทด้านการจัดการ จากมหาวิทยาลัยคอร์แนลประเทศสหรัฐอเมริกา แล้วก็กลับมาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองไทยต่ออีกสักพักหนึ่ง เรื่องราวทั้งหมดมันเกิดขึ้นเมื่อครั้งหนึ่งที่เธอมาเดินเล่นที่สยามสแควร์ แค่เพียงแค่แวบเดียวของความคิดที่ว่า

 

“ถ้าทำงานที่โรงแรมนี้ล่ะจะเป็นอย่างไร นั่นถือเป็นจุดเริ่มต้นเลยนะ เพราะตอนเด็กๆ ดิฉันเรียนเยอะมาก จนไม่รู้ว่าจะทำอะไรดีช่วงนั้นหลังจากเรียนที่ออสเตรเลียมาตลอด 7 ปีครึ่ง จบแล้วไปต่อที่คอร์แนลอีก 3 ปี ขณะนั้นกลับมาอยู่เมืองไทยใหม่ๆ วันหนึ่งมาสยามกับเพื่อนๆ มานั่งทานสุกี้ ตรงข้ามกับโรงแรมโนโวเทล ก็เกิดสะดุดใจอะไรบางอย่าง คิดแล้วก็เดินข้ามฝั่งเข้ามาสมัครเลยตอนนั้นยังไม่ได้มีจุดหมายอะไรมากมาย ก็แค่อยากเรียนรู้งาน แต่พอได้ลองทำ ดิฉันก็เริ่มสนุก เริ่มรู้สึกว่าอันนั้นเราก็ทำได้ อันนี้เราก็ทำได้นะ ก็เลยแอบคิดเล่นๆ ว่าเราเองก็น่าจะเป็นถึง GM ได้นะ

 

“พอมีเป้าหมายแล้ว ทีนี้ก็เลยต้องมามองถึงการวางแผนการทำงานในระยะยาวว่าการที่ดิฉันจะไปถึงตรงนั้นมันไม่ใช่ปีสองปีหรอกก็คิดแล้วว่าต้องทำอย่างไรบ้าง พอดีมีผู้ใหญ่หลายท่านได้ให้คำปรึกษาว่า แต่ละปีดิฉันต้องพยายามอะไรบ้าง ทำงานหนักและอดทนแค่ไหน พร้อมกันนั้นก็ต้องวางแผนระยะสั้นไปด้วยว่าต้องเป็นอะไรให้ได้ก่อนในปีนั้นปีนี้ ดิฉันต้องทำงานตรงไหนต้องเรียนรู้อะไรบ้าง เรียกว่าก้าวไปทีละขั้นตามขั้นตอน แต่ผ่านการวางแผน วางเป้าหมายในการทำงานก่อน มันจึงช่วยร่นระยะเวลาในไปถึงแต่ละเป้าหมายให้สั้นลง”

 

เธอเชื่อว่าชีวิตคือการวางแผน และด้วยความที่เธอเป็นพี่สาวคนโตที่มีพี่น้องถึง 7 คน จึงต้องรับหน้าที่เป็นผู้ที่ดูแลน้องๆ ทำให้เธอมีความรับผิดชอบมาตั้งแต่นั้น เธอบอกกับเราว่าเวลาจะทำอะไรต้องมีการวางแผนเสมอ และการแข่งขันกับตัวเองนั้นคือสิ่งที่คนรักความก้าวหน้าควรคำนึงถึงมากกว่า ต้องไม่หยุดนิ่งกับความรู้ และควรไขว่คว้ามาใส่ตัวอยู่เสมอ

 

“ดิฉันจะไม่รอให้สิ่งเหล่านั้นมาเข้ามาเสิร์ฟ ก็จะเข้าไปหามันเองเลย เอาง่ายๆ อย่างเช่น ถึงดิฉันไม่ได้ดูแลแผนกนี้ แต่ก็จะเมินเฉยไม่ได้ว่าเขาทำอะไรกันบ้าง ถ้าอยากเรียนรู้ ดิฉันจะอาสาเลย เข้าไปช่วย เข้าไปเรียนรู้ทดลองทำบ้าง แต่ในที่นี้ก็ไม่ควรเข้าไปทำให้เจ้าของงาน หรือคนที่ดูแลตรงนั้นรู้สึกอึดอัด และงานทุกชิ้นที่ดิฉันทำนั้นรับรองได้ว่ามีคุณภาพแน่นอน เพราะถูกสอนมาว่าหากทำงานต้องทำให้ดี ถ้าทำได้ไม่ดีอย่าทำ ไม่ว่างานจะมาในรูปลักษณะแบบไหนก็ยังคงใช้แนวความคิดนี้อยู่เสมอ คืองานไม่สามารถมาเปลี่ยนเราได้ แต่เรานี่สิต้องเป็นผู้ที่เปลี่ยนงาน”

 

เธอใช้เวลาเพียงสองปีในการก้าวกระโดดเข้ารับตำแหน่งที่สูงขึ้นหนึ่งครั้ง เรียกได้ทุกๆ สองปีของเธอต้องมีการเปลี่ยนแปลงปัจจุบันนอกจากเธอจะดำรงตำแหน่งรองผู้จัดการใหญ่ โนโวเทล กรุงเทพ สยามสแควร์ แล้ว เธอยังเป็นผู้หญิงเพียงหนึ่งเดียวของตำแหน่งนี้ในเครือ Accor (กลุ่มบริษัทชั้นนำด้านการบริหารโรงแรมชื่อดังทั่วโลก)

 

“มันมีการแข่งขันกันมากนะคะ ก็ย่อมต้องถูกเพ่งมอง มีเสียงนั้นเสียงนี้มาเข้าหูเราอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นก็ต้องไม่สนใจ ทำหน้าที่ของเราให้ดีต่อไป ที่สำคัญคือลูกน้องพอใจในตัวเราก็พอแล้ว เพราะมองออกไปภายนอกตึกสี่เหลี่ยมนี้ก็ไม่มีใครรู้อยู่ดีว่าเราทำอะไรอยู่ ก็จะไปหยิบเอามาใส่ใจมากไม่ได้ เพราะเราไม่ได้ทำเพื่อตัวเราเพียงอย่างเดียว เราต้องทำเพื่อลูกน้อง เพื่อเจ้านาย เพื่อองค์กรด้วย จะทำอะไรถ้าใจไม่มา มันก็ไม่ประสบผลสำเร็จหรอก แต่นั่นแหละดิฉันเองก็ต้องพิสูจน์ให้ทุกๆ คนเห็นให้ได้ว่าดิฉันมีศักยภาพแค่ไหนถึงมาอยู่จุดนี้ได้

 

“แม้ว่าจุดมุ่งหมายสูงสุดที่เคยวางไว้คือการเป็น GM และโอกาสเหล่านั้นก็ได้ผ่านเข้ามาแล้วหลายครั้ง แต่ที่ยังยืนอยู่ที่เดิมนั่นก็เพราะสำหรับดิฉัน แค่อยากเป็น GM อย่างเดียวไม่พอ มันต้องดูที่หลายๆ องค์ประกอบด้วย เพราะเมื่อมาถึงเวลานั้นจริงๆ จะหลับหูหลับตารับตำแหน่งแล้วก็คิดว่าฉันเป็น GM แล้ว อย่างนั้นคงไม่ได้ ต้องดูว่าเราใช้อะไรในการเป็นองค์ประกอบสำคัญที่เราใช้ในการตัดสินใจเลือกเป็นอันดับแรกด้วย ถ้าเราพบแล้วว่ามันยังไม่ตรงใจกับเรา เราก็ยังก่อนดีกว่า รอเมื่อโอกาสนั้นที่เราต้องการมาถึงจริงๆ เราก็จะพอใจกับมันมากกว่า”

 

แรงผลักดันในการทำงานส่วนหนึ่งนั้นมาจากวิธีการประเมินผลการทำงานของตัวเธอเอง โดยเธอเริ่มจากการมองที่ตัวเองไปหาลูกน้อง แล้วมองหาจุดมุ่งหมายในแต่ละช่วงเวลาของงานนั้นๆ ว่าต้องการให้มันไปในทิศทางใด จากนั้นก็หาวิธีการทำงานที่ให้เกิดข้อผิดพลาดน้อยที่สุดไปจนถึงไม่มีเลย แม้ว่างานจะเป็นแผนของ 1 ปี แต่ก็ต้องมี Monthly Goal มี Daily Goal ให้กับตัวเธอเองและลูกน้อง และด้วยความเป็นหัวหน้า เธอจึงต้องการที่จะเป็นผู้ที่คอยกระตุ้นและผลักดันเพื่อให้ลูกน้องได้มีโอกาสก้าวขึ้นมา ณจุดที่เธอยืนอยู่บ้างในสักวัน

 

“ถ้าให้พูดถึงตัวเอง อสิตาเธอเป็นผู้หญิงที่ไม่รู้จักพอนะ (หัวเราะ) ถามว่าปล่อยวางไหม ก็เยอะแล้วนะ แต่มันก็ยังมีมุมละเอียดยิบ ลงรายละเอียดเยอะ ทั้งในเรื่องงานในเรื่องส่วนตัว แต่มันเป็นความไม่รู้จักพอที่เกิดจากตัวเอง ดิฉันไม่ใช่คนที่หยุดอยู่กับที่ยังต้องมีจุดที่พัฒนาตัวเองให้ก้าวต่อไปได้อีก แต่คิดว่าทุกวันนี้เป็นวันที่มีความสุขนะคะ เรามีอะไรก็ตามที่เราอยากจะมีแล้ว หนึ่งคือเรื่องงาน สองเราไม่มีภาระอะไรในชีวิต แม้หลายคนจะมองว่าเป็นชีวิตที่น่าอิจฉา แต่เชื่อสิไม่มีใครเพอร์เฟคหรอก ลึกๆ มันก็อาจจะมีอะไรบ้างที่เราไม่รู้ก็ได้”

 

Know to Her

• หลังจากที่เริ่มทำงานในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ได้เพียงสี่ปี เธอก็ก้าวขึ้นมาถึงผู้บริหารด้านการตลาดและการสื่อสาร พร้อมกับได้รับสองรางวัลแรกแห่งการทำงานกับ Best PR of the Year จาก Guide of Bangkok Magazine และOutstanding Hotel’s PR of the Year ในปี 1998 จาก Hero Magazine

• หลังจากนั้นก็รับรางวัล Best PR of the Year อีกครั้งในปี 1999 จาก Bangkok Metro Magazine

• และในปี 2000 กับรางวัล Woman of the Year (Out Standing PR and Social Contributor)

• ปีต่อมา เธอก็ได้รับรางวัล Business Woman of the Year (Marketing) 

• ล่าสุดเมื่อปี 2008 เธอได้รับสองรางวัลพร้อมกันคือ The Most Gorgeous Woman Awards และ 1 of 100 Leading Woman of Thailand

เธอคนนี้ อสิตา วิมลไชยจิต รองผู้จัดการใหญ่ โนโวเทล