The Soul of Antiques มรดกกาลแห่งเวลา  เอกรินทร์ เปรี่ยนไทย

The Soul of Antiques มรดกกาลแห่งเวลา เอกรินทร์ เปรี่ยนไทย

 “...ของเก่าโบราณหรือแอนทีค (Antique) เป็นสิ่งที่มอบความสุขให้ผู้คนที่ได้เห็นหรือสัมผัส มันถ่ายทอดความงาม เรื่องราวทางประวัติศาสตร์และภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ ทำให้เราเข้าใจตัวตนของความเป็นไทย แสดงเห็นว่าประเทศของเรามีวัฒนธรรมและรสนิยมงดงาม ซึ่งเป็นเรื่องน่าภูมิใจมาก…”

เรื่องของแอนทีคหรือของสะสมโบราณทุกชิ้นมีคุณค่าสะท้อนถึงรากเหง้าของสังคม เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สร้างความรักความผูกพันทางจิตใจให้กับผู้สะสม ส่งต่อให้คนรุ่นหลังสืบต่อไป คุณเอกรินทร์ เปรี่ยนไทย หรือคนในวงการรู้จักกันในนาม  เอก ริเวอร์ ผู้หลงใหลในเสน่ห์เรื่องนี้อย่าลึกซึ้ง เป็นนักสะสมและคัดสรรของเก่าโบราณชั้นดีทั้งไทยและจีน โดยสืบทอดประสบการณ์มาตั้งแต่รุ่นคุณพ่อ ทำให้เขาได้เรียนรู้งานแอนทิคชั้นเลิศ ที่เล่นหากันผ่านตาในระดับเอเชียมาอย่างโชกโชน งานทุกชิ้นที่เขาคัดสรรคจึงถือว่าเป็นงานเกรดพรีเมี่ยมที่หลายคนชื่นชมและอยากครอบครอง

รากฐานจากรุ่นบุกเบิก

คุณเอกเติบโตมาในครอบครัวที่อยู่ท่ามกลางของโบราณมาตั้งแต่เด็ก โดยมีคุณพ่อเป็นต้นแบบและที่รู้จักกันดีในชื่อ 'เถ้าแก่ปุ๊ย' ด้วยความที่ท่านต้องเดินทางไปทำธุรกิจที่ฮ่องกงประจำ จึงซื้อเครื่องลายครามกระเบื้องของสะสมเก่า ๆ กลับมาที่บ้าน คุณเอกรินทร์จึงได้เห็นของเหล่านี้อยู่ในตู้กระจกตั้งแต่เด็ก เพียงแต่ตอนนั้นยังไม่ได้สนใจอะไรมากแค่รู้ว่าที่บ้านมีของสะสมเหล่านี้จำนวนมาก

“คุณพ่อเริ่มสะสมเยอะขึ้น ซื้อมาขายไปจนกลายมาเป็นอาชีพเลี้ยงดูครอบครัว ผมเองมีโอกาสได้ติดตามคุณพ่อไปตามสถานที่ต่าง ๆ ทั้งในไทยและต่างประเทศ ตั้งแต่เวียดนาม ฮ่องกง จีน จำได้ว่าตอนอายุประมาณ 11 ขวบ คุณพ่อพาไปฮ่องกงจากนั้นก็ข้ามพรมแดนเข้าไปในจีน ตอนนั้นผมถือบัตรมอเตอร์ไซค์เข้าไปให้ญาติ เพราะคนจีนสมัยนั้นยังซื้อเองไม่ได้ เนื่องจากข้อจำกัดด้านนโยบายของรัฐ ต้องให้คนนอกซื้อให้ใครที่อยู่ในยุคนั้นก็น่าจะจำได้

“คุณพ่อค้าของเก่าโบราณ ของส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องลายคราม เครื่องกระเบื้องจีน โดยในยุค 90s นักสะสมต่างชาติโดยเฉพาะฝรั่งนิยมของเก่ามากเช่น พวกสมัยซ้อง สมัยหมิง อายุ 500–600 ปี ส่วนของยุคราชวงศ์ชิงที่มีอายุน้อยกว่าสัก 300–400 ปี ยังไม่ค่อยนิยมราคาก็ยังไม่สูง คุณพ่อก็จะซื้อของจากยุคนั้นกลับมาขายที่เมืองไทย

“คุณพ่อพูดภาษาจีนกลางได้ดีจึงสื่อสารกับพ่อค้าจีนได้ ท่านมีพรสวรรค์ในเรื่องนี้มาก เพราะไม่มีโรงเรียนที่ไหนสอน ต้องใช้ประสบการณ์และคอนเนคชั่นล้วน ๆ พอคุณพ่อลงเครื่องกลับไทยก็จะมีนักสะสม เพื่อนฝูง หรือพ่อค้าในวงการมารอรับของเลย

“เมื่อก่อนคุณพ่อเริ่มต้นจากการหิ้วของเดินขายตามสถานที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะที่โรงแรมริเวอร์ซิตี้ ผมได้ติดตามท่านมาบ่อย ๆ จึงได้เรียนรู้เรื่องเหล่านี้มาโดยตลอด ท่านไม่เคยสอนอะไรตรง ๆ แต่เราอยู่กับของพวกนี้จึงค่อย ๆ ซึมซับมาโดยไม่รู้ตัว

“จากที่ต้องหิ้วของขาย ต่อมาคุณพ่อได้มีโอกาสเปิดร้านอยู่ที่ตลาดนัดจตุจักรอยู่หลายสิบปี ลูกค้าหลักเกิน 70% เป็นพ่อค้าหรือเพื่อนฝูงในวงการ ก็จะมาถึงร้านเปิดกล่องกันแต่เช้าวันเสาร์ ใช้ไฟฉายส่องหาของใหม่ ๆ ว่าได้อะไรมาบ้าง ไม่เกิน 7–8 โมงเช้าของก็หมด หลังจากนั้นช่วงสายลูกค้าจะเป็นกลุ่มนักสะสม ส่วนวันอาทิตย์จะเป็นนักท่องเที่ยว ลูกค้าก็จะวนอยู่ประมาณนี้

“จากนั้นปี 2005–2010 ก็ขยับขยายร้านไปอยู่ที่ศูนย์การค้าสีลม แกลเลอเรีย ลูกค้าหลักก็เปลี่ยนไปเป็นพ่อค้าชาวจีน ต้องบอกว่าเป็นยุคที่จีนเริ่มเข้ามาเมืองไทยเยอะเหมือนคลื่นสึนามิเลย เข้ามากวาดซื้อของทุกอย่างที่มีค่า เรียกได้ว่าอะไรก็ขายได้ ซื้อเช้าขายเที่ยง ซื้อเที่ยงขายบ่าย เป็นแบบนั้นจริง ๆ

“จนกระทั่งปัจจุบันเราย้ายร้านมาอยู่พื้นที่ของศูนย์การค้าริเวอร์ซิตี้ เพราะที่นี่สนับสนุนร้านแอนทีคโดยตรง และยังเป็นศูนย์การค้าแอนทีคที่รู้จักกันดีในระดับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ใช่แค่ในไทยนักท่องเที่ยวต่างชาติก็รู้จักดี เราจึงตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่นี่”

จากความฝันนักธุรกิจ สู่การสืบสานธุรกิจของสะสมโบราณ

 คุณเอกมีความฝันในวัยเด็กว่าอยากเป็นนักธุรกิจทำการค้า แต่ยังไม่รู้ว่าต้องค้าขายอะไรเขาจึงเลือกเรียนสายบริหารธุรกิจเริ่มต้นจากโรงเรียนอัสสัมชัญพาณิชยการ เพื่อเป็นพื้นฐานในการดำเนินชีวิต และต่อด้วยการเรียนจบปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยเอแบค

 “พอเรียนจบคุณพ่อก็ชวนไปเรียนต่อเมืองจีนที่ปักกิ่ง เพราะคิดว่าได้ภาษาจีนกลับมาก็น่าจะดี ผมไปเรียนอยู่ที่นั่นประมาณ 3 ปี โดยช่วงสองปีแรกเรียนภาษาเต็มตัว ปีสุดท้ายได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง จึงรู้จักเพื่อนฝูงที่เป็นนักศึกษาจีน สิ่งที่เรียนมาให้ประโยชน์กับผมเยอะ ทั้งความรู้เรื่องธุรกิจที่ช่วยให้คิดเป็นระบบ ได้ภาษาเพิ่ม แล้วก็ได้คอนเนคชั่น ทุกวันนี้เพื่อนหลายคนที่รู้จักกันตอนเรียน ยังไว้ใจให้ผมช่วยดูพอร์ตการลงทุนเกี่ยวกับของสะสมอยู่เลย

“หลังจากกลับมาเมืองไทย ผมยังไม่ได้เข้ามาทำงานกับครอบครัวเต็มตัว อยากลองหาทางของตัวเองก่อน จึงไปสมัครงานข้างนอก ตอนนั้นบริษัทกำลังต้องการคนที่พูดภาษาจีนได้ ผมก็เลยได้เข้าไปทำงานด้านส่งออกอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง

“แต่จุดเปลี่ยนจริง ๆ คือตอนผมอายุประมาณ 30 ตอนนั้นคุณพ่อเปิดร้านอยู่ที่สีลมแกลเลอเรีย แล้วงานที่ร้านก็ยุ่งมาก ผมเข้าไปช่วยเฉพาะเสาร์-อาทิตย์ เห็นเลยว่างานเยอะจริง ๆ ลูกค้าเข้าทุกวัน ช่วงนั้นผมเริ่มสนใจเรื่องการตลาดออนไลน์ก็เลยลองทำเว็บไซต์รับซื้อของเก่าขึ้นมา เพราะการลงสื่อสิ่งพิมพ์มันแพง พอทำเว็บไซต์เสร็จกลับกลายเป็นว่าคนเอาของมาขายที่ร้านทุกวัน จากที่เคยต้องออกไปตามหาของเองกับคุณพ่อ ก็กลายเป็นว่าไม่ต้องออกไปไหนอยู่ร้านก็พอแล้ว

“ธุรกิจดำเนินแบบนี้อยู่หลายปี ก็เริ่มชัดเจนว่าทางเดินชีวิตเราน่าจะอยู่ตรงนี้แหละ คุณพ่อพูดประโยคนึงกับผมว่า ‘อาชีพค้าของโบราณมันไม่ได้เพิ่งมีมาสิบยี่สิบปี แต่มันมีมาเป็นร้อย ๆ ปีแล้ว’ ประโยคนี้มันกระแทกใจมาก ทำให้เราตัดสินใจชัดเจนว่าจะเข้ามาทำเต็มตัว”

คุณค่าที่แท้จริงของการสะสมของโบราณ

ในขณะที่เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง เรื่องของเก่าโบราณกลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้คนเราได้ย้อนกลับในอดีต ไม่ว่าจะเป็น เครื่องลายคราม เซรามิก หรือวัตถุศิลปะต่างๆ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่เริ่มหันมาสนใจคุณค่าและความงดงามรวมถึงการเก็บสะสมของโบราณเหล่านี้

“สำหรับคนที่เริ่มสะสมของโบราณ ต้องถามตัวเองก่อนครับว่าเราต้องการสะสมเพื่ออะไร บางคนเป็นนักสะสมจริงจังเพราะความรักในศิลปะและวัตถุโบราณ มองว่านี่คืองานอดิเรกชื่นชอบความสวยงามและเรื่องราวของชิ้นงาน ซึ่งแม้ของจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นก็ไม่ได้คิดจะขาย

“แต่ก็มีอีกกลุ่มที่มองเรื่องนี้ในเชิงการลงทุน คือสะสมเพราะเห็นโอกาสในการเก็งกำไร คนกลุ่มนี้ก็รักของสะสมเหมือนกันนะครับ เพียงแต่จะให้ความสำคัญกับมูลค่าในอนาคตมากกว่า เช่นของชิ้นนี้กำลังเป็นกระแส มีแนวโน้มราคาจะขึ้น พอราคาดีเมื่อไหร่ก็พร้อมขายทันที

“ถ้าถามว่าของโบราณแค่ไหนถึงมีมูลค่า ความจริงอายุของวัตถุโบราณจริง ๆ แล้วไม่ใช่ปัจจัยหลักของมูลค่า ความเก่าไม่ใช่ตัวตัดสินว่าแพงหรือดี ของบางชิ้นอาจเก่ามากก็จริง แต่ถ้าไม่สวยไม่มีเรื่องราวหรือหายากก็อาจไม่ได้รับความนิยม มีคำพูดหนึ่งที่ผมชอบมากนะครับ คือ เราไม่สามารถย้อนเวลากลับไปอดีตได้ แต่เราสามารถมองเห็นอดีตผ่านวัตถุเหล่านี้ได้’ เพราะฉะนั้นนักสะสมจริง ๆ เขามองที่สตอรี่ครับ

“ในช่วง 8-10 ปีที่ผ่านมาวงการสะสมของเก่าเติบโตขึ้นเยอะมากครับ โดยเฉพาะช่วง 4-5 ปีหลังนี่เห็นได้ชัดเลยว่าราคามันขยับขึ้นเร็วมาก ส่วนหนึ่งมาจากพลังของโซเชียลมีเดีย เพราะเมื่อก่อนของพวกนี้ค่อนข้างเป็นเรื่องเฉพาะกลุ่ม ไม่ค่อยเปิดเผย คนที่ไม่ได้อยู่ในวงการก็ไม่ค่อยรู้จัก

“เมืองไทยจริง ๆ แล้วเป็นแหล่งรวมของเก่าชั้นดีนะครับ โดยเฉพาะของจีนถือเป็นแหล่งสำคัญในระดับโลกเลยก็ว่าได้ เพราะฉะนั้นตอนหลังพอข้อมูลต่าง ๆ เข้าถึงได้ง่ายขึ้น คนทั่วไปเริ่มสนใจมากขึ้น วงการนี้ก็เลยค่อย ๆ ขยายตัว และเติบโตขึ้นตามธรรมชาติ”

เบญจรงค์มากกว่ามรดกทางวัฒนธรรม

เบญจรงค์เป็นงานศิลปะชั้นสูงที่สะท้อนวัฒนธรรมไทยได้เป็นอย่างดี เนื่องจากประเทศไทยมีการค้าขายกับจีนมาตั้งแต่อดีตโดยเฉพาะในสมัยอยุธยา ขณะที่จีนขึ้นชื่อเรื่องการผลิตเครื่องกระเบื้อง เครื่องพอร์ซเลน (Porcelain)  หรือเครื่องเคลือบดินเผาส่งออกไปทั่วโลก เมื่อราชสำนักไทยชื่นชอบของเหล่านี้จึงนำเข้ามาในราชสำนัก ต่อมาได้มีการสั่งผลิตให้เป็นลวดลายและรูปทรงแบบไทย ของเหล่านี้จึงไหลเข้ามาอยู่ในไทยตั้งแต่โบราณ ถือว่าเป็นของที่มีคุณค่าสูง มีนักสะสมตามหามากมายราคาก็เพิ่มขึ้นตามกาลเวลา

 “สาเหตุที่เครื่องเบญจรงค์สมัยรัตนโกสินทร์ได้รับความนิยมมากกว่าสมัยอื่นเช่น สุโขทัยหรืออยุธยาก็เพราะปริมาณการหมุนเวียนของในยุครัตนโกสินทร์มีมากกว่า และเทคโนโลยีการผลิตก็ดีขึ้น ความสวยงามก็มีมากกว่า จึงได้รับความนิยมและมีราคาสูงกว่าครับ

“เวลาจะดูว่าเบญจรงค์ชิ้นไหนมีค่า ไม่ได้ดูแค่ความสวยงามอย่างเดียวแต่มันต้องดูหลายองค์ประกอบ ทั้งความหายาก ประวัติของชิ้นงาน แล้วต้องอาศัยประสบการณ์ของนักสะสมด้วย อย่างที่นิยมมากก็จะเป็นเบญจรงค์ลายน้ำทอง หรือพื้นน้ำทอง ซึ่งในอดีตถือเป็นของเจ้านายระดับสูง เพราะฉะนั้นเหล่านี้ก็เลยมีคุณค่าและหายากมาก

“บางคนอาจเห็นของเก่าตามร้านญี่ปุ่น หรือร้านวินเทจอื่น ๆ แล้วไม่แน่ใจว่าเก่าจริงมั้ยหรือเป็นของทำเก่า ตรงนี้ต้องใช้ประสบการณ์ดูเช่น ถ้าเป็นโลหะก็จะมีปฏิกิริยากับอากาศหรือออกซิไดซ์ตามกาลเวลา พวกนี้ดูได้จากลักษณะการเสื่อมสภาพ

“ชามเบญจรงค์ที่ผมอยากนำเสนอในครั้งนี้ เป็นพื้นน้ำทอง 2 ใบครับ เพิ่งได้มาใหม่เลยเรียกว่า 30 ปีจะมีโอกาสเห็นสักครั้ง แล้วถ้านักสะสมท่านอื่นซื้อไปแล้วกว่าจะได้เห็นอีกครั้งก็คงอีกหลายสิบปีเลยครับ

“ใบนี้ถ้าใครอยู่ในวงการจะรู้กันดีว่า ลายนกไม้’ เป็นลายที่มีคุณค่ามาก ถือเป็นลายอันดับต้น ๆ ซึ่งถ้าย้อนไปก็จะมี ชามเจ้าตาก’ ที่เป็นลายนกไม้นี่แหละอยู่ในพิพิธภัณฑ์พระนคร ตรงก้นชามจะมีอักษรจีน 6 ตัว เขียนว่า ต้าชิงเจียชิ่งเหนียนจื้อ’ แปลว่า ง ‘ราชวงศ์ชิง รัชศกเจียชิง’ ชามพวกนี้น่าจะเป็นของมงคล หรือราชสำนักจีนส่งมอบให้กับราชสำนักสยาม

“ความพิเศษของชามฝาใบนี้ก็คือความสวยงามของพื้นน้ำทอง และคาดว่าน่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้ราชสำนักไทยสั่งทำเบญจรงค์ลายน้ำทองในภายหลัง ทั้งสองใบนี้คุณภาพสูงมาก เนื้อกระเบื้องขาวสะอาดสมบูรณ์มาก แม้อายุจะเกิน 200 ปี แล้วก็ตามครับ”

ของมงคลที่รอพบเจ้าของแท้จริง

หนึ่งในความประทับใจที่สุดในชีวิตการทำงานของคุณเอกคือการได้ อุ่ยท้อผ่อสัก’ (韋馱菩薩) (เป็นโพธิสัตว์องค์หนึ่งที่มีหน้าที่รักษาพระพุทธศาสนาปกป้องคุ้มครองศาสนา) เข้ามาที่ร้านถือเป็นกำไรชีวิตอย่างแท้จริง เขามองว่าท่านเลือกที่จะมาอยู่ที่นี่ เพื่อรอให้หาเจ้าของตัวจริงในอนาคต แม้ว่าวันนี้ยังไม่พบก็ตาม

 “วันแรกที่ได้มาก็มีคนเห็นแล้วสนใจ ตอนนั้นเรายังไม่รู้ว่าท่านสำคัญแค่ไหน จนพ่อค้าชาวจีนแวะมาหาเรื่อย ๆ มาขอซื้อ แต่คุณพ่อไม่เปิดราคาอยากเก็บไว้ก่อน พอรู้ว่าเราไม่ขายพวกเขาจึงค่อย ๆ เผยว่าท่านมีความสำคัญมาก

“‘อุ่ยท้อผ่อสัก’ หรือพระโพธิสัตว์องค์นี้ อยู่ในสมัยรัชศกเฉียนหลง อายุราว 200 กว่าปี เป็นองค์พอร์ซเลน (Porcelain) หรือกระเบื้อง ลักษณะคล้ายสำริด สูงประมาณ 76 ซม.อยู่ในปางถือวัชรคฑาวุธชี้ขึ้นฟ้า ซึ่งเป็นปางสำคัญ เพราะในอดีตจนถึงปัจจุบันจะถูกตั้งไว้เฉพาะในอารามหลวงเท่านั้น ถ้าเป็นวัดทั่วไปจะถือวัชรคฑาวุธปักลงพื้น ดังนั้นท่านน่าจะเคยประดิษฐานในวัดหลวงสำคัญของจีน และถือเป็นเทวรูปที่ล้ำค่าอย่างยิ่ง

“ด้านศิลปะ ใบหน้าท่านเปี่ยมเมตตางดงาม การสร้างต้องใช้ฝีมือช่างขั้นสูงทั้งการปั้นการลงสีและการเผา จึงออกมาเป็นผลงานที่สมบูรณ์ได้ขนาดนี้ ของเหล่านี้เป็นของมงคลมีบารมีในตัวเอง และจะนำสิ่งดี ๆ มาสู่เจ้าของ บางชิ้นเหมือนเลือกเจ้าของเอง เก็บไว้ก็ถือว่าเป็นสิริมงคลต่อผู้สะสม”

เสน่ห์และคุณค่าเหนือกาลเวลา

คำว่า ‘ของเลือกเจ้าของ’ คุณเอกมีความเชื่อนี้อย่างสูง เนื่องจากเกิดประสบการณ์กับตัวเองโดยตรง คือมีแจกันคู่หนึ่งที่อยากได้มานานมากแต่ยังไม่มีโอกาสครอบครอง วันหนึ่งได้เข้าไปถามเจ้าของร้านก็ตกใจเนื่องจากได้ขายไปแล้วให้กับนักสะสมผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเสียแล้ว จึงคิดว่าคงไม่มีโอกาสได้เห็นอีกแล้ว

“ผ่านไปสัก 2-3 ปี อยู่ ๆ แจกันคู่นี้ก็ปรากฏตัวอีกครั้ง ในงานประมูลขนาดใหญ่ที่ไม่ใช่มีแต่ของเก่า แต่รวมทุกอย่าง ทั้งเฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์สำนักงาน เครื่องใช้ต่าง ๆ มีสินทรัพย์หลากประเภท พูดง่าย ๆ คือเป็นงานขายทอดตลาดแบบล้างโกดัง วันนั้นผมเดินดูไปเรื่อยแล้วก็สะดุดตากับแจกันคู่หนึ่งวางอยู่บนพื้น ไม่มีป้ายเด่นไม่มีใครสนใจ เปิดราคาประมูลเริ่มต้นแค่ 1,000 บาท

“คนในงานส่วนใหญ่ก็ไม่รู้ว่ามันคือของมีค่า บางคนคงคิดว่าเป็นแจกันธรรมดา สุดท้ายมีคนสู้ราคากันอยู่ไม่กี่ราย แล้วก็ปิดประมูลที่ราว 5 แสนบาท จึงได้แจกันคู่นี้มา ปัจจุบันอยู่ข้างกันกับองค์ ‘อุ่ยท้อผ่อสัก’นั่นเอง แต่เมื่อเทียบกับคุณค่าที่แท้จริงแล้วถือว่าคุ้มมาก เรื่องของแจกันคู่นี้กลายเป็นตำนานเล็ก ๆ ในวงการของเก่าโบราณ เพราะมันจุดประกายให้นักสะสมหน้าใหม่หลายคนเริ่มหันมามองของเก่า ว่าแต่ละชิ้นมีเรื่องราว มีเสน่ห์ และอาจซ่อนคุณค่าเกินกว่าที่ตาเห็น

“ในบ้านเรา จริงๆ แล้วมีของสะสมที่มีคุณค่ามากมาย ซ่อนอยู่ตามบ้านตามตู้เก็บของของคนรุ่นก่อน บางชิ้นสำคัญขนาดที่ว่า ถ้าไปถึงตลาดประมูลต่างประเทศก็ทำราคาสูงลิ่วได้เลย อย่างเมื่อราว 2-3 ปีก่อน ผมจำได้ว่ามีอยู่ชิ้นหนึ่งถูกนักสะสมไทยส่งออกไปประมูลที่ฮ่องกง ผลคือขายได้ราคาประมาณ 18 ล้านบาท ซึ่งก็ถือว่าไม่น้อยแล้วนะ แต่เรื่องยังไม่จบเพราะคนที่ซื้อไปก็เป็นพ่อค้าในวงการเหมือนกัน เขาเก็บของไว้ไม่นานแค่ราวครึ่งปี แจกันใบนี้ก็ไปโผล่อยู่ในงานประมูลใหญ่ที่ปักกิ่ง คราวนี้ราคาทะยานขึ้นไปถึงกว่า 60 ล้านบาท ฟังแล้วก็อดเสียดายไม่ได้ ของชิ้นนี้ในตอนแรกก็มาจากเมืองไทยเราแท้ ๆ

“เราก็ดำเนินธุรกิจนี้มากกว่า 50 ปีผ่านช่วงต่าง ๆ ทั้งช่วงที่เศรษฐกิจดี ช่วงที่เศรษฐกิจแย่มาโดยตลอด แต่สุดท้ายแล้วของเหล่าเนี้ยมันก็จะเพิ่ม value ไปตามกาลเวลา มันมีขึ้นบ้างลงบ้างตามภาวะเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามมันยังมีราคา อยู่ที่ว่าในตอนนั้น ตลาดมีความนิยมในอะไรราคามันก็มีความเปลี่ยนแปลง แต่แน่นอนว่ามันเป็นของสะสมที่เราจับต้องได้ ลงทุนได้ แล้วก็เป็นสิ่งสะสมที่สามารถที่จะเอาชนะเงินเฟ้อได้ครับ”

 

The Soul of Antiques มรดกกาลแห่งเวลา เอกรินทร์ เปรี่ยนไทย