ร่ำรวย

ร่ำรวย

ความร่ำรวยมีสองแบบ คือการร่ำรวยเงินทอง วัตถุสิ่งของ นี่คือความร่ำรวยทางโลก

ส่วนแบบที่สองคือความร่ำรวยทางนามธรรม คือทางจิตวิญญาณ เป็นความร่ำรวยของโลกข้างในตัวเอง

พื้นฐานของชีวิตนั้น ต้องการปัจจัยสี่ที่จับต้องได้ มันคือรูปธรรมที่ชัดเจน

คนเราทุกคนเมื่อเติบใหญ่ ต้องทำงานเพื่อให้ได้มาซึ่งปัจจัยสี่ที่เป็นรูปธรรมที่จับต้องได้

คุณจะไม่พบว่ามันมีปัจจัยสี่เชิงนามธรรม! ตามที่คุณเห็น คนจำนวนมากนั้นยากจนทางวัตถุ  ขาดแคลน  อดอยาก

ฉะนั้น วันๆ ก็ต้องหมดเวลาไปกับการต่อสู้ดิ้นรน ไปหาปัจจัยสี่โดยเฉพาะอาหารทุกวัน  พูดง่ายๆ ไปหาเงิน นั่นทำให้แทบไม่มีเวลาเหลือในการเจริญภาวนา ฉะนั้น คนที่ยากจนจริงๆ จะยากจนทางจิตวิญญาณไปด้วย คนที่ร่ำรวย มีเงิน มีสิ่งของ พวกเขาก็ยากจนทางจิตวิญญาณเช่นกัน แต่มีเวลาเหลือ

พวกเขาไร้ความสุข เพราะเงินแค่ทำให้สะดวกสบาย 

แต่ไม่ใช่คำตอบทั้งหมด มันแค่ด้านหนึ่งของเหรียญ คนรวยเมื่อรวยวัตถุ ก็เห็นง่ายว่าตัวเองยากจนทางจิตวิญญาณ มันเพิ่มโอกาสให้เขาแสวงหาอีกด้านของเหรียญ คนจำนวนหนึ่งเข้าใจว่าคนที่จนน่าจะมีจิตวิญญาณสูง  แต่ความจนกับ
จิตวิญญาณเป็นสองเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันโดยตรง

คุณจะพบว่าคนจนที่จนมากที่สุดคือขอทาน และขอทานไม่เคยบรรลุธรรม!

ฉะนั้น ลำดับที่ถูกต้องและเป็นธรรมชาติคือ คุณต้องร่ำรวยทางโลกก่อน แล้วคุณจะรู้ชัดว่าคุณต้องการเพิ่มอีกด้านคือจิตวิญญาณ แล้วคุณก็จะหันไปเจริญภาวนา นั่นทำให้คุณมีครบทั้งสองด้านในที่สุด

ความยากจน หาความดีในตัวมันเองไม่ได้

ไม่มีชนชาติใดในโลกที่รัฐบาลตั้งเป้าหมายให้ประชากรของตัวเองยากจน คนจำนวนหนึ่งเชื่อว่า คนร่ำรวยเป็นคนไม่ดี คนจนเป็นคนดี 

ข้อเท็จจริงก็คือ คนร่ำรวยและคนจน มีผสมกันทั้งคนดีและคนไม่ดี

แต่คนรวยนั้นโดยมากจะยากจนทางจิตวิญญาณ แต่มีโอกาสตระหนักรู้ว่าตัวเองจนมากทางจิตวิญญาณ 

เพราะอะไร? 

เพราะมีประสบการณ์กับโลกทางวัตถุมาก สักวันก็ตระหนักว่าภายในตัวเองนั้นว่างเปล่า พวกเขายังไงก็มีกิน จึงมีโอกาสหันไปแสวงหาทางโลกภายใน

คนจนโดยมากจะไม่ตระหนักว่าตัวเองยากจนทางจิตวิญญาณเพราะไม่มีเวลาเหลือ ทุกวันท้องหิว ต้องไปหาอาหารกินก่อน!

สรุป จงร่ำรวยทางวัตถุเงินทองก่อน  แล้วคุณจะพัฒนาต่อไปได้เอง นี่คือธรรมชาติ! 

แล้วดี