The Power of Storytelling ผลงานที่ไม่จำกัดอยู่แค่ตัวอักษร ของชาติ กอบจิตติ

The Power of Storytelling ผลงานที่ไม่จำกัดอยู่แค่ตัวอักษร ของชาติ กอบจิตติ

การสัมภาษณ์ครั้งนี้เป็นวาระแห่งชาติ เพราะชาติ กอบจิตติ คือศิลปินแห่งชาติที่เรารอคอยติดตามอยากสัมภาษณ์มานาน วันนี้เราทำสำเร็จเรามีโอกาสได้มาเยือนบ้านของน้าชาติที่จังหวัดนครราชสีมา บ้านสวนในบรรยากาศที่ร่มรื่นเงียบสงบ บนเนื้อที่หลายไร่ที่เต็มไปด้วยต้นไม้นานาชนิด และที่ขาดไม่ได้คือสุนัข ต้นตอเรื่องเล่าหลายเรื่อง ซึ่งท่านเลี้ยงไว้ถึงเจ็ดตัว พื้นที่แห่งนี้เมื่อก่อนเป็นไร่นาแห้งแล้ง แต่ปัจจุบันกลับกลายเป็นบ้านสวนกลางป่าที่น่าอยู่ราวกับรีสอร์ท และเป็นที่ทำการออฟฟิศ PhanMaBa แบรนด์สินค้าแนวแฟชั่น ที่ชื่อแบรนด์ต่อยอดมาจากวรรณกรรมชื่อดัง

ชาติ กอบจิตติ ผลิตงานเขียนชั้นดีออกมามากมายจนได้รางวัลซีไรต์ 2 สมัย จากหนังสือเรื่อง “คำพิพากษา” และ “เวลา” ในเวลาต่อมาได้เป็นศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ ปี พ.ศ. 2547 ซึ่งถือเป็นรางวัลอันทรงเกียรติของศิลปินไทย

เส้นทางชีวิตและการค้นพบตัวเอง

น้าชาติในวัยเด็กเกิดที่จังหวัดสมุทรสาคร ครอบครัวชนชั้นกลางขายของชำอยู่ริมคลองหมาหอน ท่านเริ่มเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนวัดใหญ่บ้านบ่อ แต่ยังไม่ทันได้เรียนจบพ่อกับแม่ต้องไปทำงานที่จังหวัดปทุมธานี จึงต้องมาอาศัยอยู่กับยายที่อำเภอมหาชัยจนกระทั่งเรียนจบป. 7 หลังจากนั้นได้มาเรียนต่อที่กรุงเทพที่โรงเรียนปทุมคงคา 

“ผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือตั้งแต่ช่วงเรียนอยู่มัธยม เนื่องจากเราอยู่คนเดียวก็อ่านมาเรื่อย ๆ นอกจากนี้ยังชอบสะสมหนังสือ พอขึ้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เริ่มรู้ว่าตัวเองชอบเขียน เพราะเราอ่านมากพอเห็นผลงานคนอื่นก็คิดว่างานนี้ตัวเองก็เขียนได้เหมือนกัน พอเรามีสมุดปกแข็งก็ลองเอามาเขียนนิยาย ตอนเช้ามาโรงเรียนเพื่อนก็ขออ่านเรื่องที่เราเขียนก็เลยต้องเขียนมาเรื่อย ๆ ผมเริ่มรู้ว่าตัวเองชอบการเขียนหนังสือเพราะในด้านนี้มีการเรียนรู้เร็วกว่าคนอื่น รู้แม้กระทั่งว่าทำอาชีพอื่นคงไม่ได้นอกจากการเขียนหนังสือ

“หลังจากเรียนจบชั้นมัธยมผมเข้าเรียนที่วิทยาลัยเพาะช่าง อยู่ที่นี่ผมคบเพื่อนทุกประเภททั้งเรียนเก่งเรียนไม่เก่ง ส่วนเรื่องผลการเรียนของตัวเอง ผมไม่ค่อยเครียดคือเรียนให้สนุก แค่สอบให้ผ่าน คือไม่ทำให้พ่อแม่ต้องมานั่งเสียใจผมคิดว่าน่าจะพอแล้ว แต่มาถึงตรงนี้จริง ๆ เราก็ไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นนักเขียน จากเด็กชอบเข้าห้องสมุดอ่านงานเขียนแทบทุกประเภท อยากเป็นนักเขียนตั้งแต่เด็ก หาตัวตนเจอเร็วและมุ่งมั่นมาทางนี้ เพราะโลกแห่งความจริงการดำรงชีวิตด้วยการเขียนหนังสืออย่างเดียวมันไม่ง่าย

“พอเรียนจบจากเพาะช่าง ยังไม่ได้ทำอาชีพนักเขียน แต่ต้องมาทำกระเป๋าขายในตอนกลางวัน พอกลางคืนก็เขียนหนังสือเรารู้ว่าอาชีพหนังสืออย่างเดียวมันอยู่ไม่ได้ เพราะผมไม่ได้เขียนแนวแบบโรแมนติกหรือนิยาย เราอยากเขียนสิ่งที่ชอบ แต่บางทีคนอื่นเขาไม่ชอบถ้าเขียนไปก็ขายไม่ได้ ก็ต้องหางานอื่นมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องไปก่อน”

งานเขียนเปลี่ยนชีวิต "น้าชาติ"

แม้จะทำงานอื่นไปด้วยและเขียนหนังสือไปด้วย แต่งานเขียนเรื่องสั้นของน้าชาติก็ได้รับการตีพิมพ์มาโดยตลอดและได้รับรางวัลชื่อการะเกดจากเรื่องสั้นชุด “คลื่นหัวเดิ่ง” (พ.ศ.2522) และอีก 2 ปีต่อมางานเขียนของน้าชาติก็ได้รับรางวัลซีไรท์จากนวนิยาย “คำพิพากษา” ระหว่างนี้น้าชาติได้เขียนงานออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ที่ถือว่าเป็นงานมาสเตอร์พีชที่คนในวงการวรรณกรรมชื่นชมคือ “พันธุ์หมาบ้า” (พ.ศ. 2531) และมาได้รับรางวัลซีไรท์เป็นสมัยที่สองอีกครั้งจาก นวนิยายเรื่อง “เวลา” (พ.ศ. 2536)

“ความรู้สึกแรกในครั้งที่งานได้ตีพิมพ์คือดีใจมากเหมือนเราได้มาถึงจุดมุ่งหมายที่เราหวังไว้ แต่ก็ยังไม่ได้ประสบความสำเร็จ เมื่องานเริ่มเป็นที่รู้จักเหมือนกับเราได้ลงสนามใหญ่ ผมก็สามารถเขียนงานตามที่เราอยากเขียนได้ ซึ่งมันอาจจะไปตรงจริตของคณะกรรมการพอดีจึงได้รับรางวัลกลับมา คือผมไม่ได้หวังหรอกว่าจะได้รับรางวัลบ่อย มันคงเป็นวาสนาร่วมด้วย แต่สิ่งหนึ่งไม่ว่าจะทำงานอะไรก็ตามแต่คือทำให้เต็มที่ทำให้สุดความสามารถ รางวัลหรือผลตอบแทนมันมาแน่นอน ในช่วงหลังพอเริ่มมีคนรู้จักมันไม่กดดันแล้วแต่เวลาของตัวเองเริ่มมีน้อยลงเรื่อย ๆ

“ช่วงที่เขียนเรื่อง พันธุ์หมาบ้า เพราะอยากลบคำสบประมาทว่าเราเขียนเป็นแต่เรื่องสั้น เริ่มเขียนเป็นตอนส่งให้นิตยสาร ลลนา เนื้อเรื่องมันเป็นแนวสากลที่พูดเรื่องเกี่ยวกับเพื่อน เป็นความแปลกใหม่ในสมัยนั้นก็ถือว่าเป็นการสะท้อนมุมหนึ่งของสังคมได้ดี ซึ่งสังคมปัจจุบันเราต้องคบเพื่อนอยู่แล้ว แม้จะผ่านมาหลายปีแต่เด็กรุ่นใหม่ก็ยังอ่านพันธุ์หมาบ้ากันอยู่ ในทางกลับกันถ้าผมเขียนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์คงมาไม่ได้ไกลขนาดนี้

“เพื่อนที่เป็นตัวละครอยู่ในเรื่องพันธุ์หมาบ้า ตอนนี้ยังมีเหลือยู่ 3-4 คน ในสมัยก่อนที่ผมเรียนพวกเราคบเป็นเพื่อนด้วยความจริงใจ คือช่วยเหลือดูแลกันแทบทุกเรื่อง ส่วนเพื่อนใหม่ก็มีเข้ามาเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันคำว่าเพื่อนจนถึงวันนี้มันทำให้ได้รู้ว่าเด็กรุ่นใหม่คิดอะไรกันอยู่

“ผมว่าเด็กสมัยนี้ยังมีความเป็นขบถอยู่ ความจริงทุกรุ่นมันจะมีอยู่ในตัวเอง ในช่วงวัยรุ่นเราก็มักจะทำในสิ่งที่ผิดแปลก พ่อแม่ก็คอยห้ามปราม พอเราโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ก็อย่าใจแคบกับเด็กเช่นกัน มันเหมือนกับสังคมที่เราอยู่กันทุกวันนี้มีเรื่องมากมายที่ควรต้องแก้ไข แม้ว่าเราไม่ได้ให้อะไรกับสังคมมากมายนักแต่เราต้องสร้างสรรค์สิ่งที่ดี เราไม่มีทางรู้เลยว่าสังคมจะไปในทิศทางที่ดีขึ้นรึเปล่า แต่เราก็ต้องหาทางแก้ไขไม่ให้ทำผิดซ้ำผิดซาก

“การจะเขียนหนังสือขึ้นมาสักเล่มหนึ่งผมว่า นักเขียนแต่ละคนมีความเป็นตัวตนไม่เหมือนกัน รสนิยมไม่เหมือนกัน แนวทางการทำงานจึงต่างกัน ยกตัวอย่างการกินก๋วยเตี๋ยวการปรุงของแต่ละคนยังไม่เหมือนกันเลย หรือการฟังเพลงบางคนชอบฟังเพลงแจ๊ส บางคนชอบร็อค หรือ แนวฮิปปี้ในสมัยก่อน ก็เหมือนกับรสนิยมของเรามันแตกต่างกันออกไปใครชอบแนวทางไหนก็ไปทางนั้น

“ส่วนสไตล์การเขียนเราต้องดูก่อนว่าจะเขียนแบบไหน ใช้วิธีการเล่าอย่างไร หนังสือ พันธุ์หมาบ้า กับ เวลา จึงต่างกัน ถ้าเอาชื่อออกไม่มีใครรู้หรอกว่าผมเขียน ด้วยเนื้อของงานมันกำหนดว่าเราต้องเขียนแบบไหน แต่สไตล์การทำงานก็ทำตามที่เราวางไว้ โดยส่วนตัวผมจะใช้ภาษาง่าย ๆ ไม่ยาวอ่านแล้วเข้าใจง่าย ผมจะใช้เวลาเขียนไม่นานแต่ใช้เวลาคิดนาน

“ที่ผ่านมางานเขียนของผมก็ได้รับรางวัลมากมาย ส่วนหนังสือที่ไม่ได้รางวัลก็มีมากเช่นกันแต่มันขายตัวมันเองเรื่อย ๆ หนังสือที่ได้รางวัลหลายโรงเรียนก็นำไปให้เด็กใช้เรียนด้วย งานเขียนบางเรื่องมีการนำมาตีความใหม่เป็นภาพยนตร์หรือละคร ผมคิดว่าเนื้อหาหรือแก่นเรื่องเปลี่ยนไม่ได้ แต่เนื้อหาบางส่วนพอเปลี่ยนได้ และต้องมีความคลาสสิกของตัวเรื่องอยู่ด้วยซึ่งมันอาจจะเกิดขึ้นหรือไม่ก็ได้เช่นกัน ถ้าเราไม่ให้เขาแก้มันจะกลายเป็นงานที่ไม่มีการต่อยอดก็จะไม่เกิดการสร้างสรรค์ต่อ”

การต่อยอดสู่ธุรกิจ

การเป็นนักเขียนไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่การเขียนหนังสือเพียงอย่างเดียว แต่น้าชาติได้ก่อตั้งธุรกิจแฟชั่นเครื่องแต่งกาย ข้าวของเครื่องใช้ โดยมีชื่อร้านว่า พันธุ์หมาบ้า สถาน ตั้งอยู่ภายในตลาดนัดรถไฟศรีนครินทร์ เป็นการต่อยอดแบรนด์ PhanMaBa ที่มาจากวรรณกรรม ซึ่งท่านเป็นคนจัดการดูแลเองแทบทั้งหมด ตั้งแต่คอนเซ็ปต์ไปจนถึงการตลาด

 “นอกจากงานเขียนผมทำงานอื่นไปด้วยทำให้เวลาว่างไม่ค่อยมีเท่าไหร่ แต่ทำงานมันสนุกชีวิตมันไม่น่าเบื่อ ถามว่ามันเหนื่อยไหมก็เหนื่อย ในช่วงที่แบรนด์เสื้อผ้าใช้ชื่อพันธุ์หมาบ้า ตอนแรกผมไปจดลิขสิทธิ์โลโก้สินค้ารูปหมา อยากใช้คำว่า Mad Dog ปรากฏว่ามีคนใช้เยอะมาก จึงจดเป็นภาษาอังกฤษชื่อ PhanMaBa ก็จะมีทั้ง เสื้อ รองเท้า แก้วกาแฟ เปิดขวด กระเป๋า หมวก โคมไฟ ทำเยอะมากกลายเป็นแบรนด์หนึ่งที่เราสร้างมา เราทำสิ่งที่เราชอบใช้ เราก็ดูเองทุกอย่าง เขียนสตอรี่เอง ซึ่งการสร้างแบรนด์มันมาจากสตอรี่การดำเนินการเล่าเรื่องมันก็มาจากประสบการณ์เราทั้งนั้น เราไม่ต้องสร้างสตอรี่ใหม่คนรู้จักอยู่แล้วแบรนด์มันก็เลยเติบโตไปได้เร็ว

“ด้วยเทคโนโลยีด้านการสื่อสารทำให้การทำธุรกิจเดี๋ยวนี้มันง่ายขึ้น ผมอยู่อำเภอปากช่องสั่งงานแทบไม่ต้องเข้ากรุงเทพเลย ต่อไปผมว่าคนเราจะใช้ประโยชน์จากอินเตอร์เน็ตในการทำงานมากขึ้น คนต่างจังหวัดไม่จำเป็นต้องเข้าไปทำงานในกรุงเทพ อยู่ที่บ้านก็สามารถทำงานมีรายได้ รถไม่ติดไม่วุ่นวายด้วย สมัยก่อนนักเขียนทำงานจะส่งงานแต่ละครั้งลำบาก เดี๋ยวนี้ใช่ส่งอีเมล์สบายทำอะไรก็เร็ว แต่มันก็ต้องแลกมาด้วยการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจสิ่งพิมพ์ที่ถดถอย

“ชีวิตการเป็นอาชีพนักเขียนผมบอกเลยว่าตอนนี้ถ้าสามารถอยู่ในท็อป 5 ของประเทศตรงนี้คุณอยู่ได้สบาย แต่ถ้าหลุดจากตรงนี้ไปเริ่มไม่รอด ทุกประเทศมันมีนักเขียนอยู่แต่ในความเป็นจริงต้องถามว่าเขาอยู่ได้รึเปล่า เพราะปัจจุบันมีนักเขียนหน้าใหม่เกิดขึ้นมาเยอะมาก แต่การจะหาพื้นที่ลงในรูปแบบเดิมมันยาก เพราะสำนักพิมพ์ นิตยสาร สื่อสิ่งพิมพ์ทั้งหลายเริ่มปิดตัวลงไปเรื่อย ๆ แต่ตอนนี้มีพื้นที่ออนไลน์นักเขียนก็ต้องไปลงพื้นที่ตรงนั้นดัดแปลงให้เหมาะสมต่อไป

“สิ่งที่น่าเศร้าของคนเป็นนักเขียนคือคนไม่อ่านงานของเรา แต่ผมยังโชคดีที่มีคนติดตามอ่านงานอยู่ หน้าที่ของนักเขียนจึงต้องทำงานในหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด สำหรับผมในอนาคตน่าจะมีผลงานออกมาสักหนึ่งเรื่องด้วยความที่เป็นคนคิดเยอะ ว่าต้องเขียนแบบไหนอย่างไรทำให้ไม่รู้ว่าจะเสร็จเมื่อไหร่ต้องคอยติดตามกันต่อไป”

มุมมองนักเขียนผู้ไม่เคยหยุดสร้างสรรค์

ในฐานะศิลปินและนักเขียนผู้ผ่านยุคสมัยมาอย่างยาวนาน น้าชาติมองว่าศิลปะในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก จากที่เมื่อก่อนมีงานแสดงเพียงปีละไม่กี่ครั้งและกินระยะเวลานาน ทำให้ศิลปินเป็นที่จดจำ แต่ในยุคนี้ศิลปะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันและเป็นเหมือนแฟชั่น ทั้งในเรื่องของการแต่งกาย งานเขียน หรือแนวเพลง อย่างไรก็ตาม ตัวน้าชาติเองก็ยังคงหลงใหลในความคลาสสิกของศิลปะแบบโบราณ และยังคงให้ความสำคัญกับความเป็นไทยที่เปี่ยมด้วยเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์

 “ในอนาคตผมคิดว่าเมื่ออายุมากขึ้นจะพยายามแสดงงานเดี่ยวที่ใหญ่กว่าเดิม เป็นการรวมงานทั้งเก่าและใหม่จากการเดินทางในฐานะศิลปินมาตลอดชีวิตว่ามีที่มาอย่างไร คือยิ่งแก่ก็ต้องรีบทำ เพราะถ้าย้อนกลับไปผมเสียดายเวลาในวัยเด็กมากเพราะผมไม่ค่อยขยัน มัวแต่นอนฝันว่าตัวเองเป็นแบบนี้แต่ไม่ทำ ตอนนี้มีอะไรที่อยากทำจึงต้องรีบทำ

“คนเราพออายุมากขึ้นจะมีปัญหาเรื่องสังขารผมมีปัญหาเรื่องสายตา ตอนนี้ผมทำงานทุกวันจึงรู้ว่าเวลามันเหลือน้อยลงทุกที จึงอยากทำงานให้มันคุ้มกับที่เสียไป

“ผมอยากบอกหลายคนว่าการจะประสบความสำเร็จคุณต้องทำให้ดีที่สุด การทำงานต้องทำให้ดีกว่าตอนนี้พอถึงจุดหนึ่งมันจะไปเรื่อย ๆ มีคำโบราณที่ว่าไว้มันจริงหมดเลยคือเดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด ทุกอย่างที่เคยหัวเราะมันเป็นแบบนั้นจริง ๆ เพราะผู้ใหญ่เขาผ่านประสบการณ์มาก่อนแล้ว ทุกอย่างมันเป็นแบบนั้นจริง จึงอยากให้ทุกคนตั้งใจมุ่งมั่นเชื่อในตัวเองแล้วชีวิตจะดีแน่นอน”

The Power of Storytelling ผลงานที่ไม่จำกัดอยู่แค่ตัวอักษร ของชาติ กอบจิตติ