ม.ร.ว.สุทธิภาณี ยุคล

ม.ร.ว.สุทธิภาณี ยุคล

ชีวิตในวัยเด็กเมื่อครั้งยังเป็นนักเรียน เธอหลีกหนีวิชาที่เกี่ยวกับตัวเลขมาโดยตลอด แต่ลึกๆ ในใจเธอรู้แน่ชัดว่าชอบด้านการตลาดเมื่อมันเป็นไปไม่ได้ตามความคิด เธอจึงเลือกแผนศิลป์-ภาษา โรงเรียนเซนโยเซฟคอนเวนต์ แล้วพับความฝันนั้นไว้ก่อน 
เพื่อมุ่งหน้าเข้าศึกษาต่อด้านการสื่อสารในด้านภาพยนตร์เพื่อเติมเต็มจินตนาการ แต่เมื่อได้เรียนเธอกลับพบว่า การทำหนังตามที่เรียนมานั้นกลับไม่ใช่ปลายทางที่เธอฝัน 

“เอาเข้าจริงก็ไม่เคยคิดเลยนะคะว่าจบออกมาแล้วจะต้องออกมาทำหนังเป็นของตัวเอง อย่างตอนที่เรียนจบก็มีคนเข้ามานำเสนองานเรา เขาอาจดูจากนามสกุลหรืออะไรก็แล้วแต่ ซึ่งเราไม่ต้องการ เราแค่เรียนรู้ด้านนี้เพื่อนำจินตนาการของเรามาสร้างสรรค์ มันเหมือนเป็นจุดเริ่มต้นหนึ่งมากกว่าว่าจะต่อเติมจินตนาการเราได้อย่างไร

“หลังเรียนจบก็ทำงานสักพักแล้วจึงไปเรียนต่อด้าน Advertising Marketing ที่อังกฤษ และการไปเรียนที่โน่นถือเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนของชีวิต ทำให้เรามีมุมมองต่อโลกใบนี้เปลี่ยนไป จากเดิมที่เป็นเด็กไทยที่ใช้ชีวิตและการเรียนรู้ในเมืองไทยมาโดยตลอด 

“พอไปถึงสอบวิชาแรก วิชาทฤษฏีการตลาด จำได้เลยว่าร้องไห้สุดๆ เพราะทั้งชีวิตการเรียนที่ผ่านมาเราถูกสอนให้ท่อง ถูกสอนให้จำมาตลอด แต่สำหรับที่โน่นมันไม่ทางที่คุณจะใช้วิธีนี้ได้ เพราะมันมี Text book เยอะมาก เราต้องใช้ความเข้าใจของเรามาประยุกต์ ในชั่วโมงสอบนั้นดิฉันจำได้ว่าพอออกมาเครียดมาก ร้องไห้จนมาเจออาจารย์เจ้าของวิชาท่านนั้น ดิฉันก็บอกอาจารย์ว่าต้องตกวิชานี้แน่ๆ แต่เขากลับบอกเราว่าถ้าเราแค่เขียนอะไรลงไปบ้าง แล้วสิ่งที่เขียนนั้นมันมาจากความเข้าใจเรา เท่านั้นก็ไม่ตกแล้ว 

“ปรากฏว่าผลสอบมามันก็จริงตามนั้น แต่คะแนนก็ปริ่มๆ มาก (หัวเราะ) มันเปลี่ยนความคิดเราในเรื่องของการศึกษาไปเลยว่า ทุกอย่างมันไม่มีทฤษฎีอะไรตายตัว มันคือความเข้าใจ และการที่เราสามารถนำสิ่งเหล่านั้นมาปรับใช้ได้เกิดประโยชน์ที่สุดอันนั้นน่าจะสำคัญกว่า” 

เธอพูดถึงการเปลี่ยนงานที่หลากหลายของเธอว่า จริงอยู่การใช้ชีวิตเราต้องมีจุดมุ่งหมาย แต่ระหว่างทางที่จะไปถึงนั้น ถ้าเรามีความรู้รอบด้านก็น่าจะดีกว่า 

“ครั้งหนึ่งตอนทำอยู่ที่เอเจนซี่ U5 Opportunity Knocks (Thailand) Co., Ltd ซึ่งตอนนั้นดูแลรถยนต์ BMW ดิฉันต้องคิดเรื่อง Strategy ที่จะใช้ทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศ ต้องทำ Presentation หนา 800 หน้าอยู่เกือบสามเดือน เพราะได้เป็นตัวแทนประเทศไทยในการเข้าร่วมประชุมกับต่างประเทศด้วย มีคนเดินเข้ามาถามว่าคุณใช่ไหมที่เป็นคนทำPresentation อันนั้น เขาบอกว่ารู้สึกดีและชอบมากๆ เราก็เลยรู้สึกอิ่มใจว่าเราก็ทำได้นะ”

หลังจากทำด้านเอเจนซี่มาสักพัก เธอเปลี่ยนไปทำงานที่ยูนิเซฟ (Unicef) โดยเข้าไปรับหน้าที่ดูแลเรื่องการตลาด ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกที่ทางองค์กรเปิดรับตำแหน่งนี้ ช่วงระยะเวลาสัญญา 1 ปี ถือเป็นช่วงเวลาที่มีค่ามากๆ สำหรับเธอ นับเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนผันจากสายงานของการตลาดในรูปแบบธุรกิจมาเป็นการตลาดเชิงสังคม เมื่อชิมลางงานด้านสังคมจนติดใจ เมื่อหวนกลับเข้ามาสู่วงการการตลาดอีกครั้ง เธอจึงรีบคว้าโปรเจกต์หินอย่าง โครงการรายการโทรทัศน์ครู มาครองและร่วมผลักดันไปกับทีมงานที่มากความสามารถ 

“เราเองก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับโอกาสการเรียนรู้ที่ดีจากคุณครู ก็เลยอยากเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมพัฒนาการเรียนการสอนของครูไทยด้วย โครงการนี้เริ่มมาจากประเทศอังกฤษก่อน มันเป็นอีกหนึ่งแผนพัฒนาการศึกษาของที่นั่น เนื้อหาไม่ได้สอนเด็กหรือสอนครู แต่เป็นการแลกเปลี่ยนกระบวนการสอนกันทั่วโลก เพราะการจะสอนครูมันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะไปบอกว่าแต่ละขั้นตอนต้องทำอะไร แต่วิธีการก็คือให้ครูเก่งๆ ในด้านต่างๆ มีอยู่ทั่วโลก ได้เผยแพร่ทักษะของเขาเอง ทั้งทางทีวีและเว็บไซต์ เพื่อให้ครูท่านอื่นๆที่สนใจได้นำไปประยุกต์ใช้ 

“ในด้านการตลาด โพรเจ็กต์นี้เราไม่สามารถสร้างกระแสตอบรับอะไรให้หวือหวาเหมือนสินค้าทั่วไปได้ แต่ความชื่นใจของคนทำตรงนี้มันเกิดขึ้นจากครูมาดูแล้วสามารถนำไปใช้ได้จริง เกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง แต่การที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมครูหกแสนคน มันคงไม่ง่ายขนาดนั้น คิดว่ามันก็คงเป็นไปตาม Curve ของการตลาดทั่วไป คือเมื่อมีสิ่งใหม่เข้ามา ความสนใจมันก็เปิดรับตอนนี้เราถือว่าอยู่ในระดับค่อนข้างพอใจ โดยวัดจากกิจกรรมต่างๆ และเรตติ้งมาประกอบกัน 

“มีคนมองการศึกษาของเมืองไทยว่าเปลี่ยนแปลงยาก แต่ถ้าไม่มีคนเชื่อว่ามันเปลี่ยนแปลงได้ มันก็คงไม่เปลี่ยนนะคะ เราคิดว่าการเริ่มต้นจะทำอะไรสักอย่างสิ่งที่สำคัญที่สุดนั้นคือความเชื่อ เพราะเราไม่เชื่อหรอกว่าไม่มีอะไรในโลกที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เลย มันอาจจะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง และจากที่เราทำวันนี้เราบอกได้คำเดียวว่าคุ้มค่ะ”

สาระสำคัญถ้าจะพูดในเชิงพาณิชย์ ม.ร.ว.สุทธิภาณี จุดประกายให้กับเราได้คิดว่า ในความจริงแล้วเราสามารถผลักดันให้ตลาดการศึกษาเป็นกระแสเศรษฐกิจหลักสำคัญของประเทศได้เลย เพราะ Education Fair นั้นทำได้ไม่ยาก เราอาจไม่จำเป็นต้องพุ่งเป้าทำเงินไปที่งานมอเตอร์โชว์เพียงอย่างเดียว 

แต่ก็นั่นแหละ ขึ้นอยู่กับว่าจะมีใครมองเห็นเท่านั้นเอง

 

Know Her

• หลังจากจบจากโรงเรียนเซนโยเซฟคอนเวนต์ เธอเลือกเรียนต่อปริญญาตรี สาขา ภาพยนตร์และภาพถ่าย คณะวารสารศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จากนั้นจึงไป เรียนต่อปริญญาโท ด้านโฆษณาและการตลาด ที่มหาวิทยาลัยลีดส์ ประเทศอังกฤษ

• เธอมีประสบการณ์ในการทำงานจากหลายบริษัทยักษ์ใหญ่ในเมืองไทยอย่างบริษัท โฆษณา หน้าที่วางแผนกลยุทธ์ด้านการสื่อสาร Marketing service Executive บริษัท ลีโอ เบอร์เนต จำกัด, Management Trainee บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทยโฮลดิ้ง จำกัด, Marketing communication manager บริษัท Propaganda, Strategic planner บริษัท U5 Opportunity Knocks จำกัด, Account Executive ของบริษัท U5 Opportunity Knocks จำกัด และ Corporate Fundraising Officer ขององค์กรยูนิเซฟ แห่งประเทศไทย

มันไม่ใช่เรื่องยากหากมีใจอยากจะทำอะไรให้กับสังคม