
The Master of Portrait Art อัตตา อารมณ์ และความรู้สึก คุณศักดิ์วุฒิ วิเศษมณี
ศักดิ์วุฒิ วิเศษมณี คือศิลปินที่ได้รับการยอมรับว่ามีลายเส้นการวาดภาพที่สวยงามและมีชีวิตชีวา โดยเฉพาะการวาดภาพบุคคลหรือ ‘Portrait’ ที่เรียกได้ว่าอยู่ในระดับแถวหน้าของเมืองไทย แต่เรื่องราวชีวิตการเป็นศิลปินของอาจารย์ศักดิ์วุฒิไม่ได้มาด้วยพรสวรรค์และความสามารถเพียงอย่างเดียว ทว่ามาด้วยหัวใจและความมุ่งมั่น ฝ่าฟันอุปสรรคมากมายจนมีชื่อเสียงถึงทุกวันนี้
ถอดบทเรียนชีวิต
“ผมเกิดที่เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีพี่น้องด้วยกัน 4 คน ครอบครัวทำอาชีพเปิดร้านตัดเสื้อ ตัวผมเองชอบศิลปะมาตั้งแต่เด็ก สามารถวาดรูปทั้งวันทั้งคืน พอเริ่มโตผมมีโอกาสเข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯ ได้เข้าโรงเรียนวัดปากบ่อและโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) เรียนในสายวิทย์มาโดยตลอด
“พอใกล้เรียนจบชั้นมัธยมศึกษา ญาติของผมสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปากรได้ลำดับที่ 1 เราก็คิดว่าน่าจะทำได้เหมือนกันเลยให้เขามาช่วยติวจนสอบติดคณะจิตกรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร แต่พอเข้ามาเรียนที่มหาวิทยาลัยมันไม่ง่าย จำเป็นต้องมีพื้นฐานมาก่อน เช่น การเรียนเตรียมศิลปากรซึ่งผมไม่เคยเรียนมาก่อนเลย ทำให้ต้องเรียนรู้เองจากเพื่อนและดูว่าทำไมคนนี้ได้เกรด A ทำไมคนนี้ได้เกรด C เคยถามเพื่อนว่าทำไมเขียนแบบนี้ เพื่อนตอบว่ามันคือสูตร พอไม่ได้เรียนมาแล้วเราไม่เข้าใจก็เลยถามไปว่าในเมื่อในสิ่งที่เราไม่เห็นเราจะเขียนสิ่งที่ไม่เห็นได้ยังไง เพื่อนตอบว่าศิลปะมันไม่ใช่การลอก แต่มันเกิดจากแรงบันดาลใจ
“ผมเรียนปี 1 ด้วยความยากลำบาก มองไม่เห็นอนาคตตัวเอง พอเกรดออกมาก็ได้แค่เกรด C เกรด D ได้เกรดสูงสุดคือ B ส่วนเรื่องการวาดเส้นผมจะได้เกรด A เพราะเป็นสิ่งที่ผมชอบ พอขึ้นปี 2 ผมเริ่มเรียนไม่ไหวเลยคิดว่าอยากย้ายคณะ ผมมานั่งคิดว่ารุ่นพี่ที่จบคณะจิตรกรรมแล้วเป็นศิลปินมีชื่อเสียงนี่แทบจะไม่มีเลย คนที่เรียนจบมายุคผมหาคนที่เป็นศิลปินได้น้อยมาก คิดเอาเองว่าขนาดรุ่นพี่ที่เก่ง ๆ ยังไม่ได้เป็นศิลปิน อย่างนั้นตัวผมเองก็คงไม่รอดหรอก จึงสอบย้ายคณะไปมัณฑนศิลป์แต่สอบไม่ติด ต้องกลับมาเรียนคณะเดิม
“พอขึ้นปี 3 ได้เกรด A จากการเขียนรูปตัวเองก็เริ่มมีแรงบันดาลใจขึ้นมาว่าหรือเราต้องเพนต์ภาพคน เริ่มมองเห็นแววตัวเองในการวาดแนว Portrait เมื่อขึ้นปี 4 ผมเลือกเรียนด้านจิตกรรมโดยตรง เขียนรูปคนในเทอมแรกได้เกรด A แต่พอเทอมสองเริ่มยากขึ้นเพราะงานแนวนี้มีคนทำไว้เยอะ เราเลยคิดว่าจะเขียนรูปคนยังไงไม่ให้เหมือนรุ่นพี่ซึ่งมันยากมาก แค่คิดว่าจะเขียนรูปคนมันก็ซ้ำแล้ว ไม่รู้จะไปสู้กับใครได้ พอหาหนังสือดูก็มีคนเขียนไว้หมดแล้ว ทุกอย่างในโลกเกี่ยวกับคนเขาเขียนไว้หมดแล้ว บางครั้งนั่งคิดว่ามาแนวนี้จะรอดไหม แต่ผมก็อดทนทำมาตลอด
เส้นทางสายลายเส้น
“ตอนนั้นผมสนใจเรื่องของหนังสือแฟชั่น พอทำงานธีสิสส่งอาจารย์ก็เริ่มใส่แฟชั่นลงไปในงาน กลายเป็นว่าอาจารย์ไม่ชอบแต่งานชิ้นเดียวกันกลับได้รับรางวัลการประกวดข้างนอก ผมเองยังงง ทำให้เราต้องกลับไปถามอาจารย์ว่าทำไมผลงานชิ้นนี้ได้รางวัล ท่านบอกว่าการเรียนกับชีวิตจริงมันไม่เหมือนกัน สิ่งที่อยู่ในตำรากับสิ่งที่เราต้องเจอมันคนละอย่าง ซึ่งงานของผมต่างชาติได้เห็นเขาชื่นชอบ ในช่วงยุค 80s ตอนนั้นบริษัทโฆษณากำลังดังเลยคิดว่าเรียนจบจะเข้าไปทำงานเพราะรายได้ดี ถ้าเป็นศิลปินคงไม่รอดหรอก พอดีมีชาวต่างชาติเชิญให้ผมไปทำงานโฆษณาเป็น Junoir Art Director ด้วย ทำมาเรื่อย ๆ จนชาวต่างชาติท่านนั้นลาออกผมเลยคิดว่าถ้าไปทำงานที่อื่นคงยาก ตัวเราเองเรียนเขียนรูปก็ลุ้นในใจว่าจะไปรอดไหมเพราะการเขียนภาพอย่างผมในยุคนั้นเพื่อดำรงชีวิตมันยากมาก ๆ แล้วรูปที่เราเขียนคนก็ไม่ค่อยชอบงานจึงไม่ได้มีเยอะ
“ระหว่างนั้นมีรับงานเขียนภาพประกอบให้นิตยสารจึงอยู่ได้ การเป็นศิลปินมันไม่ง่าย แค่การเริ่มต้นงานราคามันก็แพงแล้ว สไตล์งานแบบผมยังไม่เป็นที่ยอมรับในยุคนั้น แต่การที่เราไม่ได้เรียนพื้นฐานมามันมีข้อดีอย่างหนึ่งคือได้เห็นงานต่าง ๆ โดยไม่มีกรอบ เอกลักษณ์ของผมจึงมาจากศิลปินที่เราชอบเพราะมีความแปลก ทั้งการแต่งตัวหรือท่าทางมันเท่มันพิเศษไปจากที่เราเรียนมา ผมเลยนำมาเป็นต้นแบบในยุคแรก
“เอกลักษณ์ของตัวเองในช่วงนั้นมันไม่มีเลยต้องไปหาตัวอย่างจากห้องสมุด เราเปิดเลยว่าตัวตนเราเป็นแบบไหน ชอบแบบไหน ทำอะไรก็ได้แต่ห้ามเหมือนรูปที่หามา เราจะดึงอะไรมาเพื่อเป็นเอกลักษณ์ของเรา ความพิเศษตอนนั้นยังไม่รู้จักตัวเองหรอก ผมจะหาสิ่งที่เราชอบมากกว่า แล้วเอกลักษณ์มันสำคัญกับศิลปินขนาดไหน จริง ๆ มันคือการเป็นตัวตนของศิลปินแม้ว่าเราจะลอกศิลปะมาแต่มันก็ไม่เหมือน ความจริงมันคือตัวเรา เราก็ใส่ความเป็นตัวเองลงไปในศิลปะเราอยู่แล้ว
“สมัยผมเรียนมหาวิทยาลัย อาจารย์เคยถามผมว่าชอบศิลปินท่านนี้ใช่ไหม ผมก็บอกว่าใช่ครับเพราะศิลปินที่เราชอบมันจะอยู่ในงาน คือถ้าชอบก็ทำไปเถอะแต่อย่าทำนาน คำนี้เป็นคำสอนที่ดีเลยครับ บางรูปของผมที่คนชอบมากแต่มันไปคล้ายของศิลปินอีกคน คือเราเห็นแล้วเราชอบมันก็จำอยู่ในสมอง พอวันหนึ่งเราเขียนรูปมันจะออกมาเอง ก็อาจคิดว่าตัวเองคิดมันออกมาเองแต่กลายเป็นว่าไปเหมือนรูปของต่างประเทศ ประสบการณ์ที่เราสะสมมันอยู่ในใจการแก้ปัญหาในงานมันจะออกมาในรูปที่เราเห็นซึ่งมันเป็นธรรมชาติ ถ้าเราจริงใจโดยไม่ได้เปิดหนังสือลอกงานผมว่ามันจะไม่ออกมาเหมือนเป๊ะหรอก แต่มันจะมีอารมณ์ความเป็นตัวเองอยู่
รสนิยม ศิลปะ และราคาของชีวิต
“ผมว่ารสนิยมและสไตล์สำคัญมาก ผมเชื่อว่าในโลกนี้มีศิลปินที่เก่งกว่าผมยังมีอีกมาก แต่คนเขียนรูปให้สวยแบบผมคิดว่าน้อย คนเก่งเยอะฝีมือดีแต่ไม่สวยไม่ใช่ว่าคุณเก่งแล้วจะเขียนรูปสวยมันไม่ใช่ กับบางคนเขียนรูปแค่พอใช้แต่ภาพที่ออกกลับมีเสน่ห์ก็มี มันต้องใช้ดวงวาสนาหลายอย่างมันผสมกัน แต่ความตั้งใจการมุ่งมั่นในการทำงานสำคัญกว่าสิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดความสำเร็จของศิลปิน
“ส่วนใหญ่การเขียนรูปของผมเกิดจากความจำ เพราะผมเป็นคนจำเก่งสมัยมัธยมผมเรียนสายวิทย์ซึ่งต่างจากการเรียนสายศิลป์อยู่แล้ว เราเรียนสายวิทย์มีสูตรทฤษฎีเยอะแต่กับชีวิตจริงมันไม่ใช่ แต่พอมาสายนี้มันได้รับความตื่นเต้นเพราะเราเพิ่งเคยมาเห็นมันจึงสนุก
“สิ่งที่ผมพบบ่อยอย่างหนึ่งคือคำว่าศิลปินไส้แห้ง คำนี้มันมีจริง ๆ ช่วงนั้นผมเป็นหนี้ มีงานสักชิ้นก็เอาไปใช้หนี้ แล้วก็เป็นหนี้วนอยู่แต่แบบนี้ ผมคิดว่าเราก็พอมีศักดิ์ศรีมีชื่ออยู่บ้างเคยได้รางวัล ภาพลักษณ์มันดีแต่สภาพความเป็นอยู่ที่แท้จริงมันยาก คือแทบไม่มีกินเลย วัน ๆ รอเงินจากหนังสือคือเขียนภาพประกอบแค่ 1,200 –1,500 บาท ถือว่าน้อยมาก แต่ผมไม่เที่ยวไม่สูบบุหรี่ ไม่กินเหล้าก็ทำให้เหลือเงินเก็บอยู่ได้แต่มันก็ถึงกับอด ก็คิดเหมือนกันว่าอาจเอาชีวิตมาเสี่ยงถ้าวันหนึ่งไม่มีชื่อเสียงเราจะเป็นยังไง แล้วถ้าภาพขายไม่ได้จะทำอาชีพอะไร พอย้อนกลับไปนี่คือความเสี่ยงที่สูงมาก ทุกวันนี้พอมีโอกาสได้ทำงานผมจึงคิดว่าจะทำให้ดีที่สุดตลอด
“คำว่าศิลปะสำหรับผมไม่มีคำว่าถูกผิด เขียนไม่ได้ก็หยุด งานผมไม่เคยสเก็ตซ์ภาพเขียน แต่มาจากอารมณ์จริง ๆ ความผิดในงานผมว่ามันเป็นเสน่ห์ สูตรของความสำเร็จคือการเขียนรูปทั้งที่เรารู้ว่าใส่สีแบบนี้แล้วมันจะสวย แต่ถ้าใส่ลงไปมันจะเป็นสูตรมันไม่เจ๋ง แต่สุดท้ายก็ต้องใส่สักนิดหนึ่ง แต่ถ้างานดิบ ๆ ผมไม่ใส่เลยพอใจแบบไหนก็ทำแบบนั้น
“แต่การวาดภาพต้องใช้แรงบันดาลใจ อย่างภาพของในหลวงรัชกาลที่ 9 ผมสัมผัสถึงห้วงอารมณ์คนทั้งประเทศที่มีต่อท่าน เราถูกสอนให้เกิดมาต้องมีความกตัญญูต่อพ่อแม่ ผู้ให้วิชาความรู้ และพระเจ้าแผ่นดิน เราเป็นหนี้แผ่นดิน การเขียนรูปท่านคือการบูชาแล้วก็ทดแทนบุญคุณแผ่นดิน ผมคิดแบบนั้น ก็เขียนไปเรื่อย ๆ ด้วยความสุข
“ปัจจุบันวงการศิลปะบ้านเราตอนนี้มีความก้าวหน้ามากกว่าสมัยก่อนมาก มีคนรุ่นใหม่สนใจเยอะและคนที่สนับสนุนก็มีมากเช่นกัน ศิลปินมีโอกาสเกิดขึ้นง่ายมากจากโลกที่เปิดกว้าง ถ้าเทียบกับรุ่นผมคนละเรื่องเลย สมัยนี้มีงานแสดงศิลปะแทบทุกวัน ซึ่งสมัยก่อนมีปีละ 2 ครั้ง พอเปิดงานครั้งหนึ่งศิลปินที่ได้เข้าร่วมงาน มักเป็นที่น่าจดจำ และใช้เวลานานกว่าจะหมดการแสดง แต่ยุคนี้มีให้เห็นแทบทุกวันจากเด็กรุ่นใหม่ซึ่งศิลปะสมัยนี้มันคือแฟชั่น การแต่งกาย การเขียนแนวเพลงซึ่งมันเป็นแบบนั้น แต่ผมชอบความเป็นโบราณผมว่ามันมีเสน่ห์ อะไรที่มันแท้ ๆ ผมจึงมองอะไรที่มันมีความเป็นไทยมากกว่า
ศิลปะกับเวลา
“ส่วนผลงานที่ผมภูมิใจที่สุดชิ้นหนึ่ง คือผลงานที่มีชื่อว่า "หญิงสาว" ในนิทรรศการ ATTA (อัตตา) เป็นแสดงร่วมกับพี่น้องศิลปินรวม 4 คน ในงานแสดงของผมได้เลือก กิ๊บซี่ วนิดา เติมธนาภรณ์ มาเป็นแบบซึ่งเหตุผลที่เลือกคือรู้สึกได้ว่าน้องเป็นเด็กที่มีพลัง จากการที่เคยพบกันในหลายปีก่อนแล้วคุยง่ายไม่ได้ถือว่าตัวเองดารา ตอนนั้นกิ๊บซี่ไม่รู้เลยว่าผมเป็นใคร พอคุยกันถูกคอจึงขอร้องให้มาเป็นแบบให้ จนงานที่ผมวาดออกมาได้จัดแสดงงานให้คนเห็นเป็นที่เรียบร้อย
“โดยงานในอนาคตผมจะพยายามแสดงงานเดี่ยวที่ใหญ่กว่าเดิม เป็นการรวมงานทั้งเก่าและใหม่จากการเดินทางในฐานะศิลปินมาตลอดชีวิตว่ามีที่มาอย่างไร คือยิ่งแก่ก็ต้องรีบทำ ถ้าย้อนกลับไป ผมเสียดายเวลาในวัยเด็กมากเพราะผมไม่ค่อยขยัน มัวแต่นอนฝันว่าตัวเองเป็นแบบนี้แต่ไม่ทำ ตอนนี้มีอะไรที่อยากทำจึงต้องรีบทำ คนเราพออายุมากขึ้นจะมีปัญหาเรื่องสังขารผมมีปัญหาเรื่องสายตา
“ตอนนี้ผมทำงานทุกวันจึงรู้ว่าเวลามันเหลือน้อยลงทุกที จึงอยากทำงานให้มันคุ้มกับที่เสียไป การจะประสบความสำเร็จคุณต้องทำให้ดีที่สุด การทำงานต้องทำให้ดีกว่าตอนนี้พอถึงจุดหนึ่งมันจะไปเรื่อย ๆ มีคำโบราณที่ว่าไว้มันจริงหมดเลยคือเดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด ทุกอย่างที่เคยหัวเราะมันเป็นแบบนั้นจริง ๆ เพราะผู้ใหญ่เขาผ่านประสบการณ์มาก่อนแล้ว ทุกอย่างมันเป็นแบบนั้นจริง ๆ จึงอยากให้ทุกคนตั้งใจมุ่งมั่นเชื่อในตัวเองแล้วชีวิตจะดีแน่นอน”