ฮานอยและรายรอบ

ฮานอยและรายรอบ

สนามบินนอยไบกลางกรุงฮานอยในวันสุดสัปดาห์ไม่เพียงแต่คึกคักตามประสาสนามบินนานาชาติ แต่ผู้คนที่ก้าวลงจากประตูเครื่องบินล้วนเป็นคนต่างชาติมากกว่าชาวบ้านท้องถิ่นล้วนบอกเราอีกทางหนึ่งว่า นาทีนี้แผ่นดินที่เคยถูกปกปิดด้วยเสียงสงครามถูกเปิดอย่างถาวรแล้วโดยกุญแจแห่งการพัฒนาและโลกทุนนิยม ซึ่งผู้คนที่หยัดยืนอยู่แทบทุกตารางนิ้วของเวียดนามกำลังวิ่งตามอย่างก้มหน้าก้มตา

 

เสียงแตรสลับโทนเล็กใหญ่ แหลมทุ้ม ทั้งจากกองทัพมอเตอร์ไซค์และรถยนต์หลากขนาดกลายเป็นเอกลักษณ์หนึ่งซึ่งคนที่เพิ่งมาถึงฮานอยอาจต้องทำความเข้าใจกันสักหน่อย มันกวนอาจประสาทหรือแปลกหูในสี่ห้าชั่วโมงแรก แต่กระนั้นก็เถอะ เมื่อเห็นว่าพวกเขาใช้ความเป็นตัวของตัวเองของพวกเขาไปกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้อย่างน่าทึ่ง หลายคนอาจต้องหัวเราะให้กับความใจแคบของเราเอง ที่ด่วนประเมินไปว่าสิ่งใดถูกผิด แม้แต่เรื่องจราจร

 

ผมลองทำตามอย่างที่บางคนแนะนำ คือเมื่อตัดสินใจจะเดินข้ามถนนแล้ว ก็มุ่งลงไปในคลื่นมอเตอร์ไซค์ในทันที เท่านั้นเองเราอาจพบการขับขี่ที่น่าทึ่งราวกับพวกเขาสื่อสารกันในใจไว้ยามสวนกัน หรือต้องผ่านผู้คนที่ร่วมเดินลงมาบนถนน

 

ความคึกคักขวักไขว่ในฮานอยดูเงียบเชียบลงทันทีที่เข้าสู่สถานที่อันตกทอดมาตั้งแต่ยุคโบราณ วิหารวรรณกรรมร่มรื่น ผสานศิลปะดั้งเดิมเหมือนครั้งที่มันถูกสร้างขึ้นเพื่ออทิศให้กับปราชญ์ขงจื๊อและเป็นมหาวิทยาลัยของกษัตริย์ใน ค.ศ. ที่ 11 โดยจักรพรรดิเลไทโต

 

หากไม่นับบรรยากาศประเภท “ท่องเที่ยว” ที่เคลื่อนไหว โลกโบราณในวิหารวรรณกรรมล้วนคงทนกระจัดกระจายอยู่ตามซุ้มประตู แผ่นหินสลักชื่อจอหงวนยืดยาว บ่อน้ำที่เปิดมุมกว้างไม่เว้นแม้แต่กลุ่มอาคารไม้บ้าง ปูนบ้าง สลับเฉดแดง น้ำตาล และขาวซีดตามการเคลื่อนผ่านของวันเวลา

 

ใช่เพียงสถาปัตยกรรม แต่บึงน้ำโบราณอย่างทะเลสาบคืนดาบหรือที่เรียกกันว่าโฮฮว๋านเกี๋ยมอันเป็นเหมือนแลนด์มาร์กหนึ่งของฮานอยซึ่งไม่ได้มีแค่ความงดงามโรแมนติกยามเย็น แต่ยังเต็มไปด้วยตำนาน ความเชื่อ และคติอันคงทนจากยุคบรรพบุรุษผู้สร้างเมืองมาสู่คนเวียดนามรุ่นปัจจุบัน เรื่องราวของจักรพรรดิเวียดนามที่นำทัพต่อสู้กับจักรวรรดิจีนในราชวงศ์หมิงราว ค.ศ. ที่ 15ผสานอยู่ด้วยตำนานที่เชื่อมโยงกับดาบศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับจากเต่า ณ ทะเลสาบแห่งนี้ จนต้องคืนดาบเพื่อหมายถึงการมีอยู่ของสันติสุข

 

สงครามหรือตำนานในอดีตอาจไม่กระจ่างต่อการรับรู้ของผู้คนเท่ากับการที่เวียดนามต้องผ่านภาพสงครามกู้ชาติภายใต้การปกครองอันยืดเยื้อยาวนานของฝรั่งเศส ในวันนี้ คนที่ไม่เคยรู้จักชะตากรรมของเพื่อนร่วมแผ่นดินอินโดจีนเมื่อเดินเข้าไปในพิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์อาจต้องกลับออกมาแล้วเต็มด้วยความรู้สึกประเภทที่ว่า คุณค่าของคำว่าบ้านและอิสรภาพนั้นหอมหวาน
กว่าสิ่งใด

 

ข้าวของเครื่องใช้ ยุทโธปกรณ์ เส้นทางในหลายสมรภูมิรบทั่วทั้งแผ่นดิน เศษซากของสงครามถูกจัดแสดงเอาไว้ทั้งในและนอกอาคาร รวมทั้งประวัติของ “ลุงโฮ” ชายชราที่เป็นมากกว่าพระเจ้าในหัวใจของคนเวียดนามแทบทั้งประเทศ เหล่านั้นล้วนบ่งบอกทั้งผู้มาเยือนและเจ้าบ้านว่า ประวัติศาสตร์บางด้านแม้ไม่หอมหวาน แต่เมื่อมันเต็มเปี่ยมด้วยคุณค่าต่อชีวิต ทุกคนล้วนไม่ปฏิเสธที่จะเก็บมันไว้อย่างดีในความทรงจำ

ไม่มีแผ่นดินใดหอมหวานไปกว่าบ้านที่เราลืมตา