หัวแม่คำ

หัวแม่คำ

มวลลมกรูเกรียว เราผ่านอุณหภูมิราว 10 องศาเซลเซียสด้วยกองไฟและวงสนทนาบนลานของศูนย์ส่งเสริมการเกษตรที่สูงหัวแม่คำ ขณะนั้นที่นี่จะเป็นดอยสูงชายแดนของเชียงรายหรืออย่างไรอาจไม่สำคัญ กลางคืนทำให้เรื่องเล่าของพ่อเฒ่าน่าใส่ใจ ไม่นับผมที่ขึ้นมาบนนี้ด้วยตัวคนเดียว กลุ่มนักท่องเที่ยวที่เพิ่งรู้จักกันมาเมื่อเย็นก็ดูจะจดจ่อกับความเป็นไปตรงหน้าไม่ต่างกัน

 

เมืองแสนไกล บ้านกลางหุบเขา บัวตองผลิบานราวภาพฝัน และเรื่องราวอดีตของชายแดน มากมายอยู่ด้วยคืนวันอันตกหล่นเคล้าระคน และกำลังเป็นไป

 

จริงหรือไม่ที่สายลมหนาวกรีดไหวให้ใจคนเดียวดายบาดเจ็บ

 

และเมื่อเลือกจะอยู่กับมันอย่างถึงที่สุด เราจะทำอะไรได้บ้างเพื่อให้รู้ว่าพื้นที่แห่งนี้มีอยู่จริงในหัวใจ

 

1,850 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง

นั่นคือความสูงที่ต้องผ่านเส้นทางโค้งแล้วโค้งเล่าจึงจะขึ้นไปถึง เมื่อผมผละออกจากบ้านอีก้อสามแยก หนุ่มสาวอาข่า ลีซอ พาตัวเองขวักไขว่อยู่ตามร้านค้า เด็กๆ บางคนนุ่งห่มเสื้อผ้าเฉพาะเผ่าปนเครื่องประดับจากโลกศิวิไลซ์ไว้อย่างมีสีสัน ข้าวของจากป่าและเมืองมาพบกันด้วยความคึกคัก

 

เราดิ่งตรงสู่บ้านห้วยผึ้ง ถนนดำชั้นดีพารถคันเล็กกลายไปเป็นส่วนหนึ่งของภูเขาทอดยาวทับซ้อน เส้นทางคดโค้งตอนขึ้นมาจากอำเภอแม่จันอาจเทียบกันไม่ได้ หากเพราะเรากำลังวิ่งอยู่บนที่สูง บางคราวเมื่อมองออกนอกบานกระจกไปเพลินๆ ราวกับถนนเล็กๆ เส้นนี้ทอดโค้งยาวไกลไม่มีที่สิ้นสุด

 

ราวกับอยู่ในฉากของภาพยนตร์จีนที่สะท้อนชีวิตห่างไกลตามบ้านแดนดอย เมื่อไต่ลงสู่ในหุบเขา กลุ่มบ้านวางตัวอยู่ตามเนินดินบ้างก่อหินเป็นชั้นๆ เพื่อยกความสูงให้อยู่เหนือถนน มีหลายหลังที่ก่อด้วยดินสะท้อนเรื่องราวของคนกลุ่มหนึ่งที่เลือกหุบดอยแถบนี้เป็นผืนดินให้ลืมตาต่อสู้โชคชะตาและหลับลงเมื่อถึงคราเหนื่อยอ่อน

 

บรรยากาศเช่นนี้ชัดเจนขึ้นเมื่อผมมาถึงบ้านเทอดไทยในภูเขาลูกข้างหน้า

 

หมู่บ้านขนาดใหญ่แห่งนี้คือดาวน์ทาวน์ของภูเขา ความแปลกใหม่ใช่เพียงจะมีอยู่ในสายตาผู้ขึ้นมาเยือน แต่กับคนที่อยู่ลิบลับไปตามมุมเล็กมุมน้อยขุนเขา การลงมาถึงร้านค้า เด็กๆ ได้ตื่นตากับขนมหลากหลาย หนุ่มสาวชาวดอยได้พบเจอกับเสื้อผ้า แผ่นวีซีดีภาพยนตร์หรือเพลงสักอัลบั้ม สิ่งเหล่านี้อาจเป็นรางวัลชีวิตง่ายๆ ไม่แตกต่างไปจากการที่ใครสักคนดั้นด้นขึ้นดอยมาเห็นในความเป็นตัวตนของพวกเขา

 

บ้านเทอดไทยหรือบ้านหินแตกในอดีต ไม่เพียงเป็นเส้นทางค้าขายโบราณของกองคาราวานพ่อค้าวัวต่างถิ่น เป็นบ้านของชาวไทยใหญ่ที่อพยพเดินทางมาปักหลักทำกินแต่เก่าก่อน หากยังเป็นฐานที่มั่นใหญ่ที่ใช้ในการลำเลียงฝิ่นออกไปสู่โลกข้างล่างหุบเขา เมื่อราชายาเสพติดอย่างขุนส่าเดินทางตามพี่น้องร่วมเชื้อชาติของเขาขึ้นมาถึง

 

ผมค่อยๆ เดินไปตามตึกเก่าเตี้ยๆ ของพิพิธภัณฑ์บ้านหินแตก ที่ทอดแถวยาวปล่อยให้ไรฝุ่นเกาะกรัง สนามซ้อมรบถูกปรับเปลี่ยนเป็นสนามกีฬาของผู้คนในปัจจุบัน กองบัญชาการของขุนส่าดัดแปลงให้เป็นพิพิธภัณฑ์ บอกเล่าเรื่องราวการกู้ชาติของไทยใหญ่

 

ออกจากพิพิธภัณฑ์ ผมพาตัวเองเดินไปในโลกผสมผสานทางเชื้อชาติอันหลงเหลือบ้านเรือนของชาวจีนฮ่อที่มาตั้งถิ่นฐานใหม่บนบ้านหินแตก อักษรจีน เสื้อผ้า อาหารการกิน ล้วนครอบคลุมให้เสียงปืนกลายเป็นเรื่องเล่า ลูกหลานไทยใหญ่และพี่น้องชาวเขาที่ล้วนอยู่ร่วมกันมาราวกับจะตอกย้ำว่าอดีตนั้นเป็นเพียงสิ่งผ่านพ้น

 

รอยยิ้มของปัจจุบันนั้นเป็นจริงเป็นจังและจีรังเสียยิ่งกว่า

 

ผ่านบ้านนาโต่ต่อสู่บ้านปางมะหัน ความหนาแน่นของบ้านชาวลีซอประชิดสองข้างถนนอย่างมีชีวิตชีวา พู่หางม้าที่ห้อยอยู่ตามเอวเด็กชายกวัดไหวยามเขาวิ่งเล่นไปตามถนน ถัดหลังไปคือพื้นที่การเกษตรอันอุดม สวนส้มเพิ่งลงกล้าใหม่ยืนเรียงเป็นระเบียบลิบๆ ไปคือแปลงชาน้ำมันของชาวบ้านที่ได้รับการสนับสนุนจากโครงการศึกษาและพัฒนาการปลูกชาน้ำมันของมูลนิธิชัยพัฒนา

 

อีก 10 กิโลเมตรที่เหลือถนนกลายเป็นดินลูกรัง มันดูดิบสดและไม่เปลี่ยนแปลงเหมือนแต่ครั้งที่ตัดขึ้นมา ผมแวะที่บ้านม้งเก้าหลัง หมู่บ้านแห่งนี้ใช่เพียงจะมี 9 หลังเหมือนชื่อ แต่เป็นแหล่งรวมความคึกคักในปลายบ่ายอันแสนตื่นตาสำหรับคนไม่คุ้นกับชีวิตบนแดนดอย

 

ไม่นับรถกระบะของชาวบ้านอันพอมีกิน คนงานก่อสร้างถนนหรือเจ้าหน้าที่อนามัย รถของผมดูจะเป็นคันเดียวที่ส่งเสียงอยู่ในบ่ายวันนี้บนเส้นทางมุ่งสู่ยอดดอยแดนไกลชายแดนติดกับเมืองยอนของพม่าแห่งนี้

 

ผมเลี้ยวขวาเข้าสู่ศูนย์ส่งเสริมการเกษตรที่สูงหัวแม่คำ เพียงเพื่อจะพบว่า ผู้ช่วยฯ พนม มณีรัตน์ เพิ่งเดินขึ้นมาจากแปลงเบญจมาศที่ซ่อนตัวอยู่ในหลังคาพลาสติกสีขาวด้านล่างหุบ ลมพัดยะเยือก ไร่ชาอูหลงก้านอ่อนเพลินตาอยู่ทางหุบด้านซ้าย ลับหลังไปคือภูเขาห่มหมอกไว้บางๆ ยามแสงเริ่มหมด

 

รอยทางแห้งกรังทรมานช่วงล่างรถ เราตัดลงหุบแยกจากทางหลักเพื่อมุ่งไปสู่หมู่บ้านเล็กๆ รายรอบหัวแม่คำ แวะแปลงดอกไม้เมืองหนาวอีกหย่อมที่มีแกลดิออลัส คาร์เนชัน ไฮแคกซิน ลิลี เยอบีรา และอีกหลายดอกพันธุ์ที่อยู่ในขั้นตอนอนุบาลราวเด็กอ่อนแรกเกิด “ช่วงนี้ทางศูนย์ฯ ต้องดูกันเยอะครับ ชาวเขาส่วนใหญ่อยู่ในนา ช่วงเกี่ยวข้าวสำคัญกว่าสำหรับพวกเขา”

 

เหมือนกับที่ค่ำวันหนึ่งผมนั่งคุยกับ อาแค หมื่อแล หนุ่มชาวอาข่าที่เพิ่งได้ลูกสาวมาไม่นาน แล้วรู้ว่าเมื่อข้าวปลูกได้ไม่พอกินกับครอบครัวที่มากขึ้น นั่นหมายถึงต้องใช้เงินแลกมันมาให้เพียงพอ โลกทุนนิยมหมุนเคลื่อนขณะที่พวกเขายากจะเดินตามทัน เช่นนั้น สำหรับฤดูเกษตรกรรม งานในไร่ในนาดูจะเป็นทำนองหลักของชีวิต “ภูเขา ผืนดิน มันเท่าเดิม คนมันเพิ่มครับ” เขาพูดไทยได้ชัดในคืนหนึ่งที่เราผิงไฟสู้ความหนาวบนลานศูนย์ฯ ด้วยกัน

 

ว่ากันเรื่องดอกไม้เมืองหนาว จริงๆ แล้วเคยมีบริษัทเอกชนจากไต้หวันขึ้นมาตั้งอยู่บนหัวแม่คำ นำเข้ากล้าพันธุ์ไม้ดอกมาให้ชาวเขาที่นี่ได้เป็นคนงานในการเพาะปลูก หากแต่ก็พ่ายแพ้กลับไปด้วยพิษเศรษฐกิจและการไม่ยั่งยืนของวันเวลา “จริงๆ เรื่องปลูกนี่พวกเขารู้ดีกว่าเราอีกครับ นี่มันบ้านของเขา อะไรเหมาะ ไม่เหมาะ เขาลองกันปีสองปีก็รู้แล้ว” พนมเล่าต่อเมื่อเราข้ามธารน้ำเล็กเชิดหัวรถและไต่ไปตามความสูงของภูเขา หมู่บ้านเล็กๆ อยู่อีกไม่ไกล

 

เรามาถึงบ้านม้งแปดหลังเอาในยามเย็น ควันไฟจากท้ายครัวลอยตัวอยู่ในอากาศเย็น ใกล้กันมีชุมชนอาข่าเล็กๆ ตั้งอยู่ นอกจากหนุ่มๆ แล้ว ไม่มีผู้เฒ่าคนไหนจะสื่อสารอะไรกับผมได้นอกจากรอยยิ้ม

 

บ้านของพวกเขาหลังคาไม่สูงนัก มุงด้วยหญ้าคาหนาๆ มันห่มฟ้าฝนร่วมกับผนังไม้ไผ่ขัดแตะ ให้ชีวิตในนั้นหลับนอนไปบนแคร่ที่ตั้งอยู่บนพื้นดินแดง และกองไฟที่ไม่เคยมอดแม้ในฤดูใด

 

แม้ภาพที่เห็นจะดูแร้นแค้น แต่พวกเขาก็อยู่กันอย่างเป็นสุข การหยิบยื่นรอยยิ้มให้แก่กันเป็นเรื่องง่ายกว่ากฎเกณฑ์ใดๆ ของโลกเบื้องล่าง จริงอยู่ ชีวิตมีทั้งด้านสวยงามและโหดร้าย แต่เมื่อเราเลือกจะยืนอยู่บนโลกใบนี้ร่วมกันอย่างที่หลายคนชอบป่าวประกาศจะมีประโยชน์อะไรหากเราไม่พยายามทำความเข้าใจสิ่งเริ่มต้นของสัมพันธภาพง่ายๆ เช่นนี้ก่อน

 

จากโรงเรียนเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ชายแดน ฟ้าใสจัดกระจ่างไกล มองเห็นไปถึงเมืองยอนในเขตพม่า แถบนั้นเสียงปืนแห่งการต่อสู้ยังไม่หมดสิ้นจากการดิ้นรนเพื่อการมีอยู่ของแผ่นดินบ้านเกิด ว่ากันว่า เด็กๆ พร้อมที่จะจับปืนมากกว่าหยิบหนังสือสักเล่มขึ้นมาท่อง

 

อาจเป็นโชคดีของคนที่นี่อยู่บ้าง ที่คนรุ่นพ่อแม่ของเขาได้รู้แล้วว่า เมื่อลั่นไกแล้ว เสียงปืนและการสู้รบไม่มีวันพลิกจบได้ง่ายๆเหมือนปิดหนังสือเล่มบางๆ ลงตรงหน้าสุดท้าย

 

เช้าตรู่ จากบ้านทรงเอเฟรมที่ผมนอนซุกตัวอยู่ในถุงนอนและผ้าห่มนวม หน้าระเบียงบ้านปรากฏทะเลหมอกขาวโพลนในหุบเขาเบื้องล่างเป็นม่านกว้าง เหมือนใครเอาสำลีมาโยนเล่นไว้ในแอ่งลึก ยิ่งเมื่อแดดเรื่อสาดลงมาย้อมภาพตรงหน้า บางคนก็อาจเรียกภาพตรงหน้านี่ว่าโลกฝัน

 

หมู่บ้านหัวแม่คำคึกคักมาได้สองสามชั่วโมงแล้วก่อนที่ผมจะขึ้นมาถึง บัวตองสีเหลืองสดห่มคลุมกลุ่มบ้านเรือนสีน้ำตาลไว้ราวกับภาพเขียนของศิลปินเอกส์เพรสชันนิสม์ ฟ้าเป็นสีน้ำเข้มอย่างเป็นตัวของตัวเอง ลงลึกไปถึงชาวบ้านลีซอที่งดงามด้วยเสื้อผ้าและเครื่องประดับมากสีสัน เปี่ยมเอกลักษณ์

 

เมื่อพรมแดนมีความหมายเพียงขุนเขาที่กั้นขวาง หมู่บ้านบนความสูงของดอยหัวแม่คำที่ปักหลักกันหนาแน่นมาร่วม 50 ปีจึงเป็นเหมือนตลาดของผู้คนจากหลายหุบดอย พวกเขาพากันมาซื้อข้าวของจากร้านค้าเล็กๆ ที่นี่ ทั้งอาข่าจากบ้านใกล้ๆ ไล่เลยไปถึงม้งผู้งดงามด้วยชุดปักผ้าลวดลายคล้ายงานกราฟฟิก หรือมูเซอผู้เชี่ยวชาญการล่าสัตว์ ที่บางคนข้ามแดนมาจากฝั่งพม่า เมื่อครบตามความพอใจก็พากันแบกขึ้นหลัง เดินดุ่มกลับไปตามเหลี่ยมมุมของขุนเขา

 

หลังจากขึ้นไปดูดอยทั้งเทือกหัวแม่คำปกคลุมอร่ามด้วยทะเลบัวตองบนยอดวนอุทยานหัวแม่คำ ผมก็กลับลงมาเดินเล่นอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้อย่างไม่รู้เบื่อ ทางเดินดินเล็กๆ นั้นเวียนไปทั่วเนินเขา พาเราไปพบผู้เฒ่าสักคนยืนจิบชาในยามเช้า เด็กน้อยนั่งผึ่งแดดพร้อมแมวมอมแมมคู่ใจ อยู่ที่นี่เราจะเห็นได้ถึงความหลากหลายของชนเผ่าอย่างลีซอ ม้ง มูเซอ และอาข่า ที่หลอมรวมเป็นผู้คนของดอยหัวแม่คำราว 1,800 คน ได้อย่างมีชีวิตชีวา

 

“บัวตองนี่ต้มทั้งต้น อาบแก้โรคผิวหนังได้ดี” สำหรับเฒ่าชรา วัชพืชใกล้บ้านก็เป็นเพียงหยูกยาที่จะใช้เมื่อไหร่ก็พร้อมฉวยจับสำหรับอย่างยุคของอาแคหรือคนอื่นๆ เมื่อมันพาคนขึ้นมาหา พารายได้เล็กๆ น้อยๆ ในฤดูหนาวมาตกหล่น มันอาจเป็นสิ่งนำพาให้ชีวิตพวกเขาดีขึ้นได้บ้าง

 

แต่ชีวิตไม่ได้มีฤดูกาลเดียว ดอกไม้มีวันโรยร่วง

 

สิ่งคงทนเช่นเดียวกับที่บรรพบุรุษของพวกเขาส่งทอดต่อกันมาต่างหาก ที่อาจเป็นสิ่งหล่อหลอมให้ชีวิตยังเป็นไป

 

1,850 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ผมลงจากความสูงที่ว่าด้วยเวลาเกือบ 3 ชั่วโมง

นาทีนั้นผมนึกถึงเรื่องของหลายวันที่ผ่านมาบนยอดดอยชายแดนอย่างหัวแม่คำ ที่ภูเขาหลอมรวมเรื่องราวของผู้คนและดอกไม้ไว้กลางสายลมหนาว นึกถึงเรื่องเขตแดนแผ่นดิน ที่อาจมีอยู่จริงในแผนที่และการปักหลักของใครสักคน

 

หากแต่เมื่อมาอยู่ตรงนี้แล้ว ดูเหมือนเมื่อผ่านพ้นเหตุการณ์บางอย่างมาร่วมกัน ขอบเขตก็อาจกั้นได้แค่การเดินทางภายนอก

 

แต่ภายในจิตใจนั้น เหมือนหลอมเลือนหลักแดนแห่งกันออกไปแล้วมาเนิ่นนาน

เราไปถึงเมืองแห่งนั้นเอาราวตีสอง ฟ้ามืดสนิทเห็นดาว