ไตรภพ ลิมปพัทธ์

ไตรภพ ลิมปพัทธ์

หากจะย้อนยุคกลับไปถึงบุรุษเหล็กปูชนียบุคคลสำคัญด้านวิทยุโทรทัศน์ ก็ต้องยกนิ้วให้ผู้การ การุณ เก่งระดมยิง อดีตเสรีไทยผู้วางพื้นฐานทีวีไทยกับรายการเกมโชว์ ป๊อบ ท็อป, ยี่สิบคำถาม, นาทีทอง, ตักเงิน, ประตูดวง, บันไดดาราฯลฯ ผู้ปลุกปั้นคุณดำรง พุฒตาล คุณอาคม มกรานนท์ คุณธรรมรัตน์ นาคสุริยะ ฯลฯ ขึ้นสู่พิธีกรแถวหน้า

 

เมื่อหมดยุคทีวีขาวดำเข้าสู่กลางทศวรรษ รายการเกมโชว์สายพันธุ์ใหม่ก็มักจะย่ำเท้าอยู่กับที่ จับแต่ดาราหน้าซ้ำๆ มาออกรายการ ผู้คนทางบ้านหมดสิทธิ์เสี่ยงโชคเพราะไร้ความกล้า จนกระทั่งมาถึงยุคทองของไตรภพ ลิมปพัทธ์ หัวเรือใหญ่บริษัทBorn & Association Co., Ltd. ในปัจจุบัน คนที่มีบุคลิกขี้เล่น อารมณ์ดี มีจุดยืน เขาเป็นผู้นำตลกมาจับใส่สูทโชว์จำอวดพลิกฟื้นเพลงลูกทุ่งวัฒนธรรมไทยที่ตายไปแล้วให้กลับคืนสู่จอแก้ว พลิกโฉมทีวีไทยสู่ความเป็นสากล แจกรถเข็นพร้อมเงินสดจากรายการฝันที่เป็นจริง เรียกน้ำตาจากชาวบ้านหลั่งริน และเมื่อก้าวมาสู่เกมเศรษฐี ก็ดังเป็นพลุแตกทะยานไกลไปต่างประเทศใครๆ ก็โค่นบัลลังก์ไม่ลง

และแล้วราวๆ ต้นปี พ.ศ.2547 ชะตาชีวิตก็เริ่มถาโถมโหมซัด เมื่อเขาตัดสินใจออกจากอ้อมอกนายใหญ่ ประวิทย์ มาลีนนท์ค่ายหนองแขม มาอิงไออุ่นไอทีวีที่ขณะนั้นเต็มไปด้วยอุปสรรค ขวากหนาม แต่นั่นคือการก้าวไปข้างหน้าในเชิงธุรกิจที่กล้าได้กล้าเสีย

เขาทำรายการอยู่วิกวิภาวดีได้ไม่นานนัก สำนักงานปลัดสำนักนายกฯ ก็ได้ฟ้องศาลและมีคำพิพากษาให้ยึดสัมปทานช่วงไพร์มไทม์และปิดสถานี เกิดเป็นช่วงสุญญากาศ ต้องเว้นวรรคภารกิจ นำพานาวาในบริษัทให้รอด และเปิดทางให้พิธีกรหน้าใหม่เกิดขึ้นมาประดับวงการ พร้อมนำรูปแบบรายการทไวไลท์โชว์ของเขามาประยุกต์ปัดฝุ่นใหม่

คำถามที่ตามมาก็คือ ต๋อย ไตรภพ หายไปไหน ทำอะไรอยู่ จนกระทั่งวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา หัวข่าวหนังสือพิมพ์บันเทิงหลายฉบับพาดหัวข่าวอยู่หลายวันว่า “ไตรภพปลื้ม ช่อง 7 ให้โอกาส ลั่นไม่คิดแข่งตีสิบ” “วีที วิทวัส ย้ำทุกวันนี้แข่งกับความต้องการของคนดูเท่านั้น...” บ้างก็ว่า “ต๋อย ตกงาน 6 เดือนหมดเงินกับบริษัทกว่า 

25 ล้าน”  เมื่อโดนหักเหลี่ยมเฉือนคมวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา เขาจะแก้วิกฤตอย่างไร จะนำอะไรมาเป็นหลักยึด เพื่อเอาตัวรอดกลับมาผงาดเป็นแมวเก้าชีวิต

นี่คือความในใจล่าสุดของลูกผู้ชายเฉกเช่นเขา คนที่พิธีกรทุกคนควรนำไปเป็นเยี่ยงอย่าง หากอยากจะยืนอยู่บนยุทธ์ภพสายนี้อย่างยั่งยืน

นักกฎหมาย..สายทระนง

“ชีวิตวัยเด็กของผมไม่ค่อยโลดโผนเท่าไร ผมเกิดในครอบครัวที่พ่อกับแม่รักกันมาก ท่านมีลูก 4 คน ผมเป็นคนโต ตอนเด็กๆผมค่อนข้างซนแบบมหัศจรรย์ ขึ้นไปบนบ้านชั้น 2 เอามุ้งมาใส่ข้างหลังแล้วกระโดดลงมาเพื่อให้มุ้งมันกางเหมือนดิ่งพสุธา ตกลงมาขาเดี้ยงไป เห็นเขาคาราเต้หินออกทีวี ก็ทำอย่างเขาบ้าง ผลลัพธ์คือมือขวากระดูกแตก เข้าเฝือก ต้องใช้มือซ้ายถึง 6 เดือน

“บ้านผมอยู่ริมคลองสำเหร่ฝั่งธนบุรี เลยมีกิจกรรมทางน้ำ ปีนต้นไม้ เลี้ยงปลา ส่วนน้องๆ ก็อายุไล่เลี่ยกันคนละปีผู้ชาย 3 คน ผู้หญิงเป็นคนสุดท้อง

“จนกระทั่งผมอายุ 5 ขวบ คุณพ่อก็เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ จากนั้นคุณแม่ก็เลี้ยงลูกๆ มาคนเดียว ไม่ได้แต่งงานใหม่ แม่เป็นคนที่รักลูกมาก ลูกเองก็ไม่เคยคิดว่าขาดความอบอุ่น ตอนนั้นแม่ทำงานหลายอย่าง ทำงานโรงงานยาสูบ ทำงานเป็นรีเทลยา ต้องออกต่างจังหวัด 25 วัน แล้วกลับมาเคลียร์กับบริษัท 4-5 วัน ท่านทำอย่างนี้มาร่วม 10 ปีกว่า ที่บ้านจะมีคุณยายคอยเลี้ยงพวกเราต่อ พอโตขึ้นมาเป็นหนุ่ม แม่จะให้คะแนนลูกในทางบวก คอยให้กำลังใจลูก ไม่มีการบังคับ ท่านจะมีวิธีพูดว่า รู้มั้ยแม่ทำงานเหนื่อยขนาดไหน กลับมาแล้วเห็นลูกเป็นคนดี แม่ดีใจ๊ ดีใจ หรือลูกเรียนได้คะแนนดี มันเหมือนเป็นรางวัลสวรรค์ให้กับแม่ ทำไมลูกถึงเก่งอย่างนี้ มันส่งผลให้ลูกๆ ทั้ง 4 คนเรียนสอบได้ที่ 1 ตลอด จึงทำให้ไม่กล้าไม่ดี เพราะเขาบอกว่าเราดี ถ้าเราไปเลี้ยงลูกเลี้ยงหลานว่าแกไม่ดีอย่างโน้นอย่างนี้ ตัวจิตคือตัวรับรู้ของเขาจะว่าเขาเป็นคนไม่ดี เขาจะไม่รู้สึกภูมิใจในตัวเอง

 

“ผมเรียนหนังสือจนจบโรงเรียนวัดสะเกศม.ศ.5 ก็ไปสอบเอนทรานซ์ แต่ไม่ติด ผมเลือกคณะวิศวะทั้งหมด วันไปดูผลสอบรู้สึกว่าแย่มาก เสียใจ กลัวแม่จะว่า แต่พอกลับถึงบ้านแม่กลับนั่งยิ้ม บอกกับท่านว่าสอบไม่ได้ ท่านก็จะยิ้ม ไม่มีสีหน้าสลดอะไร แม่บอกว่าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวไปเรียนที่อื่นก็ได้ ตอนนั้นมหาวิทยาลัยรามคำแหงเปิดมาได้ 3 ปี

 

“ผมซึมซับความเก่งมาจากแม่หลายอย่าง ความอดทน ความอดกลั้นการต่อสู้ แม้ท่านจะไม่ได้สอนแต่ผมเห็น ญาติพี่น้องของแม่เคยบอกกับแม่ว่าระวังวันหนึ่งลูกจะไปเป็นโจร เหมือนกับว่าเราสอบไม่ติดเรียนก็ไม่ได้ เพราะตระกูลของพวกผมเรียนเก่งกันทั้งนั้นสอบเข้าวิศวฯ จุฬาฯ อักษรศาสตร์จุฬาฯ แพทย์ศาสตร์ บัญชีจุฬาฯ แต่มันเป็นเรื่องพลาดสำหรับผม พอสอบไม่ได้ก็ไปเรียนเจยูยูนิเวอร์ซิตี้ของมหิดลที่เขาจะติว ขณะนั้นก็ลงเรียนมหาวิทยาลัยรามคำแหง คณะนิติศาสตร์ไปด้วย ไม่ได้คิดอะไร แต่พอมหาวิทยาลัยรามคำแหงใกล้สอบก็ไปซื้อหนังสือกฎหมายมาอ่านเพื่อสอบ มันเหมือนอะไรที่กระแทกมาที่ใจตรงๆ คนไม่มีทิศทางพอเปิดหนังสืออ่าน จึงพบความจริงว่า กฎหมายเป็นสิ่งที่บัญญัติขึ้นมาเพื่อบอกให้ผู้อื่นรู้ว่าข้อ 1 สิ่งนี้ทำได้ ไม่ผิดกฎหมาย ข้อ 2สิ่งนี้ทำไม่ได้ ผิดกฎหมาย มีบทลงโทษไว้อย่างไร ข้อ 3 สิ่งนี้ทำไม่ได้ แต่มีข้อยกเว้นให้ทำได้

 

“กฎหมายมีอยู่ 3 อย่าง เราจึงเริ่มมองว่านี่คือกฎของโลกของสังคม จึงมุ่งมั่นเรียนกฎหมายอย่างจริงจัง ปีแรกได้33 หน่วยกิตถือว่าเยอะมาก ก็เลยไม่ไปเอ็นทรานซ์ใหม่ เรียนที่นี่อีก 3 ปีก็จบกฎหมาย ยังจำรหัสตัวเองได้เลย 17102144 เมื่อจบออกมาโชคดีได้มาเป็นทนายความที่สำนักงานมณี เทพภักดี ซึ่งถือว่าคุณมณีเป็น 1 ใน 10 ทนายของประเทศไทยที่มีชื่อเสียงที่สุดท่านเก่งหลายๆ อย่าง ตั้งแต่นั้นผมจึงประกอบอาชีพทนายความเรื่อยมา”

 

จุดหักเหสู่...เมืองมายา

“มีอยู่วันหนึ่งลูกพี่ลูกน้องเขาสอบเข้าอักษรศาสตร์จุฬาฯ ได้อันดับ 1 ของประเทศ เขาอยากได้ของขวัญจากผม ผมบอกว่าอยากได้อะไร เขาบอกว่าอยากให้เราไปออกรายการทีวีร่วมกัน ชื่อรายการ ล้มเค้า ของบริษัท JSL มีคุณญาณี ตราโมทกับคุณวิไลเพชรเงาวิไล เป็นพิธีกร รายการล้มเค้าในสมัยนั้นต้องใช้พี่น้อง 5 คนจึงจะออกได้ น้องสาวเขามีแล้ว 4 ขาดผมคนเดียว ผมไม่เคยรักหรือชอบเลยที่จะออกรายการทีวีมาก่อน แต่ก็ตัดสินใจไปกับน้องเขา

 

“ตอนนั้น 25-26 ปีที่แล้วคนที่มาออกจะกลัวทีวี กลัวพิธีกร คนออกทีวีทางบ้านจะไม่ค่อยพูด จะนิ่งเฉย ทีนี้ผมอายุ 28 ปี เป็นทนายความมา 5-6 ปี ไม่กลัวหรอกทีวี ในศาลน่ากลัวกว่าเยอะ ตอนสุดท้ายที่เล่นเกมสนุกสนานเฮฮามาเรื่อยๆ ทางพี่โย ญาณีก็มาพูดปิดรายการ ผมจึงพูดแทรกขึ้นมาว่าผมจะพูดกับทางบ้านได้มั้ย ซึ่งสมัยนั้นเป็นเรื่องประหลาดมาก เขาบอกว่าได้ ผมถามว่า ‘ผมจะพูดกับกล้องไหน’ ‘กล้องที่มีไฟแดงขึ้น’ พอหันมาเห็นไฟแดงผมก็บอกว่า ‘คุณยายครับ...ต๋อยออกทีวีแล้วนะ’

 

“โอ้โห ตอนนั้นดังไปทั้งประเทศเขาไม่รู้หรอกว่าเราเป็นใคร ทำไมมันถึงกล้าอย่างนี้ แต่คนที่เห็นว่าเรากล้าคือเจ้าของบริษัท JSLคุณลาวัลย์ ชูพินิจ หลังจากออกรายการได้ 1 เดือน พี่ต้น ลาวัลย์ ก็เรียกผมไปคุยอยู่นาน ว่ามาเป็นพิธีกรมั้ย ในความรู้สึกตอนนั้นขำมาก ผมปฏิเสธไปเพราะผมไม่ได้เดือดร้อนอะไร กลับมาบ้านก็เล่าให้คุณแตง ภรรยาฟังอย่างโน้นอย่างนี้ เขาบอกว่า ‘พี่รู้มั้ย ไอ้สิ่งที่พี่ได้รับวันนี้ หลายๆ คนเขาควานหากันมาตลอดชีวิต เขาตะเกียกตะกายปีนป่าย พยายามที่จะไปหามัน แต่พี่ราชรถมาเกยแล้ว แต่พี่ไม่เอา’

 

“หลังจากนั้นอีก 1 เดือน พี่ต้นก็เรียกไปพบอีกเพื่อคุยเป็นครั้งที่ 2 ไอ้คำที่ภรรยาพูดมันก้องอยู่ในหัวตลอดเวลา เมื่อเขาเปิดโอกาสให้ เราน่าจะลองดู ก็เลยเริ่มทำพิธีกร รายการแรกชื่อ “พลิกล็อก”เป็นพิธีกรคู่กับคุณวาสนา สิทธิเวช คุณดี๋ ดอกมะดันเป็นผู้ช่วยพิธีกร ตอนนั้นเขาดังมาก พิธีกร 2 คน ตลก 1 คน ตั้งแต่นั้นมาก็ได้ทำงานที่ JSL แต่อาชีพทนายก็ยังไม่ทิ้ง เพราะเดือนหนึ่งอัดรายการไว้ 2 ครั้ง ครั้งหนึ่งอัดรายการได้ 2 เทป ออกอากาศเดือนหนึ่ง 4 เทป นั่นคือปีแรก ปีที่ 2 มาทำอีกรายการหนึ่งชื่อ “ลาภติดเลข”เป็นพิธีกรคู่กับคุณวิไล เพชรเงาวิไล ปีที่ 3 มาทำรายการ “ชิงหลัก” คู่กับคุณธิติมา สังข์พิทักษ์ทำได้ 5-6 เดือนก็ลาออกจาก JSL เพราะมีปัญหาทางด้านความคิดเห็นกันเล็กน้อย จึงออกมาทำงานทนายความตามปกติ

 

“ระหว่างนั้นเผอิญมีเพื่อน คือคุณกิตติกับคุณจาฤก กัลยจาฤก มาชวนให้มาทำงานที่ช่อง 3 เพราะตอนนั้นช่อง 3ยังไม่มีเกมโชว์เรามีรูปแบบของเกมโชว์อยู่ในใจ เลยลองทำดู ก็ตั้งบริษัท Born & Association Co., Ltd ขึ้นมาผมเป็นกรรมการผู้จัดการตั้งมาปีนี้ขึ้นปีที่ 23 แล้ว ก็รับจัดทำรายการป้อนทีวีช่องต่างๆ เมื่อทำบริษัทเรื่อยๆ คนก็เริ่มเยอะขึ้น กลายเป็นว่าต้องแบกรับด้านนี้มากกว่า จึงหยุดงานด้านทนายความไปโดยปริยาย แล้วกลายมาเป็นพิธีกรโดยไม่ได้ตั้งใจ

 

“การเป็นพิธีกรที่ดีนั้น ผมว่าอาชีพทนายมันมีส่วนช่วยด้วย โดยส่วนตัวผม การเข้าใจกฎกติกา การเข้าใจจังหวะอันนี้อยู่ในใจเหมือนกับความกล้าที่นำพยานขึ้นมาเบิก พูดคุยกับพยานหรือการต่อรองกับทนายอื่น มันสร้างความมีระเบียบกับการดำเนินการต่อสู้ มันก็เหมือนกับการทำงานเป็นพิธีกร มันไม่แตกต่างเท่าไร เราพูดเพื่อให้เขาพูด เขาพูดเราก็หยุดพูด มันก็เลยง่าย การหลอกล่อให้เขาพูดหรือการพูดคุยเพื่อให้เขาพูดออกมาได้มันก็เอามาจากการเป็นทนายความ จึงไม่ยากสำหรับผม ทั้งๆ ที่ไม่ได้เรียนมาทางด้านนี้เลย แต่ผมเรียนมาจากในศาล เรียนมาจากความเป็นนักกฎหมาย

 

“แรกๆ ก็มีปัญหา ใครจะพูดอะไร เราก็ครับๆ มันเป็นปกติของมนุษย์ ฉะนั้นในทีวี เวลาถ่ายภาพมาก็จะเห็นเราหัวกระดกครับๆอย่างนี้ตลอด จนพี่ต้นต้องบอกว่าทำหน้าเป็นนกกระเด้าลมไปได้ (หัวเราะ) ผมจึงต้องมองรับ บางคำที่เขาพูดเราก็ไม่ต้องออกเสียง ก็รับด้วยหน้า รับด้วยตา พูดหลายๆ ประโยคมาค่อยรับครั้งหนึ่ง ก็เกิดการเรียนรู้เรื่องเฟรม การจับของกล้อง การเคลื่อนที่ของภาพที่แคบ ยืนขาให้มั่น เอียงตัวช่วยนิดหน่อย ค่อยๆ เรียนรู้สิ่งต่างๆ จากสคริปต์ แบบนี้ดีหรือไม่ดีอย่างไร ภาพกับเสียงต้องซิงค์กัน ค่อยๆ แก้ ค่อยๆ เข้าใจ ผมต้องเรียนรู้เรื่องแอคติ้ง เรื่องไฟ เรื่องกล้อง การตัดต่อมันค่อยๆ ไหลซึมเข้ามาในสมองจากการทำงานวงการทีวี”

5-4-3-2-1 แอ๊คชั่น

“สมัยแรกๆ จะโดนวิจารณ์ในเรื่องการพูดเร็ว สมองมันไปเร็ว ผมมีความสามารถในการพูดเร็วโดยไม่ติดขัดและไม่มีผิด พูดซ้ำได้หลายรอบ ฟังรู้เรื่อง พูดชัดเจน ก็จะโดนเรื่องนี้ จึงค่อยๆ ปรับ เพราะสมัยนั้นเขาพูดกันช้าๆ ย้อนหลังไปราว 20-30 ปี พิธีกรที่มีชื่อเสียงมากๆ อย่างคุณอาคม มกรานนท์ คุณดำรง พุฒตาล คุณญาณี ตราโมท ฯลฯ แต่ละคนพูดช้ามาก แล้วมีจังหวะชัดเจนเหมือนกับเราดูภาพยนตร์ไทยในสมัยก่อน อ้าว..คุณ..หลวง..วันนี้..สบายดีรึ..ไปไหน..มาล่ะเนี่ย..แต่งตัว..ซะดีเชียว..(หัวเราะ) มันไม่ง่ายเลยที่จะพูดอย่างนั้นได้ ตอนนั้นไทม์มิ่งมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เราก็ต้องค่อยๆ ปรับเอาของเขามาครึ่งหนึ่งผสมของเราอีกครึ่งหนึ่ง

 

“ครั้งแรกที่ผมออกอากาศ ผมยืนเกาะโพเดี้ยม สั่นมาก ทีวีเขาจะนับถอยหลัง 5-4-3-2-1 คุณตุลชัย ธรรมดุษฎี เป็นผู้กำกับเวที พอเสร็จเราก็ลงมา คุณตุลชัยบอกว่าคุณไตรภพ คุณเก่งจังเลยนะ ทำงานไม่ตื่นเต้นเลย ผมบอกว่าไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร จับโพเดี้ยมไม่ได้เลยจับแล้วสั่น เขาบอกว่าผมดูอย่างไรก็ดูไม่ออก เราก็คิดในใจว่าจะดูออกได้อย่างไรก็ผมเป็นทนายมาก่อน แต่ใจผม ผมรู้ แต่คุณตุลชัย บอกผมว่า อย่างน้อยผมก็คอยให้กำลังใจคุณอยู่ตลอดนะ จนถึงวันนี้ผมยังจำคำของคุณตุลชัยได้เสมอ

 

“บุคคลต้นแบบพิธีกรของผม สมัยนั้นมันไม่มีเลย อย่างผู้การการุณ เก่งระดมยิง เราก็ดูวิธีการดำเนินรายการของท่าน ส่วนรุ่นน้องท่าน ก็มีคุณดำรง คุณธรรมรัตน์ ฯลฯ แม้กระทั่งคุณชายถนัดศรี เราต้องเอาแบบของเรา แต่ให้มันช้าลง ทีวีมันก็เหมือนกับกฎหมาย มันมีทางตรง มองตรง มันมีซ้ายเอียงซ้าย การมองของมนุษย์มันให้ความรู้สึกต่างกัน คุณไปจีบผู้หญิงหรือลองพูดกับภรรยา คุณจะรู้ทันที หากมองเขาตรงๆ เมื่อไรก็เท่ากับพร้อมเผชิญหน้า แสดงว่าเรื่องนี้คุณเตรียมตัวมาดี หันซ้ายเมื่อไรอันนี้ผิดมันจะเป็นแอ๊ค หลักจิตวิทยาอย่างหนึ่ง ที่ทนายจะต้องรู้มันเป็นวิธีจับผิด

 

“ละครผมก็เคยเล่นมาหลายเรื่อง เช่น ปริศนาและมังตรา เล่นกับสันติสุข พรหมศิริ เขาเล่นเป็นจเด็ด ผมเป็นมังตรา เล่นให้พี่เปี๊ยก พิศาล อัครเศรณี แต่ผมไม่ค่อยโฟกัสเท่าไร ไก่ วรายุธ ก็เพื่อนกัน ผมไปไม่สุดทางหรอก เรื่องการแสดง พิธีกรต้องมาก่อน

 

“ชีวิตผมเหมือนถูกโรยรองไว้ด้วยกลีบกุหลาบ ไม่ต้องดิ้นรนอะไร มันมาของมันเอง ไม่ได้ไขว่คว้า พอผ่านตรงนั้นปั๊บที่เหลือมีแต่กรวด มีแต่หินทั้งนั้น แต่พอเราเข้าไปอยู่ข้างในมันแล้ว อันนี้ต้องสู้เองทั้งนั้น ต้องเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว ปัญหาอุปสรรคล้านแปดสิบเอ็ดแสน (หัวเราะ) อย่างที่เห็นๆ ตั้งแต่ผมมีสถานี จนไม่มีสถานี ทั้งที่มีอยู่ จนไม่มีที่จะอยู่ ถ้าไม่มีเรื่องพวกนี้ก็จะมีเรื่องอื่นจิปาถะ ผมโชคดีอยู่อย่างหนึ่ง ผมทำงานมา 3 ปีผมได้รับรางวัล พอขึ้นไปรับรางวัล ผมพูดกับตัวเองว่า ไอ้นี่น่ะหรือที่ทำให้เราเปลี่ยนไป หยิ่งผยองในตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นว่ากูแน่ กูดี อะไรก็แล้วแต่ ไอ้นี่น่ะหรือ! ตั้งแต่ผมรับรางวัลในวันนั้นเสร็จหรือไม่ว่ารางวัลอะไรก็ตาม ผมไม่เคยนำมาโชว์เลย ผมเก็บไว้ในตะกร้า มันไม่มีความสำคัญสำหรับผม”

แจกรถเข็น...ฝันที่เป็นจริง

“วันหนึ่งเมื่อผมมาทำรายการ ฝันที่เป็นจริง ได้เห็นความเป็นคนสู้ชีวิต อย่างมีเด็กคนหนึ่งอายุ 4-5 ขวบที่จะต้องมาออกรายการอัดเทปด้วยกับแม่ แล้วลูกติดแม่เหลือเกิน ร้องไห้ตลอด ร้องไม่มีหยุด ผมก็ไปบอกว่าอย่าร้องนะ เดี๋ยวเลิกรายการแล้วถ้าไม่ร้องไห้จะให้กินทอฟฟี่ เขาเงียบทันที พออัดเทปเสร็จจะกลับบ้านเด็กก็มองหน้าผมตลอด มองไม่วางตา มองนิ่งเราก็งงว่ามองอะไร จนกระทั่งพาไปขึ้นรถกระบะเขาก็ยังมอง พอรถเคลื่อนตัวเราจึงนึกได้ว่าสัญญาจะให้ทอฟฟี่เขา จึงรีบวิ่งเอาทอฟฟี่ไปให้ภาพที่เห็นคือแววตาที่บริสุทธิ์ปลื้ม ปิติ เขาค่อยๆ แกะมาเม็ดหนึ่งกัดเก็บไว้ครึ่งหนึ่งใส่ห่อไว้ เขาไม่กินทั้งอัน ทั้งๆ ที่มีตั้งกำมือหนึ่ง เขาเก็บไว้ทำให้นึกถึงลูกเราทันที กินยี่ห้อดีๆ เม็ดสองเม็ด ที่เหลือก็โยนทิ้ง เลยเริ่มเข้าใจแล้วว่าความพอดีทำให้เกิดความคิดว่า ความพอใจมันอยู่ตรงไหน มันอยู่ที่ความสุขที่แท้จริง แต่ละคนมันมีไปตามระดับเสมอ แล้วถ้าเราทำตัวแตกต่างไปตามระดับ วันนี้เราเป็นเด็กต้องการเพียงทอฟฟี่ พอโตขึ้นหน่อยต้องการโทรศัพท์มือถือ มะรืนนี้เป็นผู้ใหญ่ต้องการรถยนต์ อยากเรื่อยไปเมื่อไรจะจบ จึงกลับมาดูตัวเองว่าวันนี้เราเป็นเศรษฐีแล้ว เข้าใจว่าพอแล้ว ที่เหลือทั้งหมดถือว่าเป็นกำไร

 

“อีกครั้งหนึ่ง ผมถามแม่ผู้มาร่วมรายการว่าอยากได้อะไรมากที่สุด เขาอยากได้เครื่องมือทำมาหากิน ผมถามลูกเขาว่าอยากได้อะไร เขาบอกว่าอยากกินแตงโม เขาไม่เคยกินแตงโม เห็นคนอื่นกินแล้วอยากกิน เราซื้อแตงโมมาลูกหนึ่ง เราผ่าครึ่งให้เขากินเขาร้องไห้ ร้องไห้ที่ได้กินแตงโม เราบอกตายแล้ว ชีวิตนี้ขนาดนี้เชียวหรือ ไปถ่ายทำรายการฝันที่เป็นจริงนอกสถานที่ ลูกเขาเล็กๆ 4-5 ขวบ ขณะถ่ายทำอยู่ มันร้อนมาก เราก็ซื้อน้ำอัดลมมากิน ไอ้เด็กคนนั้นมันก็มองแล้วกลืนน้ำลาย เราก็ซื้อให้ลูกเขากินอีกขวดหนึ่ง พอลูกเขาจับขวด เตรียมจะดูดกิน แม่เขามาจากไหนไม่รู้ มาดึงขวดออกจากมือแล้วตี ตีลูกไม่ให้กิน ตีจนลูกร้องไห้ เราก็บอกว่าลูกเขาไม่ได้ขอ ผมซื้อให้กินเอง เขาบอกว่าให้ทำไม แล้วเวลาที่คุณไม่อยู่ ใครจะให้ โอ้โห ตายเลยเรา อะไรบางอย่างที่เราคิดว่าถูกแล้วเจอชีวิตบางอย่างแล้ว เรารู้สึกว่า เฮ้ย เราคิดบางอย่างไม่ถูก

 

“เราต้องปรับเปลี่ยนชีวิตบางอย่างตามบันไดของสิ่งที่เราเห็น เพราะสิ่งที่เราเห็นมันเป็นประโยชน์กับเรา เราถึงทำทีวี ทุกวันนี้ให้คนเห็นประโยชน์ แต่บางทีคนดูก็ตาม สื่อมวลชนก็ตามชอบเยาะเย้ยถากถางเราหรือว่าเราต่างๆ นานาว่าชอบชมคน เห็นใครก็ดีไปหมด ชอบยกยอปอปั้น เราคิดว่าเขาไม่เข้าใจ แต่ผมไม่โกรธเขา เวลาเขาเห็นสิ่งเหล่านี้ สิ่งที่สื่อมวลชนที่มีหน้าที่จะต้องทำให้เป็นตัวอย่างกับผู้อื่น แล้วพูดในสิ่งที่ดีๆ เขากลับมองว่าเสแสร้ง โกหกไม่ควรทำ คุณไปค้นหาหนังสือที่ไหนก็ไม่เคยเห็นประวัติของผมผมจะไม่เล่าอะไรลงไปเลยที่คุณไม่ได้ถาม นิสัยผมเป็นอย่างนั้น คนที่มาออกรายการผมเขาเป็นลูกกตัญญู เราก็ชมว่าคุณดีมากเลยที่กตัญญู ผมไม่ได้ชมว่าคุณกตัญญูแล้วคุณไปเสพยากินเหล้า เจ้าชู้มั้ย มันไม่เกี่ยวกัน ผมต้องการให้สังคมนำเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ถ้าเขารู้จักเก็บเงิน ผมก็จะบอกว่าคุณเก่งมากที่รู้จักเก็บเงิน หากเป็นผู้หญิงแล้วรู้จักวางเนื้อวางตัว ผู้ชายมาจีบแล้วบอกว่าไม่ใช่ง่ายๆ ผมบอกว่าทำถูกต้องแล้ว”

ถูกต้อง..แต่ไม่ถูกใจ

“การที่ผมนำตัวอย่างดีๆ มาสัมภาษณ์ออกรายการ คุณดีมาก คุณน่ารักมาก เป็นตัวอย่างที่ดี คนกลับเกลียด สังคมทุกวันนี้กำลังเสียรูปในจิตใจตัวเอง จิตใจมีแต่เรื่องขุ่นมัวหมองหม่น มองทุกอย่างเป็นแง่ลบหมด คนพวกนี้จะประสบผลสำเร็จในชีวิตยาก เขาดำเนินชีวิตสายซ้ายคือสายลบ เขาจะมีกลุ่มก้อนแบบเดียวกัน ถ้าคุยเรื่องเดียวกันรู้เรื่อง มองลบเหมือนกันสังคมกำลังให้ร้ายซึ่งกันและกัน

 

“อย่างดารามีแฟนก็เขียนว่าเขามีแฟนแล้ว เป็นแฟนกัน เขาเลิกกันก็เขียนด่าเขา ว่าคบกันได้ไม่กี่น้ำก็เลิกกันแล้ว บางคู่ที่แต่งงานแล้วเลิกก็บอกว่าหม้อข้าวยังไม่ทันดำ หรือบอกว่าไอ้คู่นี้จะไปได้สักกี่น้ำ เขาเป็นแฟนกัน หมอดูก็มาฟันเปรี้ยง ว่าอย่างไงก็ต้องเลิกกัน ไม่มีทางอยู่ด้วยกันได้ ผมถามว่าคนที่เขียนหรือมองเช่นนั้นหรือคนที่ทำนายเช่นนั้นไม่เคยเป็นวัยรุ่นบ้างเลยหรือ จะมีสักกี่คนที่เป็นวัยรุ่นแล้วปิ๊งกันคบกับผู้หญิงคนนี้แล้วแต่งงานเลย น้อยมาก แล้วทำไมถึงต้องทำกับพวกเขาอย่างนี้ล่ะ ทำไมต้องทำกับพวกเขาว่าเป็นผู้หญิงหลายใจ เลือกแฟนไม่รู้กี่คนหรือบอกว่าผู้ชายไม่ดีมีแฟนมาไม่รู้กี่คน แล้วตัวเขาล่ะ คุณมีสิทธิ์เลือกไม่ใช่หรือ แต่พอเขาใช้สิทธิ์เลือกของเขา เขาก็ผิดแล้ว บางคนไปถามเขาว่าเป็นแฟนกันหรือเปล่า เมื่อไม่ใช่ พอตอนหลังเขาเป็นแฟนกัน ก็ไปให้ฉายาว่าสตรอเบอรี่แปลว่าตอแหล คุณต้องให้เกียรติเขาสิ สังคมมันจะได้มีรูปมีรอยอยู่ เป็นเรื่องของสัจธรรมทำไมคนไร้สัจธรรมไปแล้ว

 

“อย่างวันแม่ ผมต้องไปอัดเทปรายการลูกกตัญญู ผู้ร่วมรายการคือคุณนัท มีเรีย กับไอซ์ ศรัณยู ผมก็ต้องชมเขาโดยบอกว่าคุณรู้ตัวมั้ยว่าคุณเป็นตัวอย่างที่ดีของสังคมในสิ่งที่คุณทำ เดี๋ยวก็ต้องโดนด่าอีกว่าชมคนออกคลับ 7 แล้วไอ้สถานที่ที่ให้รางวัลทำไมไม่โดนด่าล่ะ อยู่ๆ ไปจับเขาขึ้นมาแล้วบอกว่าเขาเป็นลูกกตัญญู แต่ผมชมแล้วโดนด่า ผมพยายามให้สังคมเข้าใจสิ่งเหล่านี้แล้วเดินในทางบวก มองชีวิตในด้านดี มีนักวิจารณ์ในด้านลบเยอะแยะเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด คุณไปอ่านหนังสือพิมพ์ได้เลย ไม่มีในด้านบวกอีกต่อไปแล้ว ถ้าเขียนบวกเดี๋ยวไม่เท่ แล้วสังคมจะอยู่อย่างไร คนดีก็บอกว่าดีไม่ได้ เพราะไม่แน่ใจว่ามันจะดีไปจนตายมั้ย ต้องรอจนตายแล้วถึงจะพูดได้ว่าคนนี้ดีหรือสิ่งเหล่านี้ควรนำไปปฏิบัติเอาจากคนตายเท่านั้น

 

“ผมชมคนๆ หนึ่งไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่ชมเพื่อสังคมเพื่อให้เด็กหรือคนดูทำตามแบบอย่าง หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเวลาพิธีกรพูดหรือถามก็จะไม่กล้าชมคนและคุณก็จะไม่เห็นพิธีกรในทีวีคนอื่นๆ อีกที่กล้าชมคน สังคมกลัวจะเหมือนไตรภพ สังคมไม่พร้อมที่จะให้อะไรสักอย่าง

 

“ช่วงเวลาหนึ่งผมเป็นพิธีกรที่มีค่าตัวแพงที่สุด ค่าตัวพิธีกรจะน้อยกว่าดาราได้อย่างไร ผมเป็นคนยกระดับและเป็นตำนานของการแจกรถเข็นจากรายการฝันที่เป็นจริง คำพูดที่ติดปากทุกวันนี้คือคุณได้สิทธิ์นั้นทันที จากรายการเกมเศรษฐีและเมื่อผมประสบผลสำเร็จ ผมจะไม่กลับไปทำรายการนั้นอีก นั่นคือนิสัยผมมนุษย์ต้องมีนิสัยทำแล้วก็แล้วกัน”

ช้างชนช้าง “ตี-10 ปะทะ CLUB-7”

“ต้องเรียนก่อนว่าที่ผมได้มาทำงานที่ช่อง 7 ตรงนี้ผู้มีพระคุณคือคุณชลอ คุณสมพงษ์ และนายใหญ่ที่กรุณาผม นี่พูดกันตรงๆและผมเองไม่เคยไปแตะต้องคุณชาลอต โทณวณิก เลย เวลาที่เขาเรียกผมเข้าไปคุย เขาบอกผมว่าให้ทำเวลาไหน ไม่ใช่ผมชี้ว่าผมจะเอาเวลานี้ ถ้าไม่ได้เวลานี้ไม่เอา ผมถามคุณว่าถ้าผมมีสมองสักนิดหนึ่ง ถ้าผมชี้เวลาได้ จะชี้ให้ตรงกับรายการตี 10 เหรอมันเป็นนโยบายเป็นเรื่องที่กรรมการเขาให้ทำอะไรก็ต้องทำ งานไม่มีจะทำยังต่อรองเขาอีกเหรอ รายการคลับ-7 สไตล์สบายๆทางเดินเราไม่เหมือนกัน หลายคนถามว่าทำไมไม่สู้เขา ผมไม่ได้สู้ ผมเอาทางเลือกให้คนดู ผมวิ่งบนเลนของผม เขาวิ่งบนเลนของเขา ผมไม่ทำแบบชกมวย ผมไม่สาดโคลนให้คู่ต่อสู้

 

“ถามว่ารู้สึกอย่างไรกับคุณวิทวัส ผมเคารพในฝีมือของเขา นี่คือความจริง ไม่ใช่เสแสร้ง ผมเคารพในฝีมือด้วยเหตุผล คือผมทำแบบเขาไม่ได้ ผมไม่สามารถเป็นพิธีกรอย่างที่คุณวิทวัสเป็นได้ และผมก็คิดว่าคุณวิทวัสก็เป็นพิธีกรอย่างผมไม่ได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นต่างคนต่างมีเส้นทางอยู่ในเอ็นเตอร์เทนเมนต์บิสเนส ถ้าขาดการนำเสนอของแต่ละบุคคลมันจะเอามาเทียบว่าใครเหนือกว่าใครไม่ได้ มันคนละทาง เหมือนกับตลกคาเฟ่แบบหนึ่ง ตลกสถาปัตย์อีกแบบหนึ่ง ถามว่าแบบไหนไม่ตลก มันไม่มี มันตลกทั้งนั้นแต่คนละแบบเหมือนกับผมนับถือเขาๆ ก็นับถือผม เขากับผมเจอกันก็ได้แต่ยิ้มแฮะๆ ไม่รู้จะทำอย่างไร

 

“พิธีกรในประเทศนี้ครึ่งหนึ่งผมสอน เขายอมรับหรือเปล่าล่ะว่ามาหาผมกันกี่คน หรือเขายอมรับหรือเปล่าว่าเขาได้อะไรจากผมไปบ้าง ผมคงไม่ต้องไปนั่งบอกว่ามีใครบ้างที่ผมสอน แต่เวลาที่ผมบอก ผมก็บอกด้วยความจริงใจไม่เคยที่จะปิดบังอะไรทั้งสิ้น สลึงหนึ่งผมก็ไม่เคยคิด เพราะเราคิดว่าขอแค่นี้เอาไปได้ทั้งนั้น อีกไม่กี่วันคนก็ลืมหมดแล้ว บางคนบอกว่า คลับ-7 ไม่เห็นแตกต่างจากทไวไลท์โชว์ เลยต่อว่าต่างๆ นานาผมถามว่าคุณเข้าใจคำว่าวาไรตี้ทอล์กโชว์มั้ย วาไรตี้ทอล์กโชว์มันเหมือนกันทั่วโลก ไม่ว่าทำกี่หนก็เหมือนกัน ทุกรายการที่ทำไม่ว่าจะเปลี่ยนกี่ร้อยชื่อก็ต้องทำแบบนี้ สิ่งที่นำเสนอเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม คุณไปดูได้เลยรายการผมไม่มีสปอนเซอร์เหล้า เขามาขอซื้อโฆษณา ผมไม่ขาย ในแต่ละเดือนผมเสียรา

สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ในการโน้มน้าวใจผู้ชมคือพิธีกร