
ผู้ลี้ภัยบนแผ่นดินใหม่: ผลกระทบและทางออกเชิงนโยบายของรัฐ โดย ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
วันที่ 20 มิถุนายนของทุกปีคือ “วันผู้ลี้ภัยโลก” ที่สหประชาชาติประกาศขึ้น เพื่อเตือนใจประชาคมโลกว่ายังมีผู้คนจำนวนมหาศาลต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนโดยไม่สมัครใจเพียงเพราะชีวิตของพวกเขาไม่ปลอดภัยอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการเผชิญภัยจากสงคราม ความรุนแรง การถูกกดขี่ หรือปัญหาอื่น ๆ ที่ผลักดันให้พวกเขาต้องเดินทางข้ามพรมแดนไปสู่แผ่นดินใหม่โดยไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร
วิกฤตผู้ลี้ภัยเป็นปัญหาเรื้อรังที่ส่งผลลึกซึ้ง ผู้พลัดถิ่นและประเทศที่ให้พักพิงต้องเผชิญความท้าทายในการจัดสรรทรัพยากร ดูแลความมั่นคง และรักษาสมดุลระหว่างหลักมนุษยธรรมกับเสถียรภาพภายใน ความเข้าใจในต้นเหตุ โครงสร้าง และบริบทของสถานการณ์นี้จึงเป็นกุญแจสำคัญในการร่วมกันแสวงหาทางออกที่ยั่งยืน เป็นธรรม และเคารพในคุณค่าความเป็นมนุษย์ของทุกฝ่ายอย่างแท้จริง
1.ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการรับผู้ลี้ภัย
การเปิดประเทศเพื่อรับผู้ลี้ภัยจำนวนมากในระยะเวลาสั้นโดยเฉพาะในช่วงวิกฤตเฉียบพลัน อาจก่อให้เกิดปัญหาหลายด้าน อย่างด้านเศรษฐกิจที่ประเทศเจ้าบ้านต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในการจัดหาทรัพยากรขั้นพื้นฐาน อาทิ อาหาร ที่พักพิง การดูแลสุขภาพ และการศึกษาซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณูปโภคและงบประมาณของประเทศ
ในด้านสังคม การเพิ่มขึ้นของประชากรผู้ลี้ภัยอาจก่อให้เกิดความตึงเครียดกับชุมชนท้องถิ่น โดยเฉพาะเมื่อมีความแตกต่างทางวัฒนธรรม ภาษา หรือความเชื่อซึ่งอาจนำไปสู่ความขัดแย้งและปัญหาในการอยู่ร่วมกัน นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงที่กลุ่มผู้ไม่หวังดีอาจแฝงตัวเข้ามาสร้างปัญหาด้านความมั่นคง อย่างการก่ออาชญากรรมหรือก่อการร้ายด้วย
กรณีตัวอย่างที่ชัดเจนของผลกระทบจากการรับผู้ลี้ภัยสามารถเห็นได้จากสถานการณ์ชายแดนไทย–เมียนมา โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดตากซึ่งมีผู้ลี้ภัยชาวกะเหรี่ยงจำนวนมากอาศัยอยู่ แต่ในช่วงต้นปี 2568 รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้ยุติการสนับสนุนงบประมาณด้านสาธารณสุขสำหรับค่ายผู้อพยพ ส่งผลให้หน่วยแพทย์ในค่ายอย่างแม่หละและอุ้มผางต้องปิดบริการผู้ป่วยนอก ยุติการรักษาพยาบาลในหลายส่วนอย่างกะทันหัน
เมื่อความช่วยเหลือจากต่างประเทศขาดหาย ระบบสาธารณสุขของประเทศไทยโดยเฉพาะโรงพยาบาลในพื้นที่ชายแดนอย่างแม่สอด แม่ระมาด และอุ้มผางจึงต้องเข้ามารับภาระแทนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ บุคลากรทางการแพทย์ในบางพื้นที่ต้องดูแลคนไข้จำนวนมากเกินขีดจำกัดที่ระบบจะรองรับได้ ส่งผลให้เกิดความแออัดของผู้ป่วยและคุณภาพการให้บริการที่ลดลง
กรณีนี้แสดงให้เห็นว่าการจัดการผู้ลี้ภัยต้องพึ่งพาทรัพยากรที่มั่นคงและต่อเนื่อง หากประเทศเจ้าบ้านขาดระบบสนับสนุนภายในที่เข้มแข็งหรือต้องพึ่งพาการช่วยเหลือจากต่างประเทศมากเกินไป เมื่อการสนับสนุนจากต่างประเทศถูกตัดขาดแล้ว การดูแลผู้ลี้ภัยย่อมเกิดปัญหาทันทีทั้งในแง่ของสุขภาพ ความมั่นคง และภาระของรัฐในระยะยาว
ปัญหายิ่งซับซ้อนขึ้นเมื่อผู้ลี้ภัยจำนวนมากไม่มีแนวโน้มที่จะสามารถกลับประเทศได้ในเร็ววันเนื่องจากสถานการณ์ในบ้านเกิดยังไม่คลี่คลาย ทั้งยังไม่มีกรอบเวลาชัดเจนว่าการพักพิงจะสิ้นสุดเมื่อใด สิ่งนี้ก่อให้เกิดแรงกดดันต่องบประมาณ ระบบสาธารณูปโภค และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในระยะยาว อีกทั้งยังสร้างความไม่มั่นคงในพื้นที่ชายแดนซึ่งเป็นเขตเปราะบางต่อปัญหาความมั่นคงและอาชญากรรมข้ามชาติ
2.ข้อเสนอแนะในการจัดการผู้ลี้ภัย
การรับผู้ลี้ภัยเป็นภาระหน้าที่ที่ท้าทายสำหรับทุกประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการรับผู้ลี้ภัยจำนวนมากในช่วงเวลาสั้นหรือวิกฤตเฉียบพลันซึ่งอาจส่งผลกระทบในหลายด้าน ดังนั้นเพื่อให้การรับผู้ลี้ภัยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ประเทศต่าง ๆ จึงต้องมีกระบวนการจัดการทรัพยากรต่าง ๆ และระบบการดูแลอย่างทั่วถึงเป็นธรรม โดยมีข้อเสนอแนะในการจัดการผู้ลี้ภัย ดังต่อไปนี้
แยกแยะและคัดกรองอย่างเป็นธรรม
การรับผู้ลี้ภัยอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ประเทศต้องมีกระบวนการคัดกรองที่ชัดเจนและมีมาตรฐานสูง โดยใช้หลักฐานและข้อมูลที่น่าเชื่อถือในการพิจารณาว่าผู้ลี้ภัยรายใดได้รับผลกระทบจากความรุนแรงหรือการข่มเหงจริง ๆ และไม่มีทางออกอื่น หรือผู้ลี้ภัยรายใดที่อาจอพยพเข้ามาโดยแอบแฝงเจตนาไม่บริสุทธิ์ เช่น การก่อการร้าย หลบหนีมาตรการกฎหมาย กระบวนการนี้จะช่วยลดความเสี่ยงด้านความมั่นคงและป้องกันการใช้ระบบผู้ลี้ภัยเป็นช่องทางในการทำกิจกรรมที่ผิดกฎหมายได้
เคารพสิทธิและมีเมตตาธรรม
ผู้ลี้ภัยควรได้รับการช่วยเหลืออย่างเหมาะสมทั้งในด้านที่พักอาศัย การดูแลสุขภาพ การศึกษา และโอกาสในการทำงาน เพื่อให้พวกเขาสามารถมีชีวิตที่มีศักดิ์ศรี และสามารถทำประโยชน์ต่อสังคมใหม่ของตน ประเทศที่เปิดรับผู้อพยพควรแสดงความเมตตาพร้อมให้การช่วยเหลืออย่างถูกต้องตามหลักกฎหมายและหลักมนุษยธรรม ในขณะเดียวกันก็ควรกำหนดระยะเวลาการให้ความช่วยเหลืออย่างชัดเจน ซึ่งการพยายามสนับสนุนให้ช่วยเหลือตัวเองได้และมีมาตรการติดตามผู้อพยพนั้นก็เพื่อป้องกันการเข้ามารับความช่วยเหลือเกินความจำเป็นจนอาจกลายเป็นภาระถาวรต่อประเทศที่รับผู้ลี้ภัยนั่นเอง
ให้ความร่วมมือในระดับนานาชาติ
ปัญหาผู้ลี้ภัยเป็นความท้าทายที่ไม่มีประเทศใดจะแก้ไขได้เพียงลำพัง ประเทศที่มีพรมแดนติดกับพื้นที่เกิดวิกฤตจะได้รับภาระหนักในการดูแลผู้ลี้ภัย ประเทศพัฒนาแล้ว ประเทศอื่นในภูมิภาค และองค์กรระหว่างประเทศจึงควรเข้ามามีส่วนร่วมอย่างจริงจังด้วยการให้ความช่วยเหลือทางการเงิน จัดสรรทรัพยากร และสร้างนโยบายที่สนับสนุนการบริหารจัดการผู้ลี้ภัยอย่างทั่วถึงยั่งยืน ความร่วมมือนี้จะช่วยแบ่งเบาภาระลดความตึงเครียดในภูมิภาค
พัฒนากระบวนการยุติธรรมภายในประเทศ
การมีระบบกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมที่เป็นธรรมเข้มแข็งในแต่ละประเทศจะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยลดความจำเป็นในการลี้ภัย หากประชาชนสามารถแสดงความเห็นต่างและเรียกร้องความยุติธรรมได้อย่างปลอดภัยเสรี ความขัดแย้งและการข่มเหงก็จะลดน้อยลง ส่งผลให้ผู้คนไม่ต้องหนีออกจากประเทศเพื่อความปลอดภัยของตนเอง นอกจากนี้ผู้มีอำนาจรัฐควรใช้อำนาจอย่างถูกต้องและเป็นธรรม เพื่อสร้างความไว้วางใจและความสงบสุขในสังคม ในขณะเดียวกันประชาคมระหว่างประเทศควรส่งเสริมและกดดันให้ประเทศต่าง ๆ พัฒนากระบวนการยุติธรรมภายในประเทศของตน
โดยสรุป ปัญหาผู้ลี้ภัยสะท้อนให้เห็นถึงความไม่มั่นคงในหลายมิติของประเทศต้นทางทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ทำให้ประชาชนจำนวนหนึ่งต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อหาที่พึ่งพิงในต่างแดน ประเด็นนี้ส่งผลต่อประเทศที่ให้การรับรองผู้ลี้ภัยซึ่งต้องเผชิญทั้งภาระด้านงบประมาณ ทรัพยากร และความมั่นคง จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่แต่ละประเทศจะต้องมีกระบวนการคัดกรองผู้ลี้ภัยอย่างรอบคอบ แยกแยะผู้ที่มีเหตุผลอันชอบธรรมออกจากผู้ที่อาจแฝงเจตนาไม่บริสุทธิ์
ในท้ายที่สุด การจัดการผู้ลี้ภัยไม่อาจพึ่งพาความเมตตาเพียงอย่างเดียวแต่ต้องตั้งอยู่บนหลักเหตุผลที่ชัดเจนและมีระบบรองรับที่ยั่งยืน ขณะเดียวกันความร่วมมือจากประชาคมระหว่างประเทศก็มีความจำเป็น เพราะปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องของประเทศใดประเทศหนึ่งแต่เป็นภารกิจร่วมของมนุษยชาติในการรักษาศักดิ์ศรีและความมั่นคงของผู้คนในโลกใบเดียวกัน
ขอขอบคุณภาพจาก : https://pixabay.com/th/photos/eritrea