
ปัญหาหนี้ครัวเรือนไทย...วิกฤตหรือไม่
การณ์เศรษฐกิจไทยที่ผมเรียกว่า “ยอดแย่” จะยังไม่อยู่ในระดับวิกฤต แต่มันก็น่าเป็นห่วงมากเพราะเห็นได้จากการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP Growth Rate) ที่มีอัตราการเติบโตต่ำบนศักยภาพการเติบโตที่ลดลง เรียกได้ว่าแย่ที่สุดท่ามกลางประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และกัมพูชา อีกทั้งประเทศไทยยังฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-19 ได้ช้า ผลิตภาพโดยรวมของประเทศจึงลดลง สะท้อนจากการลงทุนทางเทคโนโลยีกับการวิจัยและพัฒนาที่ยังค่อนข้างต่ำขณะที่การสะสมทุนในประเทศก็ต่ำมานานแล้ว ประกอบกับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างรวดเร็วยิ่งทำให้กำลังแรงงานลดลงรวมถึงหนี้สาธารณะก็กำลังเพิ่มสูงขึ้นมาก ซึ่งส่วนสำคัญมาจากการดำเนินนโยบายประชานิยม
ยิ่งกว่านั้นประเทศไทยยังมีระดับหนี้ครัวเรือนไทยอยู่ในขั้นร้ายแรงที่สุด กล่าวคือไทยเป็นประเทศกำลังพัฒนาประเทศเดียวที่มีสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP (Household Dept To GDP) สูงสุดในโลก 10 อันดับแรก โดยประเทศไทยอยู่อันดับ 7 ของโลก (Trading Economics, 2023) (1)
หนี้ครัวเรือนเป็นหนี้สินหน่วยเล็กที่สุดของระบบเศรษฐกิจ เพราะเป็นหนี้เงินกู้ส่วนบุคคลที่กู้ยืมจากสถาบันการเงินและบุคคลนอกครัวเรือน เช่น หนี้เช่าซื้อ การซื้อสินค้าเงินผ่อน การซื้อสินเชื่อสินค้าจากร้านค้า การจำนำ การจำนอง หรือเป็นเงินที่สถาบันการเงินให้คนทั่วไปที่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศกู้ยืม ซึ่งเงินดังกล่าวสามารถนำไปซื้อสิ่งของและใช้จ่ายในเรื่องต่าง ๆ ได้ก่อนจะนำมาชำระคืนให้กับสถาบันการเงินในภายหลังพร้อมดอกเบี้ยหรือไม่มีดอกเบี้ย เรียกกันว่าหนี้สิน เช่น หนี้บ้าน หนี้รถ หนี้บัตรเครดิต และหนี้ลงทุนในธุรกิจ เป็นต้น
ในทางเศรษฐศาสตร์ หนี้สินโดยตัวมันเอง ไม่ใช่ สิ่งที่เสียหาย ตราบใดที่อยู่ในภาวะที่สามารถบริหารจัดการได้และเป็นการก่อหนี้เพื่อการลงทุนที่สามารถให้ผลตอบแทนคุ้มค่าอย่างน้อยในที่สุด เพราะฉะนั้น ผมในฐานะนักเศรษฐศาสตร์จึงไม่ได้มองว่าการเป็นหนี้คือสิ่งเลวร้ายเสมอไป เนื่องจากหนี้ถือเป็นกลไกสำคัญในระบบเศรษฐกิจที่ช่วยดึงทรัพยากรจากคนที่มีเงินออม (ผู้ให้กู้) ไปยังคนที่ต้องการใช้เงิน (ผู้กู้) ซึ่งทำให้ระบบจัดสรรทรัพยากรเพื่อใช้ก่อเกิดประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันหนี้ครัวเรือนไทยได้สร้างความน่ากังวลแก่ระบบเศรษฐกิจโดยรวม เนื่องจากมีระดับหนี้ต่อ GDP สูงถึงร้อยละ 91.3 เมื่อสิ้นปี 2566 และยังคงสูงกว่าร้อยละ 90 ต่อเนื่องในปี 2567 โดยแบ่งเป็นหนี้บริโภคที่ไม่อาจสร้างรายได้ในอนาคตร้อยละ 65 ซึ่งส่วนใหญ่มาจากหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลที่ใช้เพื่ออุปโภคบริโภคแล้วหมดไป ส่วนอีกร้อยละ 35 เป็นหนี้เพื่อที่อยู่อาศัย
ขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาอย่างมาเลเซียและจีนมีสัดส่วนหนี้ครัวเรือนที่ร้อยละ 81 และ 62 ต่อ GDP ตามลำดับ โดยมาเลเซียมีหนี้การลงทุนเพื่ออนาคตคิดเป็นร้อยละ 70 และเป็นหนี้เพื่อการบริโภคเพียงร้อยละ 30 เท่านั้น ส่วนประเทศจีนแบ่งเป็นหนี้อสังหาริมทรัพย์ร้อยละ 60 และหนี้เพื่อการบริโภคร้อยละ 40 ซึ่งเมื่อพิจารณาในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วอย่างญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกาที่มีระดับหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ใกล้เคียงกับประเทศไทยจะพบว่าเป็นหนี้เพื่อที่อยู่อาศัยในสัดส่วนร้อยละ 62 และ 73 ตามลำดับ
ประเด็นที่น่ากังวลมากกว่าคือกลุ่มเปราะบางอย่างกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและเกษตรกรมีสัดส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ (Debt Service Ratio: DSR)โดยเฉลี่ยมากที่สุดนั่นคือร้อยละ 41 และ 34 ตามลำดับ รวมถึงภาระคืนหนี้จะสูงขึ้นเนื่องจาก ณ สิ้นเดือนเมษายน 2567 ที่ผ่านมาเป็นช่วงที่อัตราดอกเบี้ยสูงสุดในรอบ 10 ปี นอกจากนี้ 1 ใน 5 ของคนไทยที่เป็นหนี้ (5.8 ล้านคน) เสี่ยงกำลังจะเป็นหนี้เสีย โดยเฉพาะคนที่มีอายุระหว่าง 20 – 35 ปี
หากพิจารณาข้อมูลเงินฝากส่วนเกิน (Excess Deposits) จะพบว่า กลุ่มผู้มียอดเงินฝากปานกลาง-น้อย (ไม่ถึง 500,000 บาท) ลดลงอย่างมีนัยสำคัญและมีเงินฝากส่วนเกินต่ำกว่ากลุ่มอื่น ๆ (ธปท., 2566) (2) สะท้อนว่าคนกลุ่มนี้อาจใช้จ่ายได้ไม่คล่องตัวนักเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น ๆ ทั้งยังมีแนวโน้มจะก่อหนี้บริโภคมากกว่ากลุ่มอื่นด้วย ขณะที่กลุ่มที่มียอดเงินฝากมากกว่า 500,000 บาทมีจำนวนไม่ถึง 4 ล้านบัญชีซึ่งถือว่าค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรไทยที่มีราว 70 ล้านคน โดยเงินส่วนเกินในธนาคารส่วนใหญ่อยู่ในบัญชีที่มียอดคงค้างระหว่าง 1 – 10 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงกำลังซื้อที่ยังคงแข็งแกร่งในกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลาง-สูง แนวโน้มการก่อหนี้บริโภคจึงต่ำกว่ากลุ่มรายได้กลุ่มอื่น
มากไปกว่านั้นการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ต่ำอย่างต่อเนื่อง (อัตราการเติบโตน้อยกว่าร้อยละ 3) จากผลของปัญหาเชิงโครงสร้างทำให้กลุ่มเปราะบางยิ่งได้รับผลกระทบจากการขาดรายได้ ขาดสภาพคล่อง รายได้ไม่แน่นอน เข้าไม่ถึงระบบสินเชื่อ ประกอบกับยังไม่มีระบบสวัสดิการที่มีประสิทธิภาพรองรับ ส่งผลให้พวกเขาต้องใช้เวลานานขึ้นเพื่อจะลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนให้กลับมาสู่ร้อยละ 80 ต่อ GDP ตามเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย
ลักษณะการเป็นหนี้ของคนไทยคือเป็นหนี้เร็ว เป็นหนี้เกินตัว เป็นหนี้นาน ไม่จบไม่สิ้น โดยมากเป็นหนี้ที่เกิดจากการไม่ได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนถูกต้อง เป็นหนี้จำเป็นเนื่องจากมีเงินออมไม่เพียงพอสำหรับกรณีฉุกเฉินและมีรายได้ไม่เพียงพอจ่ายหนี้หากรายได้ลดลงร้อยละ 20 รวมไปถึงการเป็นหนี้นอกระบบ ซึ่งสาเหตุหลักส่วนใหญ่มาจากการขาดความรู้ทางการเงิน ขาดวินัยในการใช้จ่าย มีค่านิยมการบริโภคเกินตัว ไม่ออมก่อนใช้ และถูกกระตุ้นด้วยโฆษณาชวนซื้อและชวนกู้
ผมมองว่าหนี้ที่ต้องเร่งแก้ไข ได้แก่
1) หนี้เสีย โดยเฉพาะหนี้เสียของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs)
2) หนี้เรื้อรัง อย่างเช่น หนี้บัตรเครดิต หนี้บัตรเงินสดที่ยังปิดไม่ได้ และเน้นจ่ายขั้นต่ำเป็นหลัก หรือหนี้บัตรใหม่เพื่อโปะหนี้เก่า เพราะเป็นหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง
3) หนี้ที่ไม่รวมในตัวเลขหนี้ครัวเรือน มันจะก่อปัญหาในอนาคตได้ อย่างเช่น หนี้นอกระบบ หนี้กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) หนี้สหกรณ์ เป็นต้น
การสร้างหนี้บริโภคนับเป็นความเสี่ยงทั้งต่อผู้ที่เป็นหนีและต่อระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวและมีปัญหาด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ สำหรับผู้เป็นหนี้จะเกิดความเสี่ยงต่อการดำรงชีพของครัวเรือนทั้งความเสี่ยง ด้านรายจ่าย เช่น ค่าครองชีพเพิ่มสูงขึ้น อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น ด้านรายได้ เช่น ปัญหาการว่างงานสูง รายได้ไม่แน่นอน การขาดสภาพคล่อง ด้านภาระการชำระหนี้ เช่น อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่สูงขึ้น ทำให้ภาระคืนหนี้สูงขึ้น เป็นต้น เมื่อครัวเรือนที่เป็นหนี้มีความเสี่ยงที่จะขาดความสามารถในการชำระหนี้ ย่อมส่งผลให้เกิดภาวะหนี้ด้อยคุณภาพในครัวเรือนเพิ่มมากขึ้น อันจะกลายเป็นปัญหาต่อสถาบันการเงินและระบบเศรษฐกิจอันเปราะบางของประเทศ
แม้สถานการณ์เศรษฐกิจไทยจะยังไม่อยู่ในระดับ “วิกฤต” ตามนิยามนักเศรษฐศาสตร์สากลจนถึงขั้นเศรษฐกิจหดตัว แต่ผมขอยืนยันว่าระดับหนี้ครัวเรือนไทยอยู่ในระดับร้ายแรงโคม่ามากแล้ว หากไม่จัดการให้ไว ฉลาด และจริงจัง วิกฤตหนี้ครัวเรือนจะทำให้เศรษฐกิจไทยพังได้ในที่สุดและอาจจะเร็วกว่าที่คิด
(1) https://tradingeconomics.com/country-list/households-debt-to-gdp
(2) Bank of Thailand: All Commercial Banks' Deposits Classified by Sizes and Maturity (2023), https://app.bot.or.th/BTWS_STAT/statistics/BOTWEBSTAT.aspx?reportID=187&language=ENG