ขับถ่าย
สิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญแต่ผู้คนมักไม่ค่อยใส่ใจทั้งๆ ที่อยู่ใกล้ตัวเรามากมาย นั่นก็คือเรื่องของการขับถ่ายนั่นเอง โดยเฉพาะอุจจาระของเรา เพราะหลังจากที่ขับถ่ายเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลายคนมักคิดว่าสิ่งนี้เป็นของต่ำ สกปรก จึงละเลยไม่สนใจหรือใส่ใจ ไม่เคยมีการหันไปเหลียวแลว่าวันนี้อุจจาระของเราเป็นอย่างไร ทั้งที่จริงๆ แล้วลักษณะของอุจจาระนั้นเปรียบเสมือนกระจกสะท้อนที่สามารถบ่งบอกสุขภาพของเจ้าของได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว
อาหารการกินของผู้คนในยุคปัจจุบันนั้น ปรับเปลี่ยนไปจากเมื่อหลายสิบหลายร้อยปีก่อนอย่างมาก มีการแปรรูปอาหารมากขึ้น อาหารมีการตกค้างของสารพิษ สารเคมีมากขึ้น มีการบริโภคเนื้อสัตว์มากขึ้น รวมทั้งในทิศทางตรงกันข้ามผู้คนในยุคปัจจุบันมีการกินกากใยอาหารลดลงอย่างเห็นได้ชัด
จากพฤติกรรมเหล่านี้ ทำให้ลำไส้ใหญ่ซึ่งเป็นช่องทางเดินของอุจจาระ ถูกหมักหมมด้วยของเน่าบูดซึ่งเป็นอาหารอย่างดีให้กับแบคทีเรียตัวร้าย เช่น E. coli, Clostridium spp. เป็นต้น และทำให้แบคทีเรียตัวร้ายเหล่านี้สามารถเจริญเติบโตในลำไส้ใหญ่ ออกลูกออกหลานมากมายจนครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของลำไส้ใหญ่ และเป็นสาเหตุที่ทำให้แบคทีเรียตัวดี อย่างเช่น Lactobacillus spp., bifidobacterium spp. ไม่มีที่อยู่อาศัย และเมื่อผ่านเวลาไปนานเข้าก็เกิดการหมักหมมทำให้เกิดสารพิษกลุ่ม Indole, Skatole, p-Cresol และ Ethionine ซึ่งสารเหล่านี้แทนที่จะถูกขับออกไป กลับกลายเป็นถูกดูดกลับเข้าสู่ร่างกายพร้อมกับน้ำ เป็นสาเหตุก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ ลดภูมิต้านทาน ทำให้เซลล์ในร่างกายชราภาพ และเป็นสาเหตุส่วนหนึ่งของการเกิดโรคมะเร็ง
เช่นนั้นแล้วลักษณะต่างๆ ของอุจจาระของเรานั้นมีส่วนสำคัญในการบ่งบอกสุขภาพอย่างแท้จริง ลักษณะของอุจจาระที่ดีเบื้องต้น ไม่ควรถูกเก็บกักอยู่ในร่างกายนานจนเกินไป โดยอุจจาระที่ดีที่สุดนั้น ควรออกมาภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากที่รับประทานอาหารเข้าไป ลักษณะของอุจจาระนั้น เราสามารถแยกตามการจำแนกของบริสตอล (The Bristol Stool From Scale) มี 7 ชนิด โดยผู้เชี่ยวชาญทางด้านลำไส้ใหญ่เชื่อว่า ลักษณะของอุจจาระจะสามารถบ่งบอกสุขภาพของลำไส้ใหญ่ได้ดีกว่าความถี่ในการถ่ายอุจจาระ
นอกจากนั้นแล้ว สิ่งที่ควรนำมาพิจารณาเบื้องต้นอีกก็คือ สี กลิ่น มีมูกหรือเลือดปนมาด้วยหรือไม่ สำหรับใครที่ชื่นชอบการกินผักมากหน่อยจะมีออกมาเป็นสีเขียว ส่วนใหญ่จะมีกากใยสีเขียวๆ ออกมาด้วยถ้ามีการสังเกต แต่ถ้าเป็นสีน้ำตาลแสดงว่ามันค้างอยู่นานมากจนแบคทีเรียหมักจนเปลี่ยนสี ถ้าอุจจาระของใครเป็นสีดำเหมือนถ่าน ก็ยังไม่ต้องตกใจไป เพราะสาเหตุนอกจากจะมาจากเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนต้นแล้ว ก็ยังมีโอกาสมาจากอาหารที่กินเข้าไป เช่น เลือด ตับ หรือยาที่ธาตุเหล็กเข้าไปก็อาจทำให้อุจจาระมีสีดำได้ ในกรณีที่มีมูกหรือเลือดปนแสดงว่าลำไส้มีอาการอักเสบ ถ้าเลือดเก่าก็อาจมีผลมาจากแผลที่ลำไส้ใหญ่ ส่วนถ้าเป็นสีแดงสดแสดงว่าอาจมีแผลที่บริเวณทวารหนัก หรืออาจเกิดจากริดสีดวงทวารก็เป็นได้
ส่วนเรื่องกลิ่น อุจจาระที่ดีไม่ควรมีกลิ่น หรือมีก็อาจเล็กน้อย แต่ถ้ากลิ่นแรงมากเราต้องให้ความใส่ใจ ลองปรับมากินเส้นใยให้มาก กินเนื้อสัตว์ให้น้อย อุจจาระก็จะแทบไม่มีกลิ่น ในทางกลับกัน หากเรากินเนื้อ นม ไข่ มากๆ โดยผักหรือผลไม้จะเขี่ยทิ้งไม่ยอมกิน อุจจาระก็จะค้างอยู่ในลำไส้นาน ทำให้เกิดการหมักหมมและเกิดกลิ่นที่รุนแรงขึ้นกว่าเดิม
และนี่ก็เป็นเรื่องง่ายๆ ใกล้ๆ ตัวที่หมออยากให้คุณผู้อ่านได้ใส่ใจ ก่อนจะกดชักโครกหรือราดน้ำเพื่อทำความสะอาด ลองหันมามองและใส่ใจดูครับว่า อุจจาระเราเป็นแบบไหน จะได้ปรับวิถีการกินเพื่อให้พรุ่งนี้เราขับถ่ายได้สะดวกครับ
ลักษณะของอุจจาระแบ่งตามจำแนกของบริสตอล
แบบที่ 1 เป็นขี้แพะ ก้อนเล็กและแข็งมาก
แบบที่ 2 ก้อนแข็งเหมือนกระสุนขนาดใหญ่
แบบที่ 3 เป็นแท่งเหมือนไส้กรอก ผิวมีรอยแตก
แบบที่ 4 เป็นแท่งยาว นิ่ม ผิวเรียบ ส่วนปลายแหมเหมือนหางงู
แบบที่ 5 นิ่มมาก แต่ยังคงรูปร่างได้
แบบที่ 6 เหลว ไม่คงรูปร่าง
แบบที่ 7 เป็นน้ำ
Did You Know?
ในทั้งหมด 7 แบบนั้น แบบที่ 1 จะเป็นอุจจาระที่อยู่ในลำไส้นานที่สุด ทำให้ลำไส้ใหญ่ดูดเอาน้ำออกไปกลายเป็นก้อนเล็กและแข็ง
สำหรับแบบที่ 3 และ 4 เป็นอุจจาระที่เหมาะกับการขับถ่ายมากที่สุด เหตุผลก็ง่ายๆ เพราะอยู่ในลำไส้มาในระยะเวลาที่พอเหมาะ มีความอ่อนพอดี ไม่ต้องเบ่งจนเหนื่อย และเวลาถ่ายก็จะรู้สึกท้องโล่ง โปร่ง