1. เหรียญกษาปณ์ทองคำเงาเฉลิมพระเกียรติในวโรกาสทรงครองสิริราชสมบัติครบ 70 ปี
นับได้ว่าเป็นเหรียญที่ยิ่งใหญ่ของกษัตริย์ไทยที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลก จึงมีการจัดทำเหรียญเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 70 ปี ความจริงมีการผลิตเหรียญออกมาเป็นชุดที่นอกจากมีเหรียญกษาปณ์ทองคำขัดเงายังมีเหรียญกษาปณ์เงินขัด และเหรียญกษาปณ์โลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล) อีกด้วย

2. เหรียญกษาปณ์ทองคำเฉลิมพระชนมพรรษา ครบ 60 พรรษา
เหรียญกษาปณ์ชุดนี้ผลิตขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกเนื่องในพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ 60 พรรษาของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2530 โดยเหรียญรุ่นนี้ผลิตน้อยมากเพียง 3 ชุดคือชนิดทองคำขัดเงาใหญ่ 350 เหรียญ ทองคำขัดเงากลาง 400 เหรียญ และทองคำขัดเงาเล็ก 400 เหรียญ

3. เหรียญกษาปณ์ที่ระลึกทองคำกาญจนาภิเษก
กรมธนารักษ์มีการจัดทำเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกเนื่องในมหามงคลสมัยพระราชพิธีกาญจนาภิเษก พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี โดยเหรียญกษาปณ์ชุดนี้ประกอบไปด้วยเหรียญ 3 ขนาด คือ เนื้อทองคำหนัก 1 บาท เนื้อทองคำหนัก 7.5 กรัม และเนื้อทองคำหนัก 3.75 กรัม

4. เหรียญสวนหลวง ร.9 ในหลวงฯ พระราชินีฯ พ.ศ.2535
เหรียญนี้จัดสร้างขึ้นโดยคณะกรรมการมูลนิธิสวนหลวง ร.9 ในการจัดหาทุนดำเนินการก่อสร้างสวนหลวง ร.9 เหรียญเป็นเนื้อทองคำขัดเงาสวยงาม ความพิเศษของเหรียญรุ่นนี้คือผลิตโดยโรงงานระดับโลก THE PERTH MINT ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งผลิตเพียงแค่ 1,000 เหรียญเท่านั้น

5. เหรียญ 5 บาท พ.ศ.2525 (พระเศียรเล็ก)
ความจริงเหรียญ 5 บาทชนิดนี้ถ้าดูเผิน ๆ ไม่ได้ต่างกับเหรียญปกติรุ่นเดียวกันเท่าไหร่นัก แต่ที่นักสะสมต้องการมากเพราะ “ด.เด็ก” ในคำว่า “ภูมิพลอดุลยเดช” มีหัวสั้นทำให้มีช่องว่างเหลือเยอะ ส่วนด้านก้อยจะมีครุฑตรงกลางเหมือนกันแต่ด้านหัวมีพระเศียรเล็กกว่า คาดกันว่าอาจใช้บล็อกพิมพ์ผิดหรืออาจใช้บล็อกพิมพ์ในครั้งแรก ๆ แล้วไม่สวยจึงมีการเปลี่ยนแปลง แม้จะมีการเรียกเก็บคืนไปแล้วแต่ยังหลงเหลืออยู่ทำให้กลายเป็นที่นิยมในเวลาต่อมา

6. เหรียญ 10 บาท พ.ศ.2533
ปี พ.ศ.2533 กรมธนารักษ์ผลิตเหรียญกษาปณ์ ราคา 10 บาท โลหะ 2 สี ออกมาจำนวน 100 เหรียญเพื่อนำไปมอบเป็นที่ระลึกให้แก่ผู้เข้าร่วมการประชุม Mint Directors Conference (MDC) ครั้งที่ 16 ที่ประเทศอังกฤษ โดยมีการแจกจ่ายให้ผู้เข้าร่วมงานราว 40 เหรียญ ซึ่งมีคนไทยได้รับไปประมาณ 20 คน โดยคาดว่าปัจจุบันเหรียญกษาปณ์ยังอยู่กับกรมธนารักษ์ประมาณ 60 เหรียญ ด้วยจำนวนที่เหลือน้อยมากจึงเป็นที่สนใจของนักสะสมเป็นจำนวนมาก

7. เหรียญ 25 สตางค์ พ.ศ.2500 (ตัวหนังสือบางตราแผ่นดินเล็ก)
เหรียญกษาปณ์อลูมิเนียมบรอนซ์ หรือเรียกกันทั่วไปว่าเนื้อทองเหลือง สาเหตุที่เหรียญรุ่นนี้หายากก็เพราะมีความแตกต่างจากเหรียญ 25 สตางค์ทั่วไป คือ ให้สังเกตว่าด้านหลังตัวหนังสือบาง ตราแผ่นดินเล็กจึงเป็นที่ต้องการของนักสะสมที่เก็บเอาไว้เป็นที่ระลึก

8. เหรียญ 10 สตางค์ พ.ศ.2500 (ด้านหลังสิบสตางค์หางยาว)
เหรียญ 10 สตางค์ พ.ศ.2500 ทองเหลือง เลข 1 หางยาว เป็นอีกหนึ่งเหรียญที่นักสะสมทราบดีว่าหายากมาก เนื่องจากด้านหน้าเหรียญนั้นแม้จะเหมือนแม่พิมพ์เดียวกันกับเหรียญปกติ แต่ความต่างให้ดูตรงด้านหลังเหรียญคือเลข 10 นั้นตัวเลข 1 หางจะยาวลงมามากกว่าปกติ

9. เหรียญ 50 สตางค์ พ.ศ.2530
บางคนอาจมองแค่ว่าเป็นเพียงเหรียญ 50 สตางค์ธรรมดา แต่ความพิเศษของเหรียญชุดนี้คือกรมธนารักษ์ผลิตออกมาเพียงแค่ 1,000 เหรียญเท่านั้น แน่นอนว่าก่อนที่จะมีคนสนใจสะสมอย่างจริงจังมันได้กระจายไปทั่วประเทศแล้วหายไปบางส่วนจึงเหลือกลับคืนมาอยู่ในมือนักสะสมได้ไม่กี่ร้อยเหรียญเท่านั้น

10. เหรียญ 1 บาท พ.ศ.2529 (ด้านหลังช่อฟ้าหางยาว)
หลังจากที่มีการใช้เหรียญบาทใหญ่มาสักพักก็มีการเปลี่ยนมาเป็นเหรียญบาทเล็กรุ่นแรก ซึ่งผลิตออกมาใน พ.ศ.2529 โดยที่บล็อกด้านหลังของเหรียญตรงช่อฟ้าบนหลังคาโบสถ์วัดพระแก้วบริเวณด้านขวาของเหรียญซึ่งมีช่อฟ้าที่ยาวและสั้นต่างกัน แต่ที่นักสะสมนิยมคือเหรียญบาทที่หายากคือแบบหางยาวซึ่งมีจำนวนน้อยมาก

.................................................

“ข้าแผ่นดินในรัชกาลที่ ๙” ภายในเล่มประกอบด้วยเนื้อหาเรื่องราวเกี่ยวกับพระองค์ท่านตลอดระยะเวลา 89 ปี และพิเศษสุดด้านในยังแทรกด้วยพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ ผลงานของอาจารย์ชูศักดิ์ วิษณุคำรณ จำนวน 8 ภาพ ซึ่งสามารถนำออกมาประกอบกันเป็นภาพชุด “เป็นรวงทอง รวงข้าวของพ่อ” เพื่อใส่กรอบเก็บไว้เป็นที่ระลึกได้อีกด้วย

ผู้ที่สนใจสามารถหาซื้อได้ตามแผงหนังสือชั้นนำ หรือสั่งซื้อโดยตรงได้ที่ บริษัท มิตรมายา จำกัด ในราคา 140 บาท (ไม่รวมค่าจัดส่ง 50 บาทต่อ 1 เล่ม)
Tel: 0-2460-1534-5 หรือ 08-7795-2111
E-mail: [email protected]
Facebook: MiXMagazineThailand
Line: mixmagazine