ศิลปะการครองใจคน

ศิลปะการครองใจคน

ฉู่จวงหวาง (591 BC.) เป็นบุคคลในประวัติศาสตร์จีนที่เก่งกล้าสามารถ หลังจากพิชิตศึกจนสามารถกุมอำนาจไว้ในมือได้โดยมั่นคง ก็เลยอยากจะจัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองความสำเร็จของตน และเป็นการแสดงน้ำใจพร้อมทั้งขอบคุณขุนนางอำมาตย์ที่ค้ำอำนาจของตน

ในงานเลี้ยงครั้งหนึ่ง ฉู่จวงหวางมีบัญชาให้สนมรักของตนมาร่วมในงานเลี้ยงด้วย ด้วยอารมณ์เบิกบานฉู่จวงหวางกล่าวในงานเลี้ยงว่า “บัดนี้แผ่นดินสงบราบคาบ ข้ามีอารมณ์เบิกบานอย่างยิ่ง วันนี้ข้าจะร่วมดื่มกับขุนนางอำมาตย์ทุกท่านให้เต็มที่ งานเลี้ยงวันนี้เราจะร่ำดื่มกันได้จนเมามาย ทุกคนดื่มได้เต็มที่ ไม่เมางานเลี้ยงไม่เลิก” งานเลี้ยงดำเนินไปอย่างรื่นรมย์ ดนตรีขับขาน นางระบำรำฟ้อนอวดลีลา สุราอาหารยกออกมาเพิ่มเติมเรื่อย ๆ จากยามกลางวันต่อเนื่องมาจนมืดค่ำ เทียนและตะเกียงถูกจุดให้แสงสว่าง 

ดื่มกินกันมานานทุกคนเริ่มจะมีอาการเมามายกันแล้ว ฉู่จวงหวางมีบัญชาให้สนมรักคารวะสุราต่อขุนนางอำมาตย์เป็นรายตัว การคารวะสุราของสนมรักผ่านไปคนแล้วคนเล่า ต่างเติมสุราในจอกของตนแล้วยกขึ้นดื่มทีละคน ๆ ทันใดนั้น มีลมกรรโชกพัดมารุนแรง เทียนและตะเกียงทั้งหลายพลันดับวูบลงจนสิ้น งานเลี้ยงตกอยู่ในความมืด เป็นเวลาที่สนมรักกำลังจะคารวะสุราอีกจอกหนึ่ง 

พลันพระสนมก็รู้สึกว่าแขนเสื้อของนางถูกดึงอยู่ในความมืด ด้วยปฏิภาณนางยื่นมือออกไปคว้าดึงพู่บนหมวกของขุนนางคนนั้นทิ้ง จากนั้นรีบเคลื่อนตัวไปข้างกายฉู่จวงหวางพร้อมทั้งกระซิบที่ริมหูว่า “เมื่อครู่ขณะที่ข้ากำลังคารวะสุรา มีขุนนางคนหนึ่งฉุดแขนเสื้อของข้าอยู่ในความมืด การกระทำเช่นนี้เป็นการล่วงเกินไม่ให้เกียรติข้า ท่านสำรวจดูขุนนางคนไหนที่ไม่มีพู่บนหมวก คนนั้นก็คือคนผิดเพราะว่าข้าได้ดึงพู่บนหมวกของเขาออกตอนที่เขาล่วงเกินข้า” 

ฉู่จวงหวางได้ฟังดังนั้นก็เลยรีบสั่งผู้รับผิดชอบแสงไฟว่าอย่าเพิ่งรีบจุดตะเกียงเทียนไข พร้อมทั้งพูดออกมาดัง ๆ ต่อทุกคนในงานเลี้ยงว่า “ข้าพูดกับท่านทั้งหลายตั้งแต่เริ่มงานเลี้ยงแล้วว่า วันนี้เราทุกคนจะร่ำดื่มกันให้เต็มที่ ทุก ๆ ท่านจะสนุกสนานกันให้เต็มที่ เพื่อให้ทุกคนไม่ต้องคอยเคร่งครัดอยู่กับกฎเกณฑ์เรื่องยศตำแหน่ง ข้าขอให้ทุกท่านดึงพู่บนหมวกของทุกคนทิ้ง แล้วเรามาสนุกกันต่อให้เต็มที่” 

จากนั้นครู่หนึ่ง ฉู่จวงหวางจึงค่อยให้คนจุดโคมประทีปขึ้นใหม่ เนื่องจากตอนนี้พู่บนหมวกของทุกคนถูกดึงออกแล้ว ขุนนางคนที่ดึงแขนเสื้อพระสนมจึงพ้นจากภาวะคับขันนั้นด้วย 

หลังงานเลี้ยงสิ้นสุดลง พระสนมตัดพ้อต่อว่าฉู่จวงหวางว่าไม่ช่วยปกป้องความบริสุทธิ์ของนาง 

ฉู่จวงหวางยิ้ม แล้วกล่าวว่า “ครั้งโบราณ กฎเรื่องจรรยามารยาทระหว่างเจ้าและขุนนางในงานเลี้ยงนั้นจะยึดถือปฏิบัติ เฉพาะในเวลาที่ดื่มไม่เกิน 3 จอก ทั้งยังระบุไว้ว่ากฎข้อนี้ให้ถือปฏิบัติเฉพาะในยามกลางวัน วันนี้เราดื่มกันจากกลางวันมาจนกระทั่งดึกดื่น ทุกคนล้วนดื่มเข้าไปมากเกินกว่าปริมาณปกติ ดื่มสุรามาก ๆ แล้วเสียมารยาทไปบ้าง เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เกิดขึ้นได้ ถ้าหากเราไล่หาคนที่ฉุดดึงแขนเสื้อล่วงเกินท่าน อาจจะเป็นการรักษาเกียรติเรื่องความบริสุทธิ์ของท่าน แต่ก็จะเป็นการทำร้ายจิตใจของขุนนางอำมาตย์ทั้งหลายที่อยู่ในงานเลี้ยง ทำให้ทุกคนหมดสนุกและหวาดระแวง นี่จะมิเป็นการผิดเจตนาที่เราจัดงานเลี้ยงนี้ขึ้นหรอกหรือ?” พระสนมได้ฟังดังนั้นก็จำนนในเหตุผล

ต่อมาไม่นานมีข้าศึกรุกตีข้ามพรมแดนมา ขุนศึกผู้เฒ่าที่ดูแลพรมแดนต้านทานข้าศึกเอาไว้ได้ทุกครั้ง ฉู่จวงหวางจึงมีบัญชาให้เรียกตัวมารับรางวัลที่กระทำคุณงามความดีในการปกป้องบ้านเมือง ขุนพลเฒ่ากล่าวต่อฉู่จวงหวางว่า “ผลงานทั้งหลายนี้ตัวข้ามิได้กระทำสิ่งใดมากนัก ล้วนแต่เป็นผลงานความสามารถของผู้ช่วยข้าที่อาสาออกรบทุกครั้งคราวด้วยความทุ่มเท” ฉู่จวงหวางจึงให้ตามตัวผู้ช่วยของขุนพลเฒ่ามารับรางวัลอีกคน 

ผู้ช่วยของขุนพลผู้เฒ่ากล่าวต่อฉู่จวงหวางว่า “ตัวข้าไหนเลยจะกล้าน้อมรับรางวัลอันยิ่งใหญ่นี้ ที่ข้ากระทำการในศึกครั้งนี้ด้วยความทุ่มเท ก็เป็นด้วยสำนึกในบุญคุณที่ท่านไม่ลงโทษข้าใน ‘งานเลี้ยงถอดพู่ประดับหมวก’ ท่านรักษาเกียรติและรักษาชีวิตให้ข้าในครั้งนั้น ข้าจึงมีโอกาสได้ทำคุณความดีไถ่โทษในกาลครั้งนี้”

ศิลปะในการปกครองคนนั้น การครองใจของคนได้ย่อมให้ผลดีลึกซึ้งยาวนาน 

ฉู่จวงหวาง