บรรจง ปิสัญธนะกูล

บรรจง ปิสัญธนะกูล

“ผมเป็นคนชอบดูหนังมากๆ แน่นอนว่าคนดูหนังเยอะมาตรฐานตัวเองก็ต้องสูงตาม เวลาดูหนังไทยแล้วรู้สึกไม่ได้ดั่งใจ ก็เลยเลือกทำหนังที่เราเองก็อยากดู ถามตัวเองว่าอยากเห็นบนจอใหญ่ไหม ถ้าเราเลือกเรื่องที่เรามีความกระตือรือร้นอยากจะเล่ามากๆ อย่างน้อยก็คงไม่แย่ ผมเชื่ออย่างนั้น”

ผู้ชมจึงได้รสชาติแปลกใหม่ทั้งกับตัวละครและฉากบางฉากที่นึกว่าจะได้เห็นในเรื่องนี้ ไม้เด็ดอย่างการใช้มุขตลกมาเป็นส่วนสำคัญในการดำเนินเรื่อง ผลที่ได้ก็คือเสียงหัวเราะของคนดูดังลั่นโรงภาพยนตร์ในทุกรอบ ถือเป็นการพาตัวเองให้หลุดจากกรอบความคิดเดิมๆ ของผู้กำกับ ว่าภาพยนตร์ที่สร้างจากตำนาน หรือเรื่องเล่านั้นไม่จำเป็นต้องยึดเรื่องราวข้อเท็จจริงให้ถูกต้องที่สุดก็ได้

“ถ้าเป็นในเวอร์ชั่นที่ถูกต้องตามยุคสมัยมีคนทำไปแล้วคือ ‘พี่อุ๋ย นนทรีย์ นิมิบุตร’ ซึ่งทำไว้ได้คลาสสิกมาก แต่เวอร์ชั่นนี้จะมีความกวน ทำเอามันส์ เปิดโอกาสให้

ใส่รายละเอียดสนุกๆ และความคิดสร้างสรรค์ได้เยอะ ตั้งใจว่าจะใส่เต็ม ทำให้เป็นเวอร์ชั่นที่ต้องไม่เหมือนใคร 

“มีบางคนบอกเราว่า ทำไมทำแบบนี้ ไม่เคารพบทประพันธ์เลย ผมพูดตรงๆ ถ้าคุณคิดได้แค่นั้นก็ไม่ต้องดูหนังของผม เพราะว่างานสร้างสรรค์มันต้องเปิดกว้าง จริงๆ การทำหนังมันสามารถเปิดโอกาสให้คิดได้หลายแบบมาก คือถ้าคิดว่ามันต้องเป็นแบบเดียว โลกทัศน์ก็คงแคบเกินไป แต่ถ้าเป็นในแง่คำติ ชม คุณภาพของหนังก็เป็นเรื่องปกติ ต้องมีคนชอบมีคนไม่ชอบ”

เมื่อวัดจากรายได้ในราวๆ 500 กว่าล้านบาท และดูทีท่าว่าจะไม่หยุดอยู่เพียงแค่นี้ ถือเป็นภาพยนตร์ที่สร้างสถิติทำรายได้สูงสุดตลอดกาลของไทย แม้แต่ภาพยนตร์ต่างชาติที่เข้าฉายบ้านเรา ก็ยังไม่มีเรื่องไหนกวาดรายได้ถึงขนาดนี้มาก่อน นี่จึงเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงการตอบรับของผู้คนในวงกว้าง ทั้งยังสร้างปรากฏการณ์ต่างๆ ให้กับวงการภาพยนตร์ไทยมากมาย 

“ผมว่าเรื่องนี้ต้องใช้คำว่าบ้าไปแล้ว คือมันบ้าเสียจนผมไม่กังวลอะไรเลย เพราะว่าเรื่องหน้าคงไม่ได้ 500 ล้านอีกแน่นอน เรื่องนี้มันมีองค์ประกอบหลายอย่างที่ทำให้เป็นแบบนั้น หนึ่งคือความเป็นตำนานของแม่นาค แล้วนำมาพลิกให้เป็นมุมใหม่ ซึ่งคงจะหาเรื่องที่กว้างขนาดนี้ เข้าถึงคนดูได้ขนาดนี้ไม่ได้แล้วก็ได้ เพราะตำนานนี้คนรู้จักทั่วประเทศจริงๆ พอทำออกมาแล้วมันตลกมาก คนพูดกันปากต่อปากอย่างรุนแรง แล้วตอนจบที่เราตีความใหม่มันดันไปโดนใจคนดู จึงดูซ้ำหลายรอบ คือทุกอย่างมันต้องประจวบกันมากๆ ถึงจะออกมาเป็นอย่างนี้

“สมัยก่อนคนจะพูดว่าผมเป็นพวก Perfectionist เวลาคิดอะไรจะเป๊ะว่าต้องถ่ายตามนั้น ต้องได้อย่างนั้น แต่ทุกวันนี้หลักการของผมพยายามจะทดลองในตอนถ่ายทำ ด้วยประสบการณ์ที่มากพอ จนกล้าจะปล่อย กล้าจะอิมโพรไวซ์แบบสุดๆ แต่ต้องทำให้ถูกตัวละคร ไม่ใช่ว่าทุกตัวจะทำได้ อย่างในเรื่องจะเปิดโอกาสให้ “เผือก” ได้พูดไปเรื่อยเปื่อย ถ้าเป็นตัวอื่นที่มีคาร์แร็กเตอร์นิ่งๆ พูดแบบนั้นก็จะดูแปลก ต้องรักษาคาร์แร็กเตอร์ของตัวละครเอาไว้ ถ้าทุกตัวละครปล่อยมุขกันพร่ำเพรื่อก็จะทำลายหนัง ดังนั้นจุดยืนของตัวเรื่องยังต้องมีอยู่ 

“แล้วทุกวันนี้เวลาอยู่หน้ากองตอนถ่ายทำ ถ้าบทเดิมหรือฉากที่จะถ่ายรู้สึกว่าไม่ใช่ ผมกล้าจะเปลี่ยนทุกอย่างเพื่อถ่ายใหม่ ถ่ายให้เสร็จไปก่อน มันอาจจะไม่เวิร์คในตอนนั้น แต่พอไปตัดต่อแล้วมันขำก็มี ซึ่งบางครั้งศาสตร์ของการมั่วๆ มันดีกว่าการตระเตรียมด้วยซ้ำ แต่เราต้องรู้ก่อนว่าเราอยากได้อะไร ถ้ามั่วไปแล้วเอาหมด มันก็เละเหมือนกัน” 

ในวันที่ภาพความสำเร็จของเรื่อง “พี่มาก...พระโขนง” ถูกบันทึกว่าเป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกที่สร้างสถิติใหม่ๆ ในหลากมิติ ส่วนสำคัญนั้นก็มาจากความคิด ความเชื่อ และการลงมือทำ จนส่งให้ชื่อของผู้กำกับอย่าง “โต้ง บรรจง ปิสัญธนะกูล” ถูกพูดถึงมาก...ทั่วทั้งบาง

 

 

การทำหนังเราไม่มีทางรู้ได้เลย