
Roswell Incident : ตำนานเรื่องลึกลับจากฟากฟ้า
ช่วงนี้เรื่องราวของมนุษย์ต่างดาวหรือจานบิน UFO ได้กลับมามีกระแสอีกครั้งบนแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ อีกทั้งยังมีผู้พบเห็นถ่ายภาพวิดีโอเกี่ยวกับวัตถุหรือสิ่งลักษณะคล้ายจานบินได้อยู่หลายต่อหลายครั้งและเป็นประจักษ์พยานจำนวนมาก ทำให้เราต่างเชื่อได้ว่าเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่สร้างขึ้น ไม่ใช่เรื่องการทดลองบินเครื่องอากาศยานใด ๆ อีกต่อไป
เราเองต้องกลับมาคิดว่าอาคันตุกะต่างโลกเหล่านี้เขามีความต้องการสิ่งใด เขามีข้อความที่จะสื่อหรือมีการติดต่อกันมาก่อนหน้านี้แล้วหรือไม่ ซึ่งตามทฤษฎีสมคบคิดนั้นหลายท่านต่างเชื่อว่ามนุษย์โลกเรามีองค์กรลับและได้ทำการติดต่อกับต่างดาวมาโดยตลอดนับแต่เหตุการณ์ในอดีต โดยเหตุการณ์ที่กล่าวได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราว UFO ทั้งหมดมันมาจากเหตุการณ์รอสเวลล์ (Roswell Incident) ที่มักปรากฏเป็นชื่ออ้างอิงในภาพยนตร์ Sci-Fi ต่างดาวหลาย ๆ เรื่องนั่นเอง
เหตุการณ์ UFO ที่เมืองรอสเวลล์ (Roswell UFO Incident) เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ลึกลับที่สร้างความสนใจระดับโลกมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เมื่อปีค.ศ. 1947 เหตุการณ์นี้เริ่มต้นขึ้นจากการรายงานของประชาชนท้องถิ่นในเมืองรอสเวลล์รัฐนิวเม็กซิโก ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยพบวัตถุบางอย่างตกลงมาจากท้องฟ้าในพื้นที่ทะเลทราย ต่อมากองทัพสหรัฐอเมริกาจึงได้ออกแถลงการณ์ว่ามีการพบซากของ “จานบิน” แต่ไม่นานก็เปลี่ยนเรื่องกลับลำและแถลงการณ์เป็นเพียง “บอลลูนตรวจอากาศ” เท่านั้น ความเปลี่ยนแปลงของถ้อยแถลงนี้จุดประกายความสงสัยจากสาธารณชนจนกลายเป็นเชื้อไฟให้กับทฤษฎีสมคบคิดเรื่องมนุษย์ต่างดาวที่แพร่กระจายไปทั่วโลก
เรื่องราวทั้งหมดเริ่มขึ้นในวันที่ 8 กรกฎาคม 1947 หนุ่มชาวนาชื่อ “แม็ค เบรเซล (Mac Brazel)” ได้พบเข้ากับซากวัตถุประหลาดที่กระจัดกระจายอยู่ในฟาร์มของเขา วัตถุดังกล่าวมีลักษณะแปลกตา นั่นคือเป็นแผ่นโลหะบางคล้ายฟอยล์ที่ไม่สามารถฉีกขาดหรือเผาไหม้ได้ รวมถึงเป็นแท่งคล้ายไม้ที่มีสัญลักษณ์ประหลาด ทว่าไม่นานฝ่ายทหารจากฐานทัพอากาศรอสเวลล์ได้เข้ามาตรวจสอบและเก็บวัตถุทั้งหมดไปโดยเร็ว ซึ่งต่อมากองทัพอากาศก็ออกแถลงข่าวว่า “พบจานบิน” ทำให้เกิดความตื่นตระหนกและสนใจในวงกว้าง แต่ภายในเวลาไม่กี่วันกองทัพดันกลับลำโดยระบุว่าสิ่งที่พบนั้นคือ “บอลลูนตรวจสภาพอากาศ” อ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของโครงการลับ “Project Mogul” ที่ใช้บอลลูนตรวจจับคลื่นเสียงจากการทดลองนิวเคลียร์ของสหภาพโซเวียต
การเปลี่ยนแปลงถ้อยแถลงอย่างรวดเร็วนี้ทำให้หลายฝ่ายเริ่มสงสัยว่า รัฐบาลกำลังปิดบังอะไรบางอย่างอยู่แน่ ๆ และนั่นเองที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของ “ตำนานรอสเวลล์” ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากต่อความเชื่อเรื่องมนุษย์ต่างดาวในสังคมวัฒนธรรมสมัยใหม่ จนนำมาสู่ทฤษฎีสมคบคิดที่ประมวลผลไปในเรื่องของวัตถุสิ่งมีชีวิตจากนอกโลก การปกปิดข้อมูล รวมถึงเชื่อว่ามีการแอบติดต่อกันระหว่างมนุษย์ต่างดาวกับมนุษย์โลกภายใต้การปกปิดของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา โดยประเด็นทฤษฎีสมคบคิดหลัก ๆ ที่มักถูกหยิบยกขึ้นมา ได้แก่
- การอ้างว่ากองทัพได้เก็บซาก “ยานของมนุษย์ต่างดาว” พร้อมกับ “ร่างของเอเลียน” เอาไว้
- การที่พยานหลายราย เช่น เจ้าหน้าที่ทหารหรือแพทย์ในฐานทัพอ้างว่าเห็นสิ่งมีชีวิตรูปร่างเล็ก หัวโต ดวงตาใหญ่
- การไม่เปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใสของรัฐบาลซึ่งยิ่งทำให้เกิดความเชื่อว่า “มีอะไรบางอย่างถูกซ่อนไว้”
แม้จะมีการเปิดเผยเอกสารจากรัฐบาลในเวลาต่อมาเพื่อยืนยันว่าทั้งหมดทั้งมวลที่เป็นข่าวนั้นคือโครงการทางทหาร แต่ความคลางแคลงใจของประชาชนก็ไม่เคยหมดไป บางคนเชื่อว่ารัฐบาลโกหกและเชื่อว่าเทคโนโลยีบางอย่างในปัจจุบัน เช่น ไมโครชิปหรือวัสดุผสมขั้นสูง มันอาจมีที่มาจากการย้อนวิศวกรรม (Reverse Engineering) ด้วยซากยานของเอเลียนในเหตุการณ์รอสเวลล์
สิ่งที่เกิดขึ้นในความไม่แน่ชัดได้ส่งผลกระทบในระยะยาวทั้งทางวัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ และการเมือง แม้จะไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันชัดเจนว่าเหตุการณ์ ณ เมืองรอสเวลล์เกี่ยวข้องกับมนุษย์ต่างดาว 100 % แต่ผลกระทบทางวัฒนธรรมกลับมีอย่างกว้างขวาง โดยในวัฒนธรรมป็อป (Pop Culture) ตำนานรอสเวลล์กลายเป็นแรงบันดาลใจของภาพยนตร์ นิยาย และซีรีส์มากมาย ตัวอย่างเช่น
- The X-Files (1993–2018) ซีรีส์ที่พูดถึงการปกปิดข้อมูลเรื่องมนุษย์ต่างดาวของรัฐบาล
- Roswell (1999–2002) และ Roswell, New Mexico (2019–2022) ซีรีส์วัยรุ่นแนวไซไฟ
- Independence Day (1996) ภาพยนตร์ที่กล่าวถึงฐานทัพลับซึ่งเก็บยานของเอเลียนในเมืองรอสเวลล์
รูปแบบของ “เอเลียนหัวโตตาโต” กลายเป็นภาพจำของสิ่งมีชีวิตนอกโลกและถูกใช้เป็นมุกตลก การ์ตูน ของเล่น รวมถึงสินค้าต่าง ๆ เมืองรอสเวลล์กลายเป็น แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม มีการจัดเทศกาล Roswell UFO Festival เป็นประจำทุกปี เพื่อดึงดูดผู้คนจากทั่วโลก มีการขายสินค้าที่เกี่ยวกับเอเลียนและเปิดพิพิธภัณฑ์ UFO Museum And Research Center สร้างความสนใจในเรื่องการเฝ้าสังเกตท้องฟ้า การลักพาตัวโดยเอเลียนและจานบิน จนกลายเป็นเรื่องราวคู่ขนานกับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์
ในด้านสังคมวิทยาและจิตวิทยา ความเชื่อเรื่องมนุษย์ต่างดาวและการมาเยือนของ UFO นั้นเพิ่มสูงขึ้น โดยผลสำรวจในสหรัฐฯ พบว่ากว่า 50% ของประชาชนเชื่อว่า “รัฐบาลปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับ UFO” แต่วงการวิทยาศาสตร์และการทหารมองว่าเหตุการณ์นี้ช่วยกระตุ้นความสนใจในการสำรวจอวกาศจนทำให้หน่วยงานรัฐ เช่น กองทัพอากาศและ NASA มีโครงการติดตามวัตถุบินได้ที่ไม่สามารถระบุได้ (UAPs Unidentified Aerial Phenomena) อย่างจริงจังมากขึ้นในศตวรรษที่ 21 ซึ่งช่วงปี 2020 เป็นต้นมากระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ กับหน่วยข่าวกรองยังเริ่มเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับ “วัตถุบินได้ที่ไม่สามารถอธิบายได้” หรือที่เรียกกันใหม่ว่า UAPs (Unidentified Aerial Phenomena) จนนำไปสู่การตั้งคณะกรรมการตรวจสอบระดับชาติอย่างเป็นทางการอีกด้วย
จากการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว แม้จะไม่ได้กล่าวว่าเป็น “เหตุการณ์รอสเวลล์” โดยตรง แต่การเปิดเผยนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เรื่องราวซึ่งเคยถูกมองว่าเป็นแค่ “เรื่องหลอกเด็ก” กลับมามีน้ำหนักมากขึ้นในเวทีนโยบายระดับสูง รวมถึงสร้างแรงกดดันให้รัฐบาลต่าง ๆ ต้องดำเนินการอย่างโปร่งใสมากขึ้นด้วย สิ่งสุดท้ายจากการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวยังทำให้เชื่อว่า UFO ตกที่รอสเวลล์ไม่ใช่เพียงเรื่องเล่าเหนือจริงของยุคสงครามเย็น ทว่ามันกลายเป็นสัญลักษณ์ของความสงสัยต่ออำนาจรัฐ การใฝ่รู้ของมนุษยชาติ และความหวังว่ามนุษย์อาจไม่ได้อยู่เพียงลำพังในจักรวาล แม้เวลาจะผ่านมากว่า 75 ปีคำถามก็ยังคงอยู่ “สิ่งที่ตกลงมาที่รอสเวลล์คืออะไร?”
หากมันไม่ใช่มนุษย์ต่างดาว... แล้วทำไมรัฐบาลถึงกลัวที่จะบอกความจริง?