สุหฤท สยามวาลา

สุหฤท สยามวาลา

ผู้บริหารมากความสามารถท่านนี้มีหลายพาร์ทให้เป็นที่จดจำ บางคนรู้จักเขาในนามศิลปินนักร้อง บางคนรู้จักในฐานะดีเจ โต้ สุหฤท หลายคนจดจำเขาได้ว่าเคยลงสมัครชิงตำแหน่งผู้ว่า ฯ กทม. ตอนนี้เขาก็เป็นหนึ่งในกลุ่ม ปลูกเลย ที่ออกมาดำเนินการปลูกป่าที่จังหวัดน่าน 

ไม่ว่าคุณจะรู้จักเขาในหมวกใบไหนก็ตาม บทสัมภาษณ์นี้จะทำให้ได้รู้จักตัวตน มุมมอง ตอกย้ำถึงคำว่าวิสัยทัศน์ และหัวใจการบริหารของนักบริหารที่ชื่อ สุหฤท สยามวาลา Managing Director กรรมการผู้จัดการ ของบริษัท ดี. เอช. เอ. สยามวาลา จำกัด 

“ผมมีพี่น้องทั้งหมด 5 คน ผมเป็นลูกคนที่ 4 ช่วงวัยเด็กผมจะไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไหร่ อาจเพราะสัญชาติอินเดียด้วย แต่เราก็ไม่อยากไปคิดตรงนั้น เด็กชายโต้มันจะเก็บตัวอยู่คนเดียว ค่อนข้างมีเพื่อนน้อย โดนแกล้งบ้างแต่ก็ผ่านมาได้ จนสักประมาณมัธยมต้นก็รู้สึกว่าเราจะจมอยู่อย่างนี้ถึงเมื่อไหร่ เลยเอาความเป็นตัวเองออกมามากที่สุด เปลี่ยนแปลงตัวเอง เริ่มเอาตัวเองออกมามากขึ้น สิ่งที่เราได้คือ Reaction ปฏิกิริยาจากคนรอบข้าง เราก็ค่อย ๆ ปรับตัว เริ่มแสดงความสามารถในด้านต่าง ๆ ของเราออกมาเท่าที่เราถนัด เริ่มเล่นดนตรี เริ่มทำกิจกรรม มันก็เป็นจุดเปลี่ยน ที่สำคัญก็คือเคารพตัวเองแล้วก็ดึงตัวเองออกมาให้คนอื่นเขาได้เห็น ได้รู้ว่าเราเป็นอย่างไร มากกว่าที่จะเลือกเก็บแล้วก็ใช้ชีวิตแบบเศร้าหมองต่อไป

“ผมเรียนอยู่ที่โรงเรียนอัสสัมชัญ ตั้งแต่ ป.1 จนจบ ม.6 เผอิญว่าเรียนพอใช้ได้ ครอบครัวเขาจะรู้สึกว่าเราปกครองตัวเองได้ ทุกเย็นครอบครัวเราจะมานั่งกินข้าวพร้อมกันถือว่าเป็นกิจกรรมหลักเลย รอจนกระทั่งพ่อกลับจากที่ทำงานถึงกินข้าวกัน ในวงสนทนาก็เริ่มคุยธุรกิจ คุยเรื่องปัญหาในบ้านจนทุกวันนี้ผมก็ยังอยากจะทำเช่นนั้นอยู่ ก็คือนั่งกินข้าวด้วยกัน แต่ในบางช่วงมันยุ่งมากจนกระทั่งเหลือแค่เสาร์-อาทิตย์ แต่ก็ยังต้องทำให้ได้เป็นกิจวัตรครับ 

“ชีวิตคนมันจะมี Blessing in disguise ในทุก ๆ ความทุกข์ เวลาเราจมดิ่งที่สุด มันจะมีทางออกของมันเสมอ ผมสอบเอ็นทรานซ์ไม่ติดก็เลยเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญต่อ (ABAC) คณะศิลปะศาสตร์ ปรากฏว่ามันเป็นชีวิตที่รุ่งโรจน์ มีความสุข แต่เรียนไม่ดี เพราะเป็นพวกบ้ากิจกรรม เป็นช่วงวัยรุ่นที่สนุกมากครับ ตอนนั้นรักดนตรีมาก ผมเป็นนักร้องคนแรกของวง CRUB (วงอัลเทอร์เนทีฟวงแรก ๆ ของไทย) มาตั้งแต่มัธยมต้น ตอนนั้นวงเราชอบเล่นเพลงนอกกระแส เล่นแนว Heavy และ Hardrock ยุค 80 เริ่มเล่นเพลงอิเล็กทรอนิกส์บ้าง 

“พอเรียนจบวง CRUB ก็กำลังจะทำเพลงออกเทปพอดี เป็นช่วงที่ต้องเลือกระหว่างจะไปทำเพลงหรือจะทำงานธุรกิจของครอบครัว ตอนนั้นเศร้ามากเพราะผมรักดนตรีมาก อยากไปทำเพลงกับเพื่อนมาก ก็นึกอยู่เหมือนกันถ้าวันนั้นเราไม่เลือกที่จะมาทำธุรกิจตรงนี้แต่ไปเลือกทำงานในวงการดนตรี ชีวิตมันจะเป็นยังไง เรานั่งเศร้ากับอดีตได้นะ แต่มันก็ไม่เกิดประโยชน์หรอก เราเลือกเส้นทางนี้เราก็ต้องไปให้เต็มที่เลยครับ เพราะชีวิตมักจะเกิดโอกาสใหม่ ๆ ขึ้นมาเสมอ เราไม่ได้ทิ้งพอเรามีโอกาส เราก็กลับมาทำใหม่ ความผิดหวังครั้งนั้นไม่ได้หมายความว่าจะจมไปทั้งชีวิตนี่ แล้วทุกครั้งจะเป็นแบบนี้ รอจนกระทั่งเราพร้อมเราก็กลับไปทำอัลบั้ม” 

ประสบการณ์กว่า 100 ปี

อุปกรณ์เครื่องเขียนนั้นอยู่รอบ ๆ ตัวเรา ไม่ว่าจะช่วงไหนของชีวิตทั้งเรียนหนังสือ การทำงานในแต่ละสายงาน ทุกคนจำเป็นต้องใช้ปากกา สมุด ดินสอ แฟ้มเอกสาร ฯลฯ ด้วยคุณภาพสินค้าของที่นี่ ทำให้ไม่น่าแปลกใจเลยว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการอย่าง บริษัท ดี.เอช.เอ.สยามวาลา นั้นสามารถดำเนินธุรกิจนี้มากว่า 100 ปี

“บริษัท ดี.เอช.เอ. สยามวาลา จะเน้นธุรกิจเครื่องเขียนเป็นหลัก แล้วก็มีทำธุรกิจทางด้านเทคโนโลยีบ้าง และตอนนี้กำลังเปิดตัวเว็บไซต์ใหม่ เอาความชอบของตัวเองมาต่อยอด secondlife.com ถ้าคุณมีชีวิตที่สอง (งานอดิเรก) เราจะขายของให้กับชีวิตด้านนั้น อาทิ จักรยาน, โยคะ, งานศิลปะ ฯลฯ อะไรก็ตามที่เป็นชีวิตที่สอง เพราะผมอยากจะชวนคนเลิกงานให้ตรงเวลา แต่เลิกงานแล้วต้องออกไปใช้ชีวิต ให้มีเวลาใช้ชีวิตของตัวเอง เราจะมาในแนวนั้น ทำเป็นธุรกิจใหม่ขึ้นมาอีกอัน ตอนนี้กำลังเปิดตัวอยู่

“บริษัทก่อตั้งมา 109 ปีแล้วครับ เริ่มแรกเรายังไม่ได้ทำเป็นสินค้าของตัวเอง เป็นแค่นายหน้า แต่คุณพ่อของผมท่านมีวิสัยทัศน์ที่ไกล คือเมื่อ 50-60 ปีก็ตัดสินใจทำสินค้าของตัวเองขึ้นมาจำหน่าย ทำแฟ้ม ทำเครื่องเขียน แล้วก็พยายามเข้าสู่ตลาดนักศึกษา ตอนนั้นเกิดนวัตกรรมมากมาย อาทิ น้ำยาลบคำผิด แต่ก่อนถ้าผิดต้องพิมพ์ดีดใหม่ ทันใดนั้นก็มีน้ำยาลบความผิดมาป้ายลบได้ทันที  เรามีความตื่นเต้นแบบนั้นในอดีต ดินสอกดเกิดขึ้น ปากกาหัวต่าง ๆ ออกมา และบริษัทเราเป็นบริษัทแรกที่เรียกคำว่า ปากกาลูกลื่น ขึ้นในประเทศไทย มันมีนวัตกรรมอะไรต่าง ๆ ออกมามากมาย แต่เดี๋ยวนี้เรื่องนวัตกรรมค่อนข้างนิ่ง เราก็ต้องไปทางแฟชั่นมากขึ้น ปัจจุบันเรามีสินค้าหลากหลายมากอาทิ แฟ้มตราช้าง, ดินสอสี Master Art, ปากกา Quantum ฯลฯ 

“ตอนคุณพ่อเกษียณก็ส่งไม้ต่อให้พี่ชายคนโตทำ ผมเพิ่งมาเป็น MD เมื่อ 4 ปีที่แล้วครับ ก็เข้ามาผ่าตัดนู้นนี่ในองค์กร เสร็จเรียบร้อยยอดโตสนุกมากเลย หน้าที่ของกรรมการผู้จัดการก็คือรับผิดชอบทุกอย่างในบริษัท รับผิดชอบผลกำไร รับผิดชอบพวกการรีเทิร์นต่อผู้ถือหุ้น ก็คือทุกอย่าง ผมเริ่มจากเป็นฝ่ายมาร์เก็ตติ้ง เริ่มแรกคุณพ่อก็ให้ออกไปศึกษางานตามตลาดต่างจังหวัด 3 เดือน ไปอยู่แบบพนักงานขายเขาอยู่ มันเป็น 3 เดือนที่มีค่ามาก และไม่มีวันกลับมาอีกแล้วด้วย ปัจจุบันจะออกตลาดสัก 5 วันยังแทบตายเลย แต่ก่อนนี่ออกไปเป็นเดือน ๆ ออกไปเรียนรู้ ออกไปใช้ชีวิตแล้วก็กลับมาทำการตลาด 

“งานที่ทำพวกเราต้องรู้สึก เวลาเรารู้สึกกับอะไรที่เราทำ สิ่งที่เราทำมันมากกว่าแค่ความรู้ อันนี้เป็นสิ่งที่ผมยึดถือมาตลอด รู้สึกกับมัน ไปโรงงานไปนั่งดูเครื่องจักร ทำความเข้าใจกับการทำงานของมัน ผมไม่ได้เป็น Engineer มาก่อนแต่ก็ต้องรันงานในโรงงานด้วย ตาก็ต้องจิกผลิตภัณฑ์ทุกอย่างว่าต้องออกมาดีทั้งหมด

“อย่างที่บอกว่าช่วงแรกยอดโตขึ้นมาก แต่พอเราเริ่มพองมันจะมีใครมาตบเราสักที ผมประสบปัญหาใหญ่เพราะน้ำท่วมทั้งโรงงานในปี 54 เรียกว่าหมดตัว ที่โรงงานพังหมดไม่มีอะไรเหลือ ต้องกินยานอนหลับเป็นอาทิตย์ ต้องผ่านปัญหามาให้ได้ ต้องนำองค์กรให้ได้ ก็ได้ความรู้แต่เครียดมาก ช่วงนั้นผมจะเดินยิ้มเข้ามาในโรงงาน พนักงานทุกคนรู้ว่าเราหมดแล้วเพราะน้ำท่วมโรงงาน เครียดกันหมด แล้วทุกคนจะทำไงถ้า MD เดินร้องไห้เข้ามา เสียกำลังใจกันหมด ถ้าเราหงอยไปสักคนก็หมดเลยนะ เราไม่ได้เลือกทางนั้น เลือกยิ้ม สู้เอาให้เต็มที่ 

“ใช้เวลาหนึ่งปีในการฟื้นฟูและกลับมาใหม่ เพราะว่าเครื่องจักรมันเป็นเครื่องที่เราออกแบบไว้เพื่อสินค้าเราเอง มันไม่ใช่ดีดนิ้วซื้อแล้วก็มา ต้องไปซ่อมมัน มีฮีโร่เกิดขึ้นมากมายในบริษัท ไปเอามอเตอร์มานั่งซ่อมนั่งทำ ตอนทุกอย่างมันเสร็จ แฟ้มเล่มแรกมันออกมาจากเครื่องที่เคยจมอยู่ในน้ำตลอด คุณภาพครั้งแรกไม่ได้ดีนะ แต่มันก็ผลิตออกมา หลังจากนั้นก็เริ่มเครื่องอื่น ๆ แล้วก็ทำไปเรื่อย ๆ พอผ่านน้ำท่วมยอดเริ่มโตก็มาเจอกับปัญหาด้านการเมืองอีก ก็นิ่งไปพักนึงครับ แต่สุดท้ายเราก็ผ่านมันไปได้ 

“ตอนนี้ยอดขายของเราก็โตขึ้นครับ แต่การแข่งขันสูงขึ้นคู่แข่งก็เยอะขึ้น ผมมองว่าการมีคู่แข่งก็เป็นเรื่องที่ดี มันทำให้เราใช้ปัญญา การแข่งขันมันทำให้เราคิด ทำให้เราไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลา เป็นเรื่องปกติที่ต้องเจอเราก็จะฟิตตลอดเวลา”

หัวใจของการบริหารงาน

“สิ่งแรกที่ต้องบริหารให้ได้คือคนครับ ไม่มีคนก็จบ อยากให้เขามีความสุข ได้อะไรที่ดี ๆ กลับไป อยากให้การมาทำงานต้องสนุก แต่เชื่อไหมว่าการบริหารคนโคตรยากเลย แต่ก็ไม่ได้เกินความสามารถอะไร ค่อย ๆ ทำ มันก็ไม่ได้มีใครเชื่อเราร้อยเปอร์เซ็นต์ ที่เขาครับ ๆ ค่ะ ๆ ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะทำ ดื้อเงียบก็มี จะให้ทุกคนเห็นด้วยก็ต้องลำบาก หน้าที่ของผู้นำก็คือต้อง Convince โน้มน้าวว่าทำไมชวนเขามาทำแบบนี้ ถ้าเขาบอกว่าคุณสุหฤท ทางนี้ลงนรกแน่และเป็นเหวแน่ ต้องฟัง ไม่ฟังก็พากันลงเหว เพราะฉะนั้นผู้นำที่ดีต้องฟังด้วย พูดด้วย Convince ด้วย เพราะเขาทำงานตรงนั้น เขารู้ดีกว่าเราเยอะ เราอยู่ในห้องประชุมก็รู้สู้เขาไม่ได้ แต่ต้องไตร่ตรองเป็นว่าอะไรถูกอะไรผิด 

“สินค้าของเราต้องทำให้มันแตกต่างจากคนอื่นเขา ทำเครื่องเขียนให้มัน Colorful ให้มีสีสันมากขึ้น เน้นเรื่องคุณภาพเยอะ ๆ ให้คนใช้รู้สึก Happy มันจะทำให้ทุกอย่างอยู่นาน หากไปทำอะไรฉาบฉวย ของห่วย ถูกไปก็ไม่มีประโยชน์ แล้วก็หาจุดเด่นที่ตัวเองจะ Differentiate แตกต่างจากคนอื่นเขา แฟ้มตราช้างวันนี้ก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว ของทุกอย่างที่เราทำก็ Fashionable ขึ้น สีสันมากขึ้น เพราะว่ากลุ่มลูกค้าเดี๋ยวนี้ก็เป็นกลุ่ม New Generation ทั้งนั้น 

“ธุรกิจแต่ละแบบก็บริหารจัดการต่างกัน แต่ถ้าในธุรกิจของผม สิ่งที่ผมทำก็คือเคารพคน แล้วคุณจะต้องสามารถ Convince ในสิ่งที่คุณเชื่อได้ในฐานะผู้บริหารถ้ามีคนเถียงห้ามด่า ให้ฟัง เขานั่นแหละคือข้อมูลที่โอเค ฟังแล้วคิด ถ้าหากมันชักไม่ได้เรื่องบอกให้หยุด ผมจะฟังเฉพาะไอเดียที่เหนือกว่าผมเท่านั้น เหนือในที่นี้หมายความว่ามีเหตุผลที่ตรรกะดีกว่า เพราะไม่งั้นทุกคนพูดหมด แต่เราต้องเลือกแล้วเปิดใจฟัง แล้วเชียร์ให้ลูกน้องเลื่อยเก้าอี้ตัวเอง ผมโคตรแฮปปี้เลยถ้าใครจะมาเลื่อย เชิญเลื่อยเก้าอี้สุหฤท เพราะสุหฤทจะได้หาเก้าอี้ที่มันใหญ่กว่านั่ง ให้ลูกน้องแสดงศักยภาพเต็มที่ ลูกน้องที่ไม่แสดงออกไม่เถียง นั่นแหละลำบาก อยากให้บริหารงานให้ได้ยิ่งลูกน้องเก่งยิ่งดีต่อบริษัทครับ  

“ความสุขของผมตอนนี้คือการได้พาครอบครัวออกไปเที่ยวข้างนอก แล้วถ้าเป็นไปได้คือให้ลูก ๆ กับภรรยานั่งรถคันนึง ส่วนตัวผมขี่รถมอเตอร์ไซค์ ฟินที่สุดในโลกเพราะยังได้ความชอบของตัวเองแล้วยังได้อยู่กับครอบครัวด้วยครับ”

จริงจังเกินกว่าคำว่างานอดิเรก

จากภาพภาพลักษณ์ผู้บริหารที่ดูเข้มในโฆษณาแฟ้มตราช้างที่เขาแสดงเองทำให้คนส่วนใหญ่จดจำได้เป็นอย่างดี ในชีวิตการทำงานจริงเขาก็เป็นอย่างนั้นครับ สีเสื้อสูทจี๊ดจ๊าดได้ใจ ภายในห้องทำงานส่วนตัวก็เต็มไปด้วยอุปกรณ์ต่าง ๆ สำหรับการเป็นดีเจ นอกจากเป็นศิลปินการเป็นดีเจคือความสุขอีกอย่างของชีวิต  

“ภาพลักษณ์ของผมอาจดูเปรี้ยวดูซ่า เพราะเราเคารพตัวเอง ผมไม่ได้รู้สึกว่าการเป็นกรรมการผู้จัดการ มันจะต้องวางฟอร์มอะไรนักหนา มันไม่มีความจำเป็นเลย คุณเป็นยังไงก็เป็นอย่างนั้น วัดกันที่สมอง ที่การบริหารงาน ถ้าจี๊ดจ๊าด แต่สมองไม่มีก็ไม่รู้จะนำทัพยังไง เพราะฉะนั้นคุณจะเป็นอะไรก็เป็นเถอะ แต่หน้าที่ที่คุณรับผิดชอบ คุณต้องเจ๋งที่สุด ต้องไปให้มันสุดในทุกทาง คนเราเป็นอะไรก็ได้ที่เราอยากทำ ผมเป็นทั้งกรรมการผู้จัดการบริษัท, ดีเจ, ศิลปิน ฯลฯ 

“แบ่งเวลายังไงนะเหรอ อืม...คือไม่แบ่งครับ ถ้าเราคิดแบ่งเวลาเมื่อไหร่ล่ะเสร็จ ถ้าว่างไม่ได้เป็นดีเจเราก็ทำงานเยอะ ๆ พอจะต้องทำอัลบั้มเพลง เราก็ให้สัดส่วนการทำเพลงเยอะหน่อยในช่วงนั้น พอเสร็จก็กลับมาทำงาน เพราะฉะนั้นชีวิตมันจะขึ้นลง เราก็ปล่อยไปตามโอกาส ความห่วยแตกคือการทะลึ่งไปแบ่งมันนั่นแหละ บริหารงานบริษัทถึงกี่โมง กี่โมงต้องทำเพลง คือสุดท้ายมันจะพังหมด  แต่งานทุกอย่างต้องไม่ให้เสียคุณภาพนะครับ

“ผมชอบเปิดเพลง ชอบการเป็นดีเจ มิกซ์เพลงนั้นผสมเพลงนี้ ถ้าว่างเมื่อไหร่จะเห็นผมไปเปิดเพลงตามปาร์ตี้ต่าง ๆ อย่างงานเพลงผมก็ทำมาแล้ว 4 อัลบั้ม เริ่มจากชุดแรกชื่อสุหฤท ทำเพลง Heavy, Hardcore เป็นอิเล็กทรอนิกส์แบบเร็วมาก โครมคราม ก็จะมีคนกลุ่มเล็ก ๆ ชื่นชอบ จากชุดนั้นก็คิดใหม่ว่าจะทำไงให้มันดัง โดยที่เราไม่รู้สึกข่มขืนตัวเอง ก็เลยเปลี่ยนโจทย์ ดนตรีมันก็เลยเริ่มเปลี่ยนไป ค่อย ๆ ปรับ จนออกมา 4 ชุด ตอนนี้กลับมาเป็นตัวเองเยอะหน่อย ผมจะไม่ยึดติดว่าเราจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป เดี๋ยวชุดนั้นไปร็อค ไปแนว Alternative เดี่ยวกลับมาอิเล็กทรอนิกส์ใหม่ กลับมา Progressive House ใหม่ แล้วแต่ช่วงตอนนั้นตอนนี้อิเล็กทรอนิกส์คนก็รับมากขึ้นเยอะครับ”  

ปั่นความสุข

หลาย ๆ คนที่เป็นเพื่อนกับเขาในโลกโซเชี่ยลมักเห็นเขาปั่นจักรยานเป็นกิจวัตร เรียกว่าการปั่นจักรยานแทบจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ขนาดที่ว่าเพิ่งหัวใจวายมาหมาด ๆ หมอห้ามก็ยังปั่น

“ตอนสมัครผู้ว่าฯ กทม. ก็มีคนเข้ามาถามว่าคุณจะปั่นจักรยานไหม หรือแค่กระแดะ ถ้ารับปากว่าหลังจากเลือกตั้งเสร็จแล้วจะปั่นจักรยานเขาจะช่วย ผมบอกคุณไม่ต้องช่วยหรอก แต่ผมรับปาก พอเลือกตั้งเสร็จผมก็เลยเริ่มปั่นจักรยาน หาจักรยานอยู่นานจนกระทั่งได้ไซส์ที่เราต้องการ ตอนแรกกลัวถนนใหญ่มาก แต่พอออกได้เท่านั้นแหละตั้งแต่วันนั้นก็ปั่นจากบ้านมาที่ทำงาน (บ้านอยู่พัฒนาการ บริษัทอยู่สุรวงศ์) ช่วงเช้าเป็นช่วงที่เรารู้สึกว่าดีที่สุดเพราะแทนที่เราจะนั่งติดในรถ เราก็ปั่นจักรยานแทนได้เห็นอะไรหลาย ๆ อย่าง 

“ผมเพิ่งผ่านการหัวใจวายมาสักพัก ใช้ชีวิตหนักไปหน่อยสะสมมานานไม่รู้จักพัก ทั้งทำงานหนัก ทั้งปาร์ตี้ ร่างกายก็เลยทวงคืน เกิดอาการหัวใจวายฉับพลัน เริ่มจากปวดหน้าอกก็เลยขับรถไปหาหมอ เราก็ไม่รู้ว่าเราเป็นโรคหัวใจ คือตอนนั้นหัวใจวายไปแล้ว จนกระทั่งหมอบอกว่าต้องเข้าห้องผ่าตัดเดี๋ยวนี้ ผมกับแฟนยังบอกว่าเดี๋ยวค่อยมาหาหมออีกที เพราะอาการดีขึ้นแล้ว แต่หมอห้ามบอกว่ากลับไปอีก 90 นาที คุณจะต้องมารถพยาบาลนะ ก็เลยยอมผ่าตัด 

“วันแรกที่หลังกลับจากพักฟื้นผ่าตัดหัวใจวาย ก็ปั่นจักรยานเลย แต่ต้องเลี้ยงความเร็ว ก็เสียวดีแต่ว่าเรากลับมาให้มันอยู่ในวิถีชีวิตตัวเองเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ ก็สนุกดี ตอนนอนพักฟื้นที่เตียงคนไข้ได้คิดอะไรเยอะครับ แต่อยากกลับมาทำงาน ผมเป็นคนที่อยู่บ้านแล้วถ้าบอกว่าตัวเองป่วยแล้วจะป่วยสุด ๆ ตอนป่วยชีวิตมันก็ดำดิ่ง พอมาทำงานแล้วมันก็เฟรชขึ้น แต่ก็ต้องระมัดระวังมากขึ้น

“จะเรียกให้กำลังใจตัวเองหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ ปัญหาต่าง ๆ ทำอะไรเราไม่ได้ ถ้าเราสู้ เราไม่ยอมแพ้ หมดลมหายใจเท่านั้นแหละถึงจบ ลุยใช้ชีวิต ทุกข์ก็ช่างมัน ร้องไห้คนเดียวได้ แต่อย่าตาย มันยังไม่มีความจำเป็น ผมจะรู้สึกอย่างนั้น บอกตัวเองว่าห้ามตาย ต้องไปในที่ ๆ ชอบแบบมีลมหายใจ ใช้ชีวิตเต็มที่ ให้ยิ้มแล้วก็ตาย เป็นคนคิดอย่างนั้น อย่างที่บอก Blessing in disguise ทุกคนต้องเจอ เวลาดิ่งมันจะมีทางเลือก เราอย่าคิดว่าชีวิตดิ่งครั้งเดียว ดิ่งแล้วดิ่งอีก ยิ่งโตยิ่งรับผิดชอบงาน ก็จะดิ่งลึก กระแทกเจ็บเข้าไปอีก เพราะฉะนั้นไม่มีเจ็บที่สุด เราก็จะแกร่งขึ้น อย่าคิดว่าแผลเป็นมันทำให้เราน่าเกียจ มันเป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้”

ลงสมัครเลือกตั้งผู้ว่า ฯ กทม.

วันแรกที่เขาประกาศออกไปว่าจะลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ก็โดนถล่มเละว่าเป็นดอกไม้ริมทาง  แต่นโยบายของเขาก็ได้ใจคนรุ่นใหม่ไปอย่างล้นหลาม จนได้ชื่อว่าเป็นผู้ว่าเด็กแนว แต่ผลก็เป็นอย่างที่เราทราบกันดี ต้องลุ้นกันครับว่าสมัยหน้าเขาจะลงอีกหรือไม่

“เหตุผลที่ลงเลือกตั้งเพราะผมอยากพิสูจน์ว่าจะเป็นอย่างไร เราจะได้เลิกบ่นถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ สักที คิดว่าเราน่าจะพอบริหารได้ เราก็ลุกขึ้นไปทำครับ แต่มันไม่ง่ายแค่นั้น ต้องเข้าใจต้องศึกษาก่อนจะตัดสินใจลงเลือกตั้งครั้งที่แล้วเราก็ศึกษาว่าเป็นยังไง กรอบอำนาจและกฎหมายเป็นอย่างไร ถ้าไม่นับหนึ่งมันก็จมอยู่กับเลขศูนย์ ก็ต้องเปลี่ยน ถ้าทุกคนคิดว่าเปลี่ยนไม่ได้ก็เสร็จกันหมดทั้งประเทศ  คนเคยหัวเราะผมว่าในกรุงเทพ ฯรถพยาบาลไม่มีทางวิ่งได้ ดูวันนี้สิครับ ผมว่าการแก้ปัญหาที่ง่ายที่สุดเลยคือให้สังคมช่วยกันนิดเดียว มีคนบ่นว่าประเทศไทยไม่มีทางเข้าคิว งั้นเราก็เริ่มเข้าคิวสิครับลูกมันจะได้เข้าคิวตาม อีก 5 ปีก็เปลี่ยน ถ้าวันนี้เราไม่ทำก็เน่าอยู่อย่างนี้ วันนี้เปลี่ยนก่อนแล้วทุกอย่างจะเปลี่ยน ไม่ต้องพรุ่งนี้ไม่จำเป็น เริ่มที่ตัวเอง แล้วใครแซงคิวต้องบอกเลยนะคุณแซงคิว ต้องไม่ยอม 

“หลังจากลงสมัครในครั้งนั้นผมรู้สึกว่าเข้าใจอะไรต่ออะไรมากขึ้นนะ อย่าไปคิดว่าทุกอย่างพูดไปแล้วคนจะเห็นด้วย จะทำตาม และสิ่งที่สำคัญคือต้องพิสูจน์ มันไม่ใช่เรื่องการพูด แต่มันต้องพูดด้วยความรู้ เพราะคุณกำลังเอาชีวิตคนอื่นมาเสี่ยง ศึกษาเยอะ ๆ ต้องคิดในฐานะประชาชน ไม่พูดแบบนักการเมือง เราทำได้ดีที่สุดแค่ไหนเราก็ทำแค่นั้น พยายามเปลี่ยน แล้วกรุงเทพถูกออกแบบมาให้เป็นอิสระ สามารถออกกฎหมายได้ ร่วมทุนได้ เขาออกแบบให้เราเป็นอิสระ แต่เรายังเลือกเข้ากรง 

“จะลงอีกหรือเปล่า ยังไม่รู้ครับ ก็ต้องดูตอนนั้นว่าสถานการณ์เป็นยังไง แต่ถ้าเป็นแบบเดิมอย่าไปเสียเวลาลง อาทิตย์สุดท้ายมีใครฟังนโยบายบ้าง ต้องไม่ให้นักการเมืองง่าย คุณต้องถามเรื่องนโยบาย คุณชอบใครก็เลือกคนนั้น แล้วก็ทวงนโยบาย วันนี้มีใครทวงนโยบายบ้าง แต่เสียงทุกคนเราก็ต้องเคารพอยู่แล้ว แต่เราเชิญชวนว่าอย่าให้ใครปั่นเอาง่าย ๆ เอานโยบาย นั่นคือตัวเนื้อหาที่คุณจะจับได้ แล้วทุกคนหลังจากนี้พูดอะไรต้องทำ อย่าพูดเฉย ๆ แล้วพวกเราต้องให้เขาทำมันถึงจะมีประโยชน์ นักการเมืองไทยสบายมาก พูดถูกจุดนิดเดียวสบายแล้ว”

ปลูกเลย

กลุ่ม “ปลูกเลย” เป็นกองทุนรับเงินบริจาคสมทบทุนในการดำเนินการปลูกป่าที่จังหวัดน่าน เงินทุกบาทที่ได้รับจะถูกนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดและจะมีการรายงานการใช้ทุกบาททุกสตางค์ ไม่มีตกหล่น ซึ่งกลุ่มนี้แบ่งเป็น 3 ส่วน ไม่มีใครเป็นหัวหน้า มารวมตัวช่วยกันคิดช่วยกันทำ และเขาเป็นหนึ่งในส่วนขับเคลื่อนโครงการร่วมกับ โจอี้บอย และ ธนญชัย ศรศรีวิชัย

“เริ่มต้นจากตอนที่ผมเห็นภาพมุมสูงครั้งแรก เราเห็นป่าราบ เห็นเขาอยู่สองลูกที่มันกลายเป็นเขาหัวโล้น เราดูรูปแล้วก็เริ่มศึกษา นี่มันวิกฤติแล้ว ทำไมป่าไม้มันหมดกันได้ขนาดนี้ ทุกปีเราจะเห็นภาพเขาหัวโล้น แต่ปีนี้มันเริ่มตื่นตัว ผมก็แพร่ไปในอินเตอร์เน็ต หลังจากนั้นก็มีเพจหลายเพจออกมาด่า ผู้ว่าแกก็ทนไม่ไหว แกก็จุดประกายบอกว่าเอาอย่างนี้แล้วกันอย่าพิมพ์เลย มานี่เอามือลงดินเลย ซึ่งดีมากเลยนะแกจุดประกายขึ้นมา คุณโจ้ (โจอี้บอย) ก็บอกโอเคผมไปช่วย ชวนผมก็โอเคไปช่วยกันทำ หลังจากนั้นก็เริ่มรวมตัวกัน เริ่มคุยกันว่าจะทำยังไง รันแคมเปญยังไง ช่วยกันตามที่ตัวเองถนัด ตามกำลังที่ตัวเองมี 

“ส่วนขับเคลื่อนโครงการ ได้แก่ โจ้ โจอี้ บอย, ต่อ ธนญชัย และผม ส่วนการประสานงานคือคุณสันติ จากสมาคมจักรยานเพื่อสุขภาพไทย, คุณดนุพล สยามวาลา และ คุณสำรวย นายก  อบต.  เมืองจัง ส่วนงานทางด้านวิชาการ อาจารย์จุล จากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ปรึกษากลุ่มคืออาจารย์ยักษ์ วิวัฒน์ ศัลยกำธร ผู้ก่อตั้งศูนย์กสิกรรมธรรมชาติมาบเอื้อง

“คิดว่าต้องเลือกพันธุ์ไม้มาปลูกให้มันถูกต้องที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ ความรู้สึกยิ่งรุนแรงมากตอนที่ไปลงพื้นที่เพื่อไปหาข้อมูล เพื่อไปดูว่าเราจะทำอะไรได้บ้าง ภาพที่แชร์ไปในเน็ตวันนั้นกระจอกเลยนะ เวลาไปเห็นจริง ๆ แล้วหายไปแบบสุดลูกหูลูกตานั่นแค่อำเภอเดียว สิ่งที่คิดคือถนนสายนี้โผล่มาได้ยังไง สร้างเพื่ออะไร คือจริง ๆ ทั้งน่านเป็นอย่างนั้น และไม่ใช่จังหวัดน่าน มีอุตรดิตถ์ แพร่ พะเยา เชียงใหม่ เชียงราย ตาก ที่อื่นก็อาจจะเห็นเขียว ๆ อยู่บ้าง เพราะเขาปลูกพืชอย่างอื่น แต่ที่น่านนี่ข้าวโพดร้อยเปอร์เซ็นต์ 

“เราก็เลยเลือกน่านก่อน แล้วมัน 45% ของเจ้าพระยา คิดดูแล้วกันเวลาต้นไม้ไม่เหลือที่ต้นน้ำ แล้วน้ำจะมาจากไหน น้ำออกจากดินจริง ๆ นะเวลาป่ามันสมบูรณ์ บางที่เป็นเขาหัวโล้นแล้วเราเห็นสีเขียวมันคือหญ้า เชื่อไหมบางที่หญ้ายังไม่ขึ้นเลย มันสิ้นสภาพไปแล้ว ปลูกอะไรก็ตาย แต่ก็มีวิธีที่จะฟื้นฟู กว่าที่ระบบนิเวศมันจะกลับมามันเป็นสิบปี ไม่เริ่มวันนี้แล้วเริ่มเมื่อไหร่ แล้วถ้าไปเริ่มอีกสิบปี จะเหลือให้เริ่มไหม 

“เราทำเท่าที่จะทำได้ เพราะเราไม่ได้เป็นคนออกกฎหมาย ไม่สามารถจะหาตลาดมาแทนข้าวโพด ไม่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น ทำได้เต็มที่ก็ 500-600 ไร่ จาก 8 แสนไร่ เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงครับ เราขอทำเท่าที่เราทำได้ตอนนี้ เราไม่ได้เป็นคนสร้างระบบนี้ขึ้นมา แต่อย่างน้อยเราไปทำเพื่อบอกให้ผู้ที่มีอำนาจช่วยปรับอะไรหน่อยได้ไหม เพราะแค่เราทำเองมันไม่มีทางสำเร็จ ถ้าเราปลูกได้น้อยแต่รักษาไว้ได้ยังดีกว่า ปลูกเยอะ ๆ แต่มันพัง เรื่องนี้ต้องช่วยกัน สร้างความเข้าใจ อย่าไปโทษใคร อย่างชาวบ้านต้อง
ผสมผสานให้เขาได้ปรับชีวิตเขา ชีวิตเขาอยู่กับข้าวโพด เหมือนกับเราเวลาคนให้มาเปลี่ยนอาชีพ เสียวไหมล่ะ เพราะฉะนั้นโทษเขาไม่ได้ 

“สามารถร่วมบริจาคได้ หรือว่าถ้ารวมกลุ่มติดต่อทางราชการที่นั่น เราจะช่วยกัน ทำได้หลากหลายมาก ขออย่างเดียวอย่าทะเลาะกัน อ่านคอมเม้นท์บางคอมเม้นท์แล้วอย่ามานั่งทะเลาะกันเพราะเรื่องพวกนี้ ถ้าคุณบอกว่าผมผิด คุณสอนผมว่าที่ถูกทำยังไง ผมก็เชียร์ให้ทุกท่านออกไปช่วยกันทำที่ถูก คนไหนทำสำเร็จก็ยึดเป็นตัวอย่างเลยแต่ถ้าทะเลาะกันมันไม่มีประโยชน์ครับ” 

BLESSING IN DISGUISE ทางออกสู่ความสำเร็จ