รัศมี พัดเปรม

รัศมี พัดเปรม

ในวงการบันเทิง ‘ปลาบู่’ เป็นชื่อที่ใครหลายคนรู้จัก คุ้นหูและอยากร่วมงานด้วยเสมอ ทว่าเธอคนนี้ไม่ใช่บุคคลที่อยู่เบื้องหน้าจอเงินหรือจอแก้ว หากแต่คือคนที่คอยปิดทองอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของซุป’ตาร์แถวหน้าของเมืองไทยอย่างพลอย เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์ และ โดม ปกรณ์ ลัม

“ปลาบู่ทำงานในวงการนี้มานานมากแล้ว เริ่มแรกด้วยการทำนิตยสารวัยรุ่น และผันตัวเองมาเป็นนักข่าวบันเทิง พอช่วงที่เศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงก็มาเป็นพีอาร์ แต่ก็ยังทำงานอยู่ในสายบันเทิง ทำให้คอนเน็คชั่นเยอะ เจอศิลปินดาราเยอะ ตอนนั้นยังไม่รู้จัก
โดมนะ เพราะเขาเพิ่งเข้าวงการใหม่ๆ ส่วนพลอยรู้จักมาก่อนโดมอีก สนิทสนมกันเพราะได้ร่วมงานกันตอนที่ย้ายมาทำที่ ITV ดูเรื่องพีอาร์งานละครทั้งหมด ซึ่งตอนนั้นคุณแม่ของพลอยก็อยากให้ปลาบู่มาเป็นผู้จัดการ แต่ตอนนั้นยังบ้างานอยู่ ยังอยากทำงานพีอาร์ สรุปก็เลยไม่ได้เป็นผู้จัดการให้พลอย แต่ถามว่ารักกันไหม รักกัน สนิทกัน มีอะไรก็ช่วยเหลือได้ ซึ่งจากวันนั้นถึงวันนี้ก็ 10 ปีแล้วนะ

“ส่วนโดมก็เริ่มหาพีอาร์ดูแลค่ายเพลงของเขา บังเอิญก็มีคนแนะนำเรา ก็เลยได้มาเจอกัน จึงเริ่มจากเป็นพีอาร์ค่ายเพลงให้โดมก่อน แล้วค่อยขยับมาดูเรื่องของคิวส่วนตัวให้ ซึ่งก็ดูแลกันมา 2 ปีกว่าแล้ว สำหรับพลอยเริ่มเข้ามาดูแลได้จริงๆ จังๆ เกือบปีแล้ว 
ก่อนหน้านี้ตอนเจอพลอยเขาก็บอกว่าไม่มีใครดูแลคิวให้ พลอยดูเองเหนื่อยมาก ด้วยความสนิทกันก็เลยพูดเล่นๆ ว่าเหนื่อยมากไหม เดี๋ยวดูให้ เจอกันกี่ครั้งก็จะพูดกันแบบนี้ พออีก 2 วันต่อมาพลอยโทรมาหาจริงจัง ก็เลยมาคุยกันว่าการทำงานเป็นอย่างไร

“ตอนนี้ก็ดูแลคิวให้ทั้งพลอยและโดมคู่กันไป ของพลอยจะเน้นหนักไปทางละครภาพยนตร์ โฆษณา อีเว้นท์ ส่วนโดมจะเป็นเพลง ส่วนอีเว้นท์ คอนเสิร์ต ละครก็จะเล่นบ้าง ถามว่าทั้งสองคนมีออกงานคู่กันบ้างไหม ก็มีนะ แต่คิวงานของทั้งคู่แน่นกันอยู่แล้ว ประกอบกับงานอีเว้นท์เขาต้องการความสดใหม่ ทันกระแส จึงต้องเลือกคนที่อยู่ในกระแสมากกว่า ดังนั้นถ้าละครของทั้งคู่มาพร้อมกันก็มีสิทธิ์มาเจอกัน ซึ่งทั้งคู่ก็ไม่ได้มีปัญหาใดๆ ทั้งสิ้น ร่วมงานกันได้ พลอยยังช่วยโปรโมทเพลงให้โดม ยังแซวกัน เหมือนพี่ชายกับน้องสาว

“การเป็นผู้จัดการหลายคนอาจมองว่าหน้าที่นี้ไม่ต้องทำอะไรมากแค่รับโทรศัพท์ ลงคิว ซึ่งมันก็แล้วแต่คนที่ดูนะ คนที่เป็นแบบนั้นก็มี แต่จริงๆ มันมีรายละเอียดอีกหลายอย่างต้องต่อรองเป็น ถ้าบางงานไม่เหมาะศิลปินของเราจริงๆ ก็ต้องหาคำพูดที่เหมาะสมแล้วบอกเขาด้วยเหตุผล เพราะเราเป็นเหมือนประตูแรกของทั้งสองฝ่าย เหมือนตุ๊กตาล้มลุกที่ตั้งอยู่ตรงกลาง เราไม่ได้ทำงานกับแค่ศิลปินเพียงคนเดียว แต่ยังต้องทำงานกับคนอื่นอีก ทั้งช่างแต่งหน้า ทำผม สไตล์ลิส มันเป็นเรื่องการสื่อสารประสานงาน จัดการทุกอย่างให้ลงตัว แล้วทุกฝ่ายก็จะทำงานอย่างแฮปปี้ ออกมาสวยงาม เราต้องใช้ทักษะทุกอย่างเพื่อให้งานออกมาได้ตามที่ทุกคนต้องการ มีอะไรก็ต้องยิ้มเข้าไว้ เพราะถ้าพลิกนิดเดียวกลายเป็นว่าเราวีนเราเหวี่ยง ซึ่งมันก็จะส่งผลกระทบมาถึงศิลปินด้วย

“แล้วด้วยความที่เราเคยเป็นพีอาร์มาก่อน เวลาศิลปินของเราจะออกงานอีเว้นท์ เราก็จะหาข้อมูลดูก่อนว่าตอนนี้มีกระแส มีประเด็นอะไรอยู่ เจออะไรก็โน้ตไว้ บางครั้งก็จะถามเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่เป็นนักข่าวว่ามีประเด็นอะไร เพราะเราก็เคยเป็นนักข่าวบันเทิงมาก่อน พอรู้แล้วก็จะมีไกด์ให้ศิลปินของเราว่าวันนี้ต้องเจออะไร แต่ไม่ได้บอกว่าต้องตอบคำถามแบบนี้ เพราะทั้งคู่โตแล้ว มีความคิด เราแค่อยู่ข้างหลังคอยดูแล ไม่อย่างนั้นมันจะกลายเป็นว่าเขาไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง

“ที่สำคัญเราทั้งสองฝ่ายต้องเชื่อใจกัน แล้วการดูแลมันจะไม่มีปัญหา อย่างคนที่ปลาบู่เคยดูแล ถ้าเขาพร้อมที่จะพูดทุกอย่างกับเรา เราก็จะได้หาวิธีเลี่ยงการตอบคำถามให้เขาได้ถูกทาง มีวิธีพูดให้มันไม่เป็นเรื่องใหญ่โต ทุกอย่างก็ออกมาราบรื่น แต่บางคน
ไม่บอกความจริงกับเรา พอข่าวออกมากลายเป็นเรื่องบานปลายเราก็ไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร แก้ข่าวให้ตายยังไงก็ไม่จบถ้าไม่พูดความจริงออกมา

“หลายคนถามว่าทำอย่างไรศิลปินของเราจะได้เป็นซุป’ตาร์ ปลาบู่ว่ามันขึ้นอยู่กับตัวของศิลปินหรือนักแสดงด้วย ทั้งความสามารถ พรสวรรค์ ความตั้งใจ ด้วยหลายๆ องค์ประกอบทำให้เขาได้รับการยอมรับ อะไรก็ตามที่เขาจับหรือทำ มันเปล่งประกายด้วยตัวเขาเอง ซึ่งเราก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าต้องทำอย่างไร บางคนผลักดันให้ตายก็ไม่ขึ้น เพราะไม่มีความกระตือรือร้น ไม่ได้รักงานตรงนี้จริงๆ ทำเพราะแค่อยากดัง บางครั้งก็เป็นเรื่องของจังหวะและโอกาส แต่ในฐานะที่เราเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังก็มีหน้าที่ต้องผลักดันเขาในทางที่ถูกที่ควร บทหนัง ละคร โฆษณาที่จะรับ เราก็ต้องช่วยดู ช่วยสกรีนว่าเหมาะกับเขาไหม ไม่ใช่รับหมดทุกอย่าง พูดง่ายๆ ว่าต้องกลั่นกรองสิ่งที่จะเข้ามาให้เข้ากับคาร์แร็กเตอร์ของเขาเท่านั้นเอง

“สำหรับปลาบู่ช่วงชีวิตที่เป็นนักข่าวก็จะมีความสุขแบบหนึ่ง ช่วงที่เป็นพีอาร์ก็จะมีความสุขอีกแบบหนึ่ง ได้เจออะไรที่กดดันมันทำให้เรารับได้ทุกสถานการณ์ ทำให้เราแข็งแกร่ง เจอคนหลายๆ ประเภททำให้รู้เลยว่าใครจริงใจไม่จริงใจ ประสบการณ์หลายๆ อย่างมันสอนเรานะ ถ้าจะให้คะแนนในการทำหน้าที่ตรงนี้ของตัวเองคิดว่ายังอยู่ในระดับปานกลางเพราะเราจะมีช่องว่างเพื่อให้ทุกคนได้หายใจและก็ไม่ได้รู้ทุกเรื่องของเขา ไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลา ถ้าอะไรที่เป็นส่วนตัวมากก็จะไม่แตะ นอกจากว่าเขาจะเปิดใจมาคุยกับเราเอง บางอย่างที่เราทำไม่ถูกใจเขาก็มี ซึ่งก็ต้องใช้เวลาศึกษากันต่อไป” 

 

เบื้องหลังความสำเร็จของซุป’ตาร์