จุมพล อุทโยภาศ

จุมพล อุทโยภาศ

เราเดินทางจากกรุงเทพฯ เพื่อมาพบอาจารย์จุมพลที่บางแสน จ.ชลบุรี ในช่วงเวลาบ่ายแก่ๆ เราก็บุกมาถึงที่พำนัก ที่ซึ่งเขาใช้เป็นทั้งบ้านและที่ทำงานมานานหลายปี อาจารย์จุมพลใช้ชีวิตตามแบบฉบับของศิลปินสมถะที่รักอิสระ ทั้งที่ในช่วงหนึ่งของชีวิตเคยเป็นถึงอาจารย์สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยบูรพา แต่สุดท้ายก็ปลดประจำการตัวเองเพื่อออกมาโลดแล่นกับงานที่ตนเองชื่นชอบอย่างเต็มที่

 

เขาพาเราเข้าไปในบ้านสองชั้นที่ด้านหลังถูกแบ่งเป็นห้องทำงานที่คล้ายกับห้องของช่างไม้ มีอุปกรณ์มากมายไม่ว่าจะเป็นแท่นสว่าน ค้อน สิ่ว ฯลฯ มีไม้กองอยู่ตรงข้างห้องอีกหลายชิ้นที่รอการประดิษฐ์อยู่ ผลงานของอาจารย์จุมพลนั้นอยู่ในแนวทางเดียวกันเกือบทั้งหมด อันประกอบด้วย ไม้ทรงกลมบ้าง วงรีบ้าง งานต่างๆ เหล่านี้มีอยู่มากมายหลายชิ้น และล้วนถูกประดิษฐ์ขึ้นด้วยประสบการณ์และความชำนาญ เขาเล่าให้ฟังว่ามันคืองานศิลปะที่เกิดจากความฝังใจของเขาเรื่องเมล็ดพันธุ์พืชมากๆ

 

“ถ้าเรียกแบบทางการ มันเป็นปฏิมากรรมแนวกึ่งนามธรรม อย่างตอนแรกอาจทำเป็นพืชแตกตามใบตามใบไปก่อนที่จะพัฒนางานมาเรื่อยๆ”

 

จุดเริ่มต้นของความรักในงานศิลปะแนวนี้นั้น เริ่มมาตั้งแต่ตอนเด็กๆ เขาสามารถแกะสลักง่ามหนังสติ๊กที่วิจิตรข้ามขั้นกว่าเด็กคนอื่นๆ มาก

 

“ส่วนใหญ่ทำหนังสติ๊กอันเดียวก็เล่นกันไป ของผมทำทีนึงสิบยี่สิบอัน อย่างไม้คนอื่นอาจจะแค่ง่ามเดียวให้เสมอกันก็ได้แล้ว แต่ผมต้องทำให้ไม้พิเศษหน่อย ตั้งแต่จำความได้ก็เอาอีโต้ฟันไม้ไปทั่วแล้ว เมื่อก่อนตอนเด็ก ผมจะชอบวาดรูปสีน้ำมัน แต่เริ่มมาจับแนวนี้เพราะไม้ที่บ้านมันเยอะ และพอทำมาแล้วมันก็มีความสุข สีน้ำมันก็พอเขียนได้นะ แต่เราไม่ชอบเท่าไหร่ พอมาจับงานไม้มันชอบ ก็เลยทำยาวมาเลย

 

“พอเรียนจบศิลปากรมาใหม่ๆ ผมก็บอกแม่ว่าขอเวลา 6 เดือนเป็นศิลปิน แล้วผมก็ส่งประกวดเลย เมื่อก่อนจะเป็นงานของกสิกรไทย ผมส่งไปสิบชิ้นได้ร่วมงานสองชิ้น ครั้งแรกก็ได้ร่วมเลย แล้วก็ขายได้ด้วย”

 

การทำงานแบบนี้บางคนอาจยังเรียกผิดเรียกถูกระหว่างการเป็นช่างไม้กับการเป็นนักศิลปะ เขาชี้แจงว่าช่างไม้คือคนที่ทำงานและได้รับการถ่ายทอดออกมาเป็นสเตป ซึ่งอาจจะทำได้เฉพาะตามที่ได้รับการถ่ายทอดให้แกะรูปต่างๆ ที่กำหนดมา ส่วนศิลปินจะมีความสร้างสรรค์งานที่มากกว่า

 

“ไม้ส่วนใหญ่ที่เอามาทำก็เก็บเอาข้างทางนี่แหละครับ บางทีก็ได้ไม้สักมาจากบ้านพี่ชาย เดี๋ยวนี้ซื้อไม่ไหว หรืออย่างสะเดา เป็นไม้ที่คนมองข้ามผมก็เอามาทำ แต่ไม้เนื้ออ่อนผมจะไม่ค่อยชอบ ถ้าเป็นไม้เนื้อแข็งจะใช้ได้ทั้งหมด แต่ตอนแรกเราต้องดีไซน์ก่อนว่าจะให้มันเป็นแบบไหน อย่างพอผมว่างๆ ก็สเก็ตช์เก็บเอาไว้ พอมีไม้ที่เข้ากันกับสเก็ตช์ เราก็ค่อยมาทำ แต่ไม้มันก็คือไม้ธรรมชาติของมันต้องมีแตก มีร้าวบ้าง เป็นธรรมดา”

 

ผลงานของเขามีหลากชิ้น แต่ละชิ้นนั้นต่างก็มีความสวยงามไม่แพ้กัน เราถามเขาถึงผลงานที่จัดว่าเป็นมาสเตอร์พีช เขาคิดนานก่อนที่จะชี้ไปที่ผลงานที่ตั้งเด่นอยู่ข้างหลัง เป็นชิ้นงานที่สวยงาม มีความใหญ่คล้ายเมล็ดพันธุ์ที่กำลังเติบโต

 

“ความคิดเริ่มแรกมันก็มาจากไม้เลื้อย ต้นไม้ที่ถูกตัด ซึ่งไม้เลื้อยมันจะต้องมีแตกใบอ่อนเหมือนกัน แต่โครงสร้างมันก็คือไม้เลื้อย ใช้เวลาทำอยู่ประมาณเกือบเดือน แต่เราก็ไม่ได้เจาะจงเรื่องของลายไม้ให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ อย่างงานสมัยก่อน มักเป็นงานความงามที่โครงสร้าง แต่ของผมจะเพิ่มลักษณะของสีไม้ที่มันต่างกันไปเรื่อยๆ ลาย รูปทรง โครงสร้างที่มันต่างออกไป

 

“ผมทำงานในแบบอื่นไม่ค่อยจะได้ มันไม่ค่อยดี ผมคงถูกโฉลกกับการทำงานไม้มากกว่า ถ้าทำเป็นแนวรูปทรงของผู้หญิง ผมจะไม่ชอบ เพราะไม้มันเป็นก้อน แต่ถ้าเป็นแนวพืช มันจะแตกกิ่งแตกใบออกมา ถ้าพูดถึงการนำสื่อผสมเข้ามาจะมีให้เห็นน้อยมากบางชิ้นผมก็แค่นำหินมาประกอบเท่านั้น คือถ้าเป็นหิน มันก็น่าจะไปอยู่ตรงกลางแจ้งมากกว่า แต่ไม้ไม่สามารถอยู่กลางแจ้งได้ผมก็เลยบอกว่ามันขัดกัน ซึ่งงานของเราส่วนใหญ่จะอยู่ในร่ม ก็คิดว่าจะทำกับโลหะด้วยแต่ไม่ชอบ ยังคิดว่ามันจะเข้ากันได้รึเปล่าเพราะไม่เคยทำ

 

“ส่วนที่เป็นงานไม้มันก็มีปัญหาบ้าง อย่างคนซื้อไป คำแรกเขาจะถามว่ามอดกินมั้ย ปลวกกินมั้ย แล้วเราต้องเขาใจว่าไม้มันต้องโดนสัตว์พวกนี้กินอยู่แล้ว อย่างไม้สักก็เหมือนกัน มันก็กิน สรุปแล้วมันกินเกือบทุกชนิดแหละ แต่ว่าเราก็เคลือบน้ำยากันไว้แล้วไว้แล้ว เวลาผมทำงานจึงเลือกไม้ที่มอดไม่กิน แล้วก็พ่นยากันไว้เสมอ

 

เขาบอกว่าจำนวนศิลปินที่ทำงานด้านไม้อย่างจริงจังนั้นมีน้อยมาก เรียกได้ว่าจะนับคนได้เลย เพราะงานส่วนศิลปะไม้ส่วนใหญ่นั้นจะเป็นแค่การทำงานส่งอาจารย์มากกว่า

 

“ในเมืองไทยผมแสดงหมดแล้ว แต่เมืองนอกผมไม่ค่อยอยากแสดงผลงานเท่าไรเพราะมีปัญหาเรื่องการเข้าประเทศ อีกอย่างเพราะเราไม่ได้เปิดตัวอย่างคนอื่น เพราะปกติการที่จะไปแสดงงานอะไรสักงาน พอไปก็จะไปเจอลูกค้า ไปเจอสังคม แต่ผมไม่ค่อยชอบสังคม เลยไม่ได้ออกไปไหน แต่ถึงอย่างไรชีวิตนี้ไม่ต้องผ่อนบ้าน ไม่ต้องผ่อนรถ ไม่มีหนี้ ก็มีความสุขแล้ว จะเอาอะไรอีก”

งานศิลปะ อย่างแรกที่คนส่วนใหญ่นึกถึงก็คือภาพวาด