โดดเดี่ยว แต่ไม่เดียวดาย ตอนที่ ๕๐ “พระตะบอง”  นรกขุมที่เท่าไหร่

โดดเดี่ยว แต่ไม่เดียวดาย ตอนที่ ๕๐ “พระตะบอง” นรกขุมที่เท่าไหร่

วันรุ่งขึ้น..... คณะของเราเปลี่ยนรถยนต์ขับมาจากฝั่งไทยไปขึ้นรถบรรทุกของทหารที่จอดอยู่หน้าจวนของนายพลเซ็กซำเอียด ท่านนายพลอนุญาตให้เราเดินทางไปสังเกตการณ์รบของเหล่าทหาร 

เป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นการรบจริง ๆ ไม่ใช่จากคำบอกเล่า ทหารออกจากเมืองพระตะบองไปสู่ท้องเร่ท้องนาซึ่งตอนนั้นมีแต่ความแห้งแล้ง นาน ๆ จะผ่านหมู่บ้าน  บางแห่งก็มีคนอยู่ บางแห่งก็ร้างไม่มีผู้คน จนมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีหญิงวัยกลางคนอุ้มลูกกระเซอะกระเซิงมาขวางรถทหาร เธอบอกกับทหารว่าสามีของเธอถูกเขมรแดงจับตัวไป เธออ้อนวอนให้ทหารไปช่วย

เราทุกคนลงจากรถเมื่อเห็นทหารกระโดดลงมาก่อน หัวหน้าทำสัญญาณมือบอกว่าให้ระมัดระวังตัว ทหารกระชับปืน ฉันกระชับกล้องถ่ายรูป มีเสียงปืนดังจากพุ่มไม้ข้างหน้า เสียงทหารตะโกนโหวกเหวกเหมือนจะบอกว่าเราถูกซุ่มยิง ทุกคนหมอบลงกับพื้นดินที่แตกระแหง  จมูกของฉันได้กลิ่นหญ้าแห้งหลังจากนั้นก็มีเสียงปืนยิงกระหน่ำจนไม่รู้ว่าเป็นเสียงของทหารนายพลเซ็กซำเอียดหรือเป็นเสียงปืนฝ่ายใด

เพียงระยะเวลาสั้น ๆ เสียงปืนก็เงียบสงบลง ฉันเห็นทหารอุ้มคนที่ถูกยิงขึ้นรถเลือดโชกไปทั้งตัว หัวหน้าซึ่งพอจะพูดภาษาอังกฤษได้บอกให้เราขึ้นรถ “เราจะต้องออกจากที่นี่เร็วที่สุด” ยังไม่สิ้นเสียงทหารสั่งก็มีเสียงระเบิดตูมตามเข้ามาใกล้ ๆ มันเป็นเสียงระเบิดจากปืนอาร์.พี.จีหรือที่เราเรียกกันว่า “ระเบิดหัวปลี” ตามลักษณะของหัวปืนที่คล้ายกับหัวปลีกล้วย “กลับพระตะบอง” หัวหน้าทหารสั่งลูกน้อง

เราออกจากสถานที่แห่งนั้นโดยไม่รู้ว่าผลของการสู้รบเป็นอย่างไร ฉันเห็นทหารถูกยิงหลายคน มีทั้งที่เลือดท่วมตัวและที่บาดเจ็บเล็กน้อย มีเสียงระเบิดอาร์.พี.จีตามหลังเรามาอีกหลายลูก

รถบรรทุกทหารขับไปตามท้องนาที่ขรุขระโดยที่ฉันไม่รู้ว่ามันจะไปแห่งหนตำบลไหน แต่ยังไม่ทันถึงตัวเมืองพระตะบองก็เห็นรถจอดอยู่ฐานปืนใหญ่ซึ่งมีทหารอีกหน่วยประจำอยู่ หัวหน้าสั่งให้ทหารในฐานปืนใหญ่ยิงเข้าสู่หมู่บ้านที่เราปะทะกับเขมรแดงมา 

ทหารระดมยิงปืนใหญ่อยู่นานโดยไม่รู้ว่าผลของมันจะเป็นอย่างไร แต่ฉันคิดว่าลูกกระสุนปืนใหญ่คงจะถูกเป้าหมู่บ้านแห่งนั้นแน่ ถ้าเป็นอย่างนั้นจะไปเหลืออะไร ผู้หญิงกับลูกรวมทั้งสามีของเธอคงจะต้องตายร่วมกัน “กลับพระตะบอง” นายทหารออกคำสั่ง แล้วรถบรรทุกทหารก็เคลื่อนออกจากฐานปืนใหญ่โดยที่ฉันและเพื่อน ๆ ไม่รู้ทิศเหนือทิศใต้ รู้แค่ว่ารถทหารขับเร็วกว่าเก่า ทุกคนในรถเงียบนิ่ง จะได้ยินบ้างก็เป็นเสียงโอดโอยของทหารที่บาดเจ็บ 

ในที่สุดเราก็กลับมาถึงตัวเมืองพระตะบอง รถข้ามสะพานแม่น้ำสะแก ตลอดเส้นทางมีชาวบ้านตะโกนต้อนรับทั้งสองฟากทางดูราวกับว่าทหารได้รับชัยชนะ ภาพที่เห็นทำให้ฉันคิดว่ามันเป็นภาพหลอกลวงมากกว่า ทหารหลอกลวงประชาชนว่าได้รับชัยชนะกลับมา ซึ่งความจริงเราไม่รู้ว่าผลการสู้รบเป็นอย่างไร ทหารอาจจะคิดว่าเขาเป็นผู้ชนะ แต่ก็อย่าไปคิดอะไรให้มาก ฉันคิดเพียงว่าในสงครามนั้นมีแต่ผู้แพ้เท่ากัน 

อีกหลายวันต่อมาฉันออกตระเวนกับทหารโดยไม่ใช้รถบรรทุกแต่เราเดินลาดตระเวนด้วยเท้า ตลอดระยะทางเราได้เห็นศพของชาวบ้านที่ตายอย่างอเนจอนาถ เพราะเขาถูกเลื่อยคอด้วยกาบต้นตาลที่มีหนามและแหลมคมเหมือนใบจักร “ฝีมือพวกเขมรแดง” ทหารที่พูดภาษาอังกฤษได้บ้างบอกกับฉัน “ทำไมต้องทำเช่นนี้ด้วย” เมื่อฉันถามทหารก็บอกว่า “เขมรแดงต้องการประหยัดกระสุนปืนจึงต้องใช้กาบต้นตาลแทน ชีวิตผู้คนในภาวะสงครามทุกชีวิตมีราคาถูกกว่ากระสุนปืนที่ราคาไม่กี่เรียล”

ยังมีอีกหลายเรื่องที่ฉันได้ประสบพบเห็น ครั้งหนึ่งในหมู่บ้านที่ถูกเขมรแดงเผา มีหญิงชราวิ่งฝ่าไฟเข้าไปช่วยลูกสาวที่ยังติดอยู่ในกระท่อม หญิงชราถูกไฟคลอกตายโดยที่เราไม่สามารถจะช่วยเธอได้และเธอก็ไม่สามารถช่วยลูกสาวได้ เพราะในเวลาต่อมาลูกสาววัยกลางคนวิ่งมาถามทหารว่า แม่ของเธออยู่ที่ไหน ช่วยตามหาแม่ของเธอให้ที ทหารคนหนึ่งจึงชี้นิ้วไปยังกระท่อมซึ่งถูกไฟมอดไหม้

ตลอดระยะเวลาที่ฉันอยู่ในพระตะบอง ความรู้สึกของฉันเหมือนตกอยู่ในขุมนรก แต่ไม่รู้ว่ามันเป็นนรกขุมที่เท่าไหร่ ยังมีเรื่องที่น่าสะพรึงกลัวอีกมากมาย มันเป็นความโหดร้ายที่ทำให้ฉันต้องสะดุ้งตื่นกลางดึกแทบทุกคืนที่ฉันนอนอยู่ในโรงแรมเก่า ๆ ซึ่งต้องถูกพลางไฟหลังจากเวลาสองทุ่มไปแล้ว เมืองพระตะบองจะมืดสนิทไปทั้งเมืองและฉันก็จะสะดุ้งตื่นกับภาพโหดร้ายที่ฉันได้เห็นจากสงครามที่นี่ “พระตะบอง" เมืองนรกขุมที่เท่าไหร่ ฉันไม่อาจจะบอกได้

"สันติ เศวตวิมล"

นักเขียนและบรรณาธิการอาวุโส

เจ้าของรางวัลนราธิปพงศ์ประพันธ์ ปี ๒๕๖๕

โดดเดี่ยว แต่ไม่เดียวดาย ตอนที่ ๕๐ “พระตะบอง” นรกขุมที่เท่าไหร่