
Stang Tari : Passion and Progression แพชชันและการเติบโตไม่หยุดยั้งของ “สตางค์ ตริ”
ท่ามกลางการเติบโตของวงการเพลงบ้านเราโดยเฉพาะฝั่ง T-Pop ที่มีคลื่นลูกใหม่ถาโถมเข้ามาไม่ขาดสาย “สตางค์ตริษา ปรีชาตั้งกิจ” คือหนึ่งในศิลปินที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวและเต็มไปด้วยเอนเนอร์จีเชิงบวกจนเราไม่อาจมองข้าม
จากก้าวแรกของการเป็นไอดอลที่เต็มไปด้วยความฝัน สู่เทิร์นนิ่งครั้งสำคัญในฐานะศิลปินเดี่ยว “Stang Tari” (สตางค์ ตริ) ที่ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาตนเองอย่างไม่หยุดยั้ง พร้อมยืนหยัดอยู่บนเส้นทางความฝันด้วยพลังแพสชันไม่เปลี่ยนแปลง
นี่คือบทสัมภาษณ์ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวความพยายาม แรงบันดาลใจ ตัวตน และการเติบโตที่ไม่หยุดยั้งของ Stang Tari แห่งค่าย kiddorecords ครับ
Intro : ตะ-ริ-ษา (Stang Tari)
ศิลปินที่ชื่อ Stang Tari เป็นคนสดใสร่าเริง ส่วนแนวดนตรีที่ชอบหนูชอบแนวเพลง Pop Rock และกำลังอินแนวเพลง Synth Pop ด้วยค่ะ ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ประมาณ 1 ปีที่ผ่านมา หนูเคยอยู่วงไอดอลมาก่อน ปัจจุบันเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ค่ายที่kiddorecordsค่ะ
ชื่อจริงของหนูชื่อว่า “ตริษา” ค่ะแต่ว่าเพื่อนที่โรงเรียนชอบเรียกหนูว่า “ตริ” (ตะ-ริ) ก็เลยเอามาตั้งเป็น “Stang Tari” ค่ะอีกหนึ่งเหตุผลที่หนูตั้งชื่อนี้เพราะไม่อยากให้คนเรียกชื่อจริงผิดบางคนอ่านชื่อภาษาไทยจาก “ตะ-ริ-ษา” เป็น “ตริ-ษา” เหมือนให้เขาพูดว่า “ตะ-ริ” ให้ชินจะได้เข้าใจว่า “ตริษา” อ่านว่า “ตะ-ริ-ษา” ค่ะ
Track 1 : จุดเริ่มต้นของแพสชันในดนตรี (Passion)
หนูชอบร้องเพลงมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กเลยค่ะ หมายถึงว่าตั้งแต่เล็ก ๆ เลย หนูชอบดูรายการร้องเพลงรายการประกวด ดูแล้วก็ร้องเพลงตาม เราได้รับแรงบันดาลใจจากตรงนั้น ร้องตามจนรู้สึกชอบด้านนี้
ไอดอลในวัยเด็ก ถ้าช่วงเวลานั้นที่ชอบเลยคือ “Taylor Swift” ค่ะเพราะว่าเขาเป็นคนที่สร้างแรงบันดาลใจ ทำให้หนูอยากเล่นกีตาร์และแต่งเพลง
Track 2 : เมโลดี้เปลี่ยนชีวิต (Melody)
จุดเริ่มต้นเริ่มมาจากการร้องเพลงก่อนค่ะ จำได้เลยว่าตอนนั้นเปิดทีวีเจอเพลง “ผมเอาแครอทมาฝาก” หนูรู้สึกว่าหนูอินมาก ร้องตามเลย หลังจากนั้นก็อยากมีเครื่องดนตรี ช่วงนั้นอูคูเลเล่กำลังฮิต ตอนแรกไม่ได้รู้สึกว่าชอบ พอเห็นเขามีกันหมด เราก็เลยอยากมีบ้าง ขอคุณแม่ให้ไปซื้อ บอกเดี๋ยวฝึกเล่น ทั้งที่จริงแค่อยากได้เฉย ๆ แต่สุดท้ายพอซื้อมาแล้วมันก็ต้องฝึกเล่น เริ่มจากอูคูเลเล่ก่อนพัฒนามาเป็นกีต้าร์ค่ะ
Track 3 : สู้โว๊ย!!! (Never Give Up)
ย้อนกลับไปตอนเป็นเด็ก ถ้าชอบร้องเพลงคือช่วงตั้งแต่ 5-6 ขวบ แต่ถ้าเริ่มประกวดจริง ๆ ประมาณ 10-11 ขวบค่ะ หนูไปประกวดรายการของเมืองนอก WCOPA (World Championship of Performing Arts) เป็นเวทีจริงจังระดับโลกเลย มีไปประกวดแล้วก็ได้ถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพฯ เหมือนเราค่อย ๆ สร้างผลงานไปเรื่อย ๆ มีผิดหวังบ้าง สมหวังบ้าง จนสุดท้ายเราก็มาอยู่เป็นไอดอลค่ะ
หนูประกวดมาหลายอย่างมาก แรก ๆ คุณแม่เห็นว่าเราชอบก็โอเค แต่พอทำไปเยอะ ๆ มันมีได้บ้างไม่ได้บ้าง แม่กับป๊าเลยบอกว่าเราลองเปลี่ยนไปทางอื่นมั้ยลูก ไปเป็นหมอมั้ย มันอาจจะเหมาะกับเรามากกว่านะ ที่ผ่านมาเขาก็คอยซัพพอร์ตมาตลอดนะคะ ตอนที่ป๊าบอกให้โอกาสสุดท้ายแล้วนะ มันดันกลายเป็นจุดเริ่มต้นเพราะเรามีโอกาสได้เข้ามาเป็นไอดอล โชคดีที่ได้มายืนอยู่ตรงนี้ ไม่งั้นทุกคนอาจจะได้เห็นหนูไปเป็นหมอแล้วค่ะ
คือประสบการณ์ก่อนหน้านี้ มันทำให้เรายิ่งเห็นตัวเองชัดขึ้นว่าเราอยากจะร้องเพลงเราชอบมันจริง ๆ ช่วงเวลาที่ผ่านมาก็มีท้อบ้าง สุดท้ายแล้วถึงเราจะท้อแต่ก็ยังชอบมันอยู่ดี เหมือนยังมีแพสชันดึงดูดให้อยากทำสิ่งนี้ต่อค่ะ
นอกจากนักร้อง นักแสดง ตอนนี้หนูมีเป็น DJ เป็นทูต จริง ๆ หนูอยากทำหลายอย่างค่ะ อยากลองค้นหาตัวเองในหลายด้าน เพราะรู้สึกว่าไม่เลือกงานไม่ยากจน และจากประสบการณ์ทั้งหมดที่มีในชีวิตนี้ มันบ่มเพาะให้เราตกตะกอนได้แล้วว่าโอเค หลังจากนี้เราจะเดินก้าวต่อไปอยู่บนเส้นทางนี้จริง ๆ
Track 4 : นักเขียนเพลงท่านหนึ่ง (Stangwriter)
การเขียนเพลงมันเริ่มจากตอนที่หนูอยู่ในโปรเจกต์ “Indy Camp” ตอนที่ยังเป็นไอดอลค่ะ ค่ายเขาให้โอกาสเราทำเพลงเดี่ยว ด้วยความที่มันมีหลายองค์ประกอบ ด้วยงบประมาณที่จำกัด เขาอยากให้เราเป็น Indy เป็นแบบ Independent เราก็เลยต้องแต่งเพลงเอง ทำดนตรีเอง ภายใต้ระยะเวลาที่กดดัน ซึ่งตอนนั้นหนูเริ่มจากศูนย์เหมือนกัน เพราะหนูไม่รู้ว่ามันต้องทำอย่างไร แต่ก็พยายามและตั้งใจทำจนเพลงเสร็จสมบูรณ์ออกมาค่ะ
Track 5 : ก้าวแรกบนเส้นทางศิลปินเดี่ยว (Solo Artist)
จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของหนู หนูคิดว่าน่าจะเป็นช่วงหลังออกมาจากการเป็นไอดอลค่ะ รู้สึกว่าเราค้นพบตัวเองมากขึ้นจากการเป็นไอดอล ชัดขึ้นมากกว่า 6 ปีที่แล้วอีกเหมือนทำให้เราได้ตกตะกอนทางความคิดว่าชอบร้องเพลง มันชัดกับเรามาก ๆ ก็เลยอยากทำสิ่งนี้
Track 6 : kiddorecords
หลังหมดสัญญาจากวงเก่า ก็มีการทาบทามให้ได้ไปคุยกับ พี่จิ๊บ (ผู้บริหารค่ายเพลง LOVEiS) ค่ะพอคุยกับพี่จิ๊บเสร็จเขาก็ให้ไปคุยกับพี่โปเต้ (ผู้บริหารค่ายเพลง kiddorecords) หลังจากนั้นก็ได้มาอยู่ kiddorecords ค่ะ
หนูรู้สึกว่าหนูเหงามากเลยนะ อย่างแรกคือมันไม่มีใครเลยมันมีแค่เราปกติเราอยู่กับเพื่อนใช่ไหมคะตอนนี้มันต้องพึ่งพาตัวเองมากขึ้น คิดอะไรเพิ่มมากขึ้น พออยู่คนเดียวมันก็ต้องเป็นตัวตนของเราให้ชัดเจนขึ้นว่าภาพ Stang Tari ศิลปินคนนี้เขาจะเป็นอย่างไร ภาพและผลงานของเขาจะออกมาในรูปแบบไหนเราก็เลยต้องพยายามเติบโตขึ้นด้วยค่ะ
Track 7 : ยังไม่มีหรอก...แฟน (Single, please flirt.)
“ยังไม่มีหรอก...แฟน (Single, please flirt.)” คือซิงเกิลแรกในฐานะศิลปินเดี่ยวภายใต้สังกัด kiddorecords ค่ะ เพลงนี้ตั้งใจให้มันออกมาเป็นตัวหนูมากขึ้นหนูชอบ Synth Pop ก็เลยอยากให้คนเห็นภาพมากขึ้นว่าผลงานของเรามาแนวนี้นะซึ่งมันจะมีความ 80’s ความ 90’s นิดนึง ด้วยความที่ได้ “พี่บอย ตรัย” มาช่วยแต่งเพลงนี้และมี “พี่พีท พีรพล” (memories can wait) มาช่วยทำเมโลดี้ถือว่าเป็นอะไรที่ใหม่สำหรับหนูเพราะว่ามันสะท้อนความเป็นสตางค์ออกมามาก ๆ เลย
ก่อนหน้านี้ “พี่บอย ตรัย” พูดว่าพี่มีเพลงหนึ่งที่แต่งไว้และอยากจะให้หนูร้อง พอได้ฟังก็รู้สึกว่าพี่ไม่คิดหรอจ๊ะว่าหนูจะมีแฟนแล้ว หนูรู้สึกว่าเนื้อหามันเป็นเรามาก ๆ ตรงกับชีวิตจริงมากที่มักจะโดนทักโดนถามตลอดว่ายังไม่มีแฟนหรอ? ทำไมมาคนเดียว? จนเรารู้สึกว่าพี่เลิกถามหนูเถอะ นอกจากตรงกับตัวหนูแล้ว เมโลดี้และสตอรี่บอร์ดของเพลงก็ดูเป็นสตางค์มากเลยค่ะ
Track 8 : สถาปัตยกรรมกับการเป็นศิลปิน (Architecture to Artist)
หนูเรียนคณะสถาปัตยกรรมค่ะสาขาที่เรียนคือ Design, Business & Technology Management มันจะเกี่ยวกับการออกแบบผลิตภัณฑ์
ถามว่าสิ่งที่เรียนนำมาปรับใช้กับการเป็นศิลปินอย่างไร หนูว่ามันก็ได้ใช้ออกแบบในเชิงดีไซน์นะ เวลาที่เรามีสินค้าสมมุติว่าเราจัดคอนเสิร์ต เราจะทำอย่างไรให้คนที่มาหรือว่าแฟนคลับเรา เขามีประสบการณ์ที่ไม่ใช่แค่มาฟังเพลงแล้วจบไปแต่จะทำยังไงให้เขารู้สึกอินกับมันค่ะ
Track 9 : แพลนในอนาคตอันใกล้ (Plan)
จริง ๆ ปีที่แล้วหนูจัดแฟนมีต (Fan Meeting) ไปรอบนึง แต่ว่าหนูก็อยากมีคอนเสิร์ตค่ะปีนี้ตั้งใจว่าอยากปล่อยเพลงออกมาเยอะ ๆ อยากมีอัลบั้ม และอยากมีคอนเสิร์ตสักครั้งหนึ่งเป็นของตัวเอง
ถ้าตอนนี้ให้ดีไซน์คอนเสิร์ตของตัวเอง อยากทำธีม Star (ดวงดาว) ค่ะ ให้ Stang Tari เป็นดวงดาวเกิดใหม่นอกจากนี้ก็อยากให้มีธีมเกี่ยวกับหนังสือ เหมือนเป็นบันทึกการเดินทางของเราที่ค่อย ๆ พัฒนาตัวเองขึ้นไปเรื่อย ๆ คิดว่าน่าจะประมาณนี้ค่ะ
นอกจากนี้ เป้าหมายของหนูคืออยากทำให้ผู้คนมีความสุขจากการฟังเพลงของเรา ในวันที่เขารู้สึกแย่หรือรู้สึกเครียด แค่เขาฟังเพลงของเราแล้วยิ้มได้ รอยยิ้มเหล่านั้นมันคือความสุขและช่วยฮีลใจของเราได้เช่นกันค่ะ
Track 10 : ไอดอล ศิลปิน และการแสดง (An Idol, Artist, and Actor)
สำหรับหนู หนูว่าทุกบทบาทมีความหมายหมดเลยค่ะเพราะว่าเป็นการได้เรียนรู้อะไรที่มันต่างกันมาก ๆทุกอย่างมันเป็นสิ่งที่หนูชอบเหมือนกันหมดนะคะหนูว่า 3 อย่างนี้มันลิงก์กันทั้งหมดเลยการเป็นไอดอลมันก็ได้การเต้นใช่ไหมคะแต่ว่าพอออกมาอยู่ตรงนี้มาเป็นนักร้องมันก็ยังต้องยึดการเต้นยึดการแสดงบนเวทีอยู่ดีเป็นนักแสดงนักแสดงก็ยังต้องใช้การแสดงอยู่ดี
“พี่คุ้ย ทวีวัฒน์” ผู้กำกับ “ATTACK วิญญาณเลขที่ 13” บอกกับหนูว่าพี่เข้าใจแล้วทำไมเรามาเป็นนักร้องเพราะว่าเสียงกรี๊ดก็ยังเพราะต่อให้มันจะดูไม่ได้ชัดเจนขนาดนั้นแต่ว่าหนูว่าทุกอย่างมันลิงก์กันหมดเลยค่ะ เพราะว่ามันเป็นศิลปะทั้งหมด
Track 11 : Music Inspire Part.1
ศิลปินที่ชื่นชอบหรอ งั้นเอา “Taylor Swift” ก่อนค่ะหนูชอบเขาเยอะมากหนูชอบที่เขาสร้างแรงบันดาลใจให้เราในหลาย ๆ ด้าน สอนเราหลายอย่างนอกเหนือจากนั้นคือหนูชอบที่เขาแต่งเพลงเองเวลาที่หนูไปอ่านเนื้อหาเพลงของเขาในแต่ละบรรทัดจะรู้สึกชอบมาก ๆ ที่เขาแต่งเพลงจากตัวเขาจริง ๆ แล้วก็รู้สึกว่าเขาเป็นคนที่สู้มาก ๆ จนตอนนี้เป็นตัวแม่ไปแล้ว ส่วนเพลงที่ชอบมี “22”, “You Belong With Me”, “Enchanted”, “Back to December” คือชอบมากมาตั้งแต่ยุคนั้นแล้วค่ะ
อีกคนหนึ่งที่ชอบคือ “พี่นนท์ ธนนท์” ค่ะจริง ๆ ติดตามเขามานานแล้วพอได้มาอยู่ค่ายได้เจอพี่เขามากขึ้น เราก็ได้คำแนะนำมาเยอะมาก สำหรับเพลง ชอบหลายเพลงเลยค่ะ “โต๊ะริม”, “คลั่งเธอ”
อีกคนหนึ่งที่หนูชอบก็คือ “พี่อิ้งค์ วรันธร” ค่ะพี่เขาน่ารักเฟรนด์ลี่หนูชอบที่เขาเล่นคีย์บอร์ดเสียง Synth มันทำให้เรารู้สึกอยากมาเล่นเปียโนมากขึ้นหนูชอบเพลงของเขาอยู่แล้ว เพราะเขาทำดีทุกเพลงเลยค่ะ
Track 12 : Music Inspire Part.2
สำหรับน้อง ๆ ทุกคน อยากให้น้อง ๆ ทำตามความฝัน แล้วก็อย่าหยุดฝันเพราะว่าถ้าเรามีฝันที่ชัดเจนเราไม่ท้อวันหนึ่งมันจะเป็นวันของเราค่ะอยากให้สู้ ๆ แล้วก็ไม่ท้อนะคะ
ส่วนตัวก่อนหน้านี้ หนูไม่ได้เห็นภาพสิ่งนี้ชัดขนาดนั้นนะคะ จนถึงช่วงโควิดที่มันออกไปไหนไม่ได้เลยช่วงนั้นหนูแต่งเพลงชื่อว่า “นาทีนี้คือเธอ” ก็เป็นเพลงแนวให้กำลังใจ เพราะรู้สึกว่าสิ่งนี้มันมีผลมาก ๆ รู้สึกว่าเพลงมันสามารถเป็นกำลังใจให้คนฟังได้นะ เหมือนที่เราได้ฟังเพลงของรุ่นพี่ แล้วรู้สึกว่ามันฮีลใจเรามากเลยค่ะ
Outtro : บทส่งท้าย (Message)
ฝากข้อความถึงแฟนคลับ ยังไม่มีแฟนจ้ายังไม่มีแฟนนะคะโสดโปรดจีบค่ะ
ส่วนข้อความสำหรับ MiX Magazine สวัสดีแฟน ๆ MiX Magazine หนูขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะชื่อว่า “Stang Tari” ค่ะเป็นศิลปินและนักแสดงหน้าใหม่อยากจะบอกว่าทุก ๆ กำลังใจที่ทุกคนส่งให้ไม่ว่าจะเป็นการคอมเมนต์หรือว่าการกดไลค์เล็ก ๆ น้อย ๆ หรือว่าการมาฟังเพลงของหนูสักครั้งหนึ่งในวันหนึ่ง เท่านี้มันก็เป็นอะไรที่ฮีลใจเรามาก ๆ ค่ะฝากเนื้อฝากตัวเด็กคนนี้ด้วยนะคะ
ขอฝากเพลง “ยังไม่มีหรอก...แฟน (Single, please flirt.)” ด้วยนะคะตอนนี้สามารถฟังได้ทุกแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งแล้วค่ะ ส่วน MV มีในช่อง Youtube : kiddorecords ขอฝากด้วยนะคะสุดท้ายนี้ขอฝากภาพยนตร์ “ATTACK วิญญาณเลขที่ 13” ที่ตอนนี้กำลังฉายอยู่ด้วยนะคะ บ๊ายบาย
Photo by : Ajarin Duangchaemsai