ภูวดี คุนผลิน

ภูวดี คุนผลิน

ชีวิตวัยเด็กที่ไม่เคยขาดหาย

“ชีวิตในวัยเด็กสำหรับดิฉัน ด้วยความที่เป็นครอบครัวใหญ่ก็จะไม่เหงา ค่อนข้างอบอุ่นเลยทีเดียว พี่น้อง 4 คน อายุห่างกันคนละ2 ปี อย่างคุณแอน ภูวนิดา พี่สาวคนโต คุณอั๋น ภูวนาท และคุณโอ๋ ภูวไนย น้องชายสองคน แม้แต่ละคนจะมีบุคลิกและความสนใจที่แตกต่างกันไป แต่เราก็สนิทกันมาก พูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ทุกคนจะถูกเลี้ยงดูมาแบบเคร่งครัด ในด้านการดูแลรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตัวเอง ไม่ว่าจะเรียนหรือจะทำอะไร คุณพ่อคุณแม่ (ร.อ.ชม และ ดร.มาลีรัตน์ คุนผลิน) ท่านไม่เคยเข้ามากะเกณฑ์ แต่ท่านมีส่วนร่วมทางความคิดเมื่อเราต้องการคำปรึกษาเสมอ ไม่มีการสปอล์ยเด็ดขาด เราถูกปลูกฝังให้มีเหตุผลในการใช้จ่ายเงิน ว่าเราต้องการอะไร เพื่ออะไร ไม่ใช่อยากจะได้อะไรก็ต้องได้ เพราะฉะนั้นเราจึงคิดเป็น”

แม้จะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มเด็กเรียนดีตั้งแต่แรก แต่คุณภูวดียังแบ่งเวลามาสวมบทบาทเป็นนักกิจกรรมตัวยง หลังจากจบชั้น ม.3จากโรงเรียนเซนต์ฟรังซีสเซเวียร์ ได้มาเรียนต่อจนจบชั้นม.6 ที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ประสบการณ์โดดเรียนนั้นเธอก็เคยผ่านมาแล้วที่นี่ แต่นั่นเป็นเพราะเธอหลงใหลในกีฬาอย่างบาสเก็ตบอลมากถึงขั้น ต้องถูกเรียกสอบสวนจากคุณแม่ แม้จะได้เป็นถึงนักกีฬาทีมบาสเก็ตบอลโรงเรียนแล้วก็ตาม

“ตอนแรกคุณแม่ก็ไม่ค่อยเข้าใจ คิดว่าเราเป็นผู้หญิงแล้วไปเล่นกีฬามันจะไหวเหรอ การเรียนจะเสียไหม ดิฉันถือว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่จะต้องพยายามพิสูจน์ให้ท่านเห็นว่าสำหรับเรากิจกรรมมันสามารถไปกันได้ดีกับการเรียน รู้สึกเลยว่ายิ่งท่านไม่เข้าใจ ก็ยิ่งต้องเสริมแรงให้มากกว่าเดิม ซึ่งพอถึงจุดหนึ่งท่านก็ให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี เริ่มได้แชมป์จากการแข่งขันเรื่อยๆ จนเข้ามหาวิทยาลัยก็ยังเป็นนักกีฬาให้กับคณะอีก ดิฉันคิดว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่มีประสบการณ์ที่ดีมากๆ  เพราะนอกจากกีฬาก็จะมีซ้อมเชียร์ ออกค่ายอาสาต่างๆ พอเรียนชั้นปีสูงขึ้น กิจกรรมก็ยังไม่ทิ้ง แต่เริ่มหาที่เรียนเพิ่มเติม หรือไม่ก็ฝึกงานทดลองงานในด้านต่างๆ ไม่อยากอยู่เฉยๆ ถือว่าช่วงนั้นใช้เวลาได้คุ้มมากๆ”

 

บัญชีเป็นเรื่องของเหตุและผล

หากจะไล่เรียงตั้งแต่วัยเยาว์จวบจนกระทั่งปัจจุบัน สิ่งที่ตีคู่มากับความดีที่อยู่ในกรอบของเธอก็คือความท้าทาย เธอผลัดกันแตะไหล่กับมันมาจนเรียกได้ว่าเสมือนเงา จริงอยู่ ทุกจังหวะของชีวิตนั้นมีทางเลือกให้ต้องชั่งใจอยู่เสมอ แต่ทุกครั้งที่ถึงจุดนั้น เธอก็สามารถเป็นตัวอย่างที่ดีในการก้าวข้ามผ่านไปอย่างคนที่คิดได้และคิดเป็น

“ตอนเด็กๆ เป็นคนดื้อเงียบ มีบ้างที่ฟังเหตุผลแล้วยังไม่ค่อยเข้าใจตรงกันกับท่าน ก็ยังมีแอบขัดใจท่านบ้าง แต่ด้วยความสนิทระหว่างพี่น้องก็จะปรึกษากันเองก่อน แล้วค่อยกลับไปพูดคุยกับคุณแม่ในภายหลัง เชื่อว่าบางครั้งเราก็ต้องมีเวลาที่จะเก็บเอาไปคิดก่อน มีบ้างที่ดื้อดึงในความคิด แต่นั่นหมายความว่าดิฉันต้องแสดงให้ท่านเห็นว่าวิธีการของเรามันก็ใช้ได้นะ ถึงเราจะคิดเห็นไม่ตรงกันบ้าง แต่ท่านก็ยังเปิดโอกาสให้เราได้เรียนรู้ประสบการณ์จากสิ่งที่เราเลือกเองเช่นกัน 

“อย่างมีเหตุการณ์หนึ่งช่วงที่กำลังจะเอ็นทรานซ์ จะถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วว่าจะต้องเรียนบัญชี เพราะคุณแม่ก็จบมาทางด้านนี้ และท่านก็แนะแนวทางนี้มาโดยตลอด ซึ่งตอนนั้นตัวเองก็ไม่ได้รู้เรื่องหรอกว่าอยากเรียนจริงๆ ไหม พอจบ ม.6 (โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา) ก็เลือกเรียนในคณะที่เกี่ยวข้องกับการเงินหลายๆ คณะ ไม่ว่าจะเป็น บัญชี เศรษฐศาสตร์อะไรเลือกหมด แต่ปรากฏว่าเอ็นท์ติดคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตอนนั้นเสียใจมาก โทรศัพท์ไปร้องไห้ฟูมฟายกับเพื่อนเหมือนคนเอ็นท์ไม่ติด คิดว่าทำไมเราไม่ติดคณะบัญชีนะ แต่พอคิดได้ว่า ยังมีอีกหลายคนที่เขาต้องการเรียนคณะนี้แล้วไม่มีโอกาสได้เรียน ซึ่งบางคนเลือกเป็นอันดับหนึ่งด้วยซ้ำ เลยตัดสินใจลองเรียนดู แต่ผ่านไปสักพักก็รู้เลยว่าไม่ชอบ จากนั้นจึงตั้งใจเอ็นท์ใหม่อีกครั้ง ติดคณะบัญชีที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อีกเช่นกัน ทีนี้มีความสุขมาก รู้สึกเลยว่าใช่ ชีวิตคือตัวเลข

“ดิฉันเชื่อว่าทุกๆ สาขาวิชา หรืออาชีพ มันจะมีหลักการเหตุและผลของมันที่เราต้องหาให้เจอ อย่างช่วงแรกที่เรียนด้านบัญชีก็เคยสงสัยนะว่าทำไมอันนี้ต้องเครดิต อันนี้ต้องเดบิต ซึ่งคุณแม่ก็ตอบว่าอย่าไปคิดว่าทำไม ให้มองภาพรวมที่ปัญหาแล้วตีโจทย์ในสิ่งที่เกิดขึ้นให้แตก วิเคราะห์ให้ออกมากกว่า เพราะทุกอย่างมันมีค็อนเส็ปต์ของมันอยู่แล้ว เราต้องนำมันมาประยุกต์ใช้ให้เป็นตีความให้ออก ทำความเข้าใจกับมัน อย่าใช้เพียงการท่อง เราต้องคิด 

“พอย้อนกลับมานั่งคิดก็ทึ่งมากที่คุณแม่รู้จักตัวเราดี ขนาดที่ว่าท่านรู้อยู่แล้วว่าต้องชอบบัญชี ชอบตัวเลข แน่นอนครั้งหนึ่งก่อนหน้านั้นท่านได้ให้แง่คิดถึงเหตุผลที่น่าจะเรียนบัญชีว่า วิชาบัญชีนั้นเป็นพื้นฐานของทุกด้าน มันสามารถทำให้เรามีทางเลือกมากมาย แม้เราจะไม่ได้ทำงานด้านบัญชีก็ตาม แต่พื้นฐานนี้ก็สามารถทำให้เรารู้เรื่องงบดุล เรื่องการเงิน ในแง่ของการทำธุรกิจได้ดี และเรายังสามารถนำความรู้ในด้านนี้กลับมาดูแลธุรกิจของครัวได้ในอนาคต ในขณะนั้นครอบครัวดิฉันมีธุรกิจหลายด้านทั้งอสังหาริมทรัพย์ ประกันฯ เรือขนส่งสินค้า แต่ก็ยังไม่ได้คิดไกลถึงขนาดว่าเรียนจบแล้ว จะกลับมาดูแลธุรกิจครอบครัวเสียทีเดียวเพราะใจจริงอยากลองออกไปหาประสบการณ์จากการทำงานข้างนอกก่อนมากกว่า”

 

อีกหนึ่งก้าวเมื่อปีกกล้า

จะมีอะไรสำคัญไปกว่าการตัดสินใจเลือกสิ่งที่เหมาะสมที่สุดให้ตัวเอง และด้วยแววตาแห่งความมุ่งมั่นในครั้งนั้น ทำให้เธอเหมือนจะเหมือนจะแน่ชัดในเส้นทางเดินชีวิตของตน กลับต้องเปลี่ยนผันอีกครั้ง ไม่ใช่เพียงเพราะความ แต่เป็นเพราะโอกาสในการสร้างประสบการณ์ที่เธอได้รับ นั้นตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริงได้ดี  

“เป็นธรรมดาของคนเรียนด้านบัญชีที่เมื่อจบแล้ว ก็อยากจะเป็นผู้ตรวจสอบบัญชี ดิฉันเองก็เช่นกัน พอจบปีสาม จึงเลือกที่จะฝึกงานด้านตรวจสอบบัญชี ได้ทำหน้าที่ทุกอย่างด้วยตัวเองหมด จนครบทุกขั้นตอน จากประสบการณ์ที่ได้เลยรู้ตัวเองว่ามันไม่ใช่เรา กลับมาปรึกษาคุณแม่ว่าขอไปเรียนด้านการเงินต่อแล้วกัน โดยให้เหตุผลว่าเมื่อตัดสินใจเบนจากเส้นทางผู้ตรวจสอบแล้วจึงอยากไปเรียนต่อให้รอบด้านมากขึ้น เมื่อขึ้นปีสี่ เริ่มวางแผนเตรียมตัวแต่เนิ่นๆ เลย ทั้งไปเรียนภาษาเพิ่มเติม ฝึกพูดภาษาอังกฤษกันเองในกลุ่มเพื่อนๆ ถือว่าได้ผลดีระดับหนึ่ง จากนั้นก็ไปหาที่เรียน หาความรู้ด้านต่างๆ เลยมาลงตัวที่สหรัฐอเมริกา  

“ชีวิตในต่างแดนมันเป็นความท้าทายของชีวิตอีกครั้ง ต้องดูแลตัวเองทั้งหมดทั้งการเรียนการใช้ชีวิตที่เป็นอิสระขึ้น โชคดีที่เป็นคนทำกิจกรรมแล้วการเรียนไม่เสีย พอไปอยู่ที่โน่นมีกิจกรรมให้เลือกทำเยอะ ก็ลุยเลย เข้าร่วมหมด การเข้าคลาสหรือเข้าสังคมของคนที่นั่น ทำให้รู้ว่าการเรียนต่างประเทศคุณต้องมีความกล้าที่จะพูด กล้าที่จะแสดงออก ต้องมั่นใจ ไม่ว่าจะพูดผิดๆ ถูกๆอย่างไรก็พูดไปเถอะ เมื่อเราไปอยู่ตรงนั้นแล้ว ผ่านไปสักระยะ ระบบความคิดเราก็จะปรับไปโดยอัตโนมัติ 

“วิชาไหนที่คนไทยเรียนเยอะ ก็จะไม่เลือกลง จะเลือกเรียนกับต่างชาติมากกว่า ไม่ใช่เพราะเรื่องมากนะ แต่เพราะต้องฉวยโอกาสเมื่อได้มาเรียนที่นี่แล้ว ก็ต้องเรียนกับคนต่างชาติสิ ถึงจะเรียนรู้ด้านภาษาที่เร็วขึ้น มีบางคนพอรู้ว่าคลาสนี้คนไทยเรียนเยอะก็รีบตามกันไปลงก็มี ส่วนตัวคิดว่ามันไม่ได้อะไร จากนั้นพอจบ MBA  มีความคิดแวบหนึ่งว่าอยากเรียนที่ฮาเวิร์ดเหมือนกันอยากรู้ว่าที่นั่นจะเป็นอย่างไร สำหรับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก จึงไปลงเรียนคอร์สสั้นๆ ที่ฮาเวิร์ดจบจบ จึงเริ่มมองหางานตามJob Fair ไม่ว่าจะต้องไปสัมภาษณ์งานไกลแค่ไหน ถึงกับต้องนั่งเครื่องไป ดิฉันก็สู้หมด

“พอดีกับบริษัทเอสโซ่ สำนักงานใหญ่ที่รัฐนิวเจอร์ซี เรียกตัวไปสัมภาษณ์ ประสบการณ์ครั้งนั้นประทับใจมาก ตอนที่ไปสัมภาษณ์ก็ยอมรับว่าตื่นเต้นมาก มีผู้บริหารมาร่วมพูดคุย แต่ก็ทำใจดีสู้เสือจนการสัมภาษณ์ผ่านไปตามปรกติ หลังจากนั้นเขาก็มีเชิญทานข้าว ตอนนั้นคิดว่าเขาก็คงจะเลี้ยงอาหารพอเป็นพิธี แต่เชื่อไหมพอไปถึงห้องอาหารกลับเป็นการรับประทานแบบเต็มรูปแบบมาก ซึ่งจะต้องนั่งโต๊ะร่วมกับคณะกรรมการทั้งหมด สิ่งที่อยู่ตรงหน้า อย่างจาน ชาม ช้อน มาแบบ Full Course ถึงรู้วิธีการใช้นะ แต่มันก็มีประหม่าเหมือนกัน ความรู้สึกตอนนั้นมันก็งงนะว่าคืออะไร แต่คิดว่าน่าจะเป็นการทดสอบการเข้าสังคมของเรา ผลปรากฏว่าผ่านสัมภาษณ์ได้เข้าทำงานที่นั่น พอกลับมาทำที่บริษัทเอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด ลองถามพี่ๆ ในบริษัทดู จึงหายสงสัยว่านั่นเป็นระเบียบของบริษัท ยิ่งถ้าได้เป็นพนักงานที่รับจากต่างประเทศ หมายความว่าคุณยิ่งมีโอกาสที่จะได้ร่วมงานกับผู้บริหารต่างชาติมากมาย 

“ที่นั่นเป็นบริษัทใหญ่มีระบบระเบียบที่ชัดเจน หล่อหลอมให้ดิฉันแกร่งขึ้น การที่ถูกรับมาจากต่างประเทศนั้นยิ่งมีการเพ่งเล็งมากจึงต้องพิสูจน์ตัวเองอยู่เสมอ ยิ่งเมื่อทำเกี่ยวกับตัวเลขแล้วทุกอย่างต้องเป๊ะทั้งตัวเลขและเวลา ขณะนั้นดิฉันเป็นตัวแทนสาขาของประเทศไทยในการประชุม สรุป และประเมินตัวเลขจากทางไทย ให้ตัวแทนจากสำนักงานใหญ่ได้รับทราบด้วย ภาระหน้าที่จึงยิ่งใหญ่มาก”

แม้จะยอมรับว่าได้เสียเวลาส่วนตัวไปมากเช่นกันจากการทำงานหนัก แต่เธอก็ยังสู้เต็มที่ วิญญาณนักกิจกรรมยังคงอยู่ แม้ในวาระสำคัญของบริษัท กิจกรรมภายในต่างๆ ที่ถูกจัดขึ้น ย่อมมีเธอร่วมเป็นส่วนหนึ่งมาโดยตลอด 

“พอครบสองปี จึงเริ่มมองหาประสบการณ์ใหม่เลยลองเข้าไปทำที่บริษัท จีอี แคปปิตอล (ประเทศไทย) จำกัด ในตำแหน่งไฟแนนเชียล แพลนนิ่ง ในระดับซูเปอร์ไวเซอร์ โดยตอนแรกอยากทำในส่วนของเทรนนิ่งที่เมื่อเทรนนิ่งครบหนึ่งปีแล้ว จะได้ไปดูงานหลายๆ ประเทศ แต่เขากลับเรียกดิฉันไปในตำแหน่งที่สูงขึ้นกว่านั้น ด้วยเพราะประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมา ความรับผิดชอบจึงสูงขึ้นตาม เพราะเหมือนตอนนั้นจีอีจะมีโปรเจ็กต์จะเยอะมาก โดยมีเราเป็นตัวแทนในส่วนของไฟแนนซ์ของทุกโปรเจ็กต์ก็หนักหน่วงทีเดียว (หัวเราะ) เพราะไฟแนนซ์จะเป็นความหวังของทุกโปรเจ็กต์เลยก็ว่าได้ ว่าจะผ่านหรือไม่ผ่าน จากนั้นสามเดือนก็ได้เลื่อนไปเป็นผู้จัดการ และมีแววว่าจะได้รับเลือกเป็นไดเร็คเตอร์ในหกเดือน แต่กลับรู้สึกว่ามันเร็ว ยังไม่พร้อม มันหนักไป ถ้าได้ทำแล้วอยากทำให้ดี ถ้ายังไม่พร้อมหรือประเมินดูแล้วว่าไม่ไหวแน่ ยังไม่อยากก้าวกระโดด”

 

การเมือง จุดเปลี่ยนและคลื่นมรสุม

ผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินบนเส้นทางแห่งแวดวงธุรกิจอย่างมาโดยตลอด ผ่านบททดสอบศักยภาพมาก็มาก เส้นทางต่อไปยิ่งมีแต่จะสูงชัน และเมื่อแหงนมองสุดปลายทางย่อมสวยงามแน่นอน แม้หลายคนจะเคยบอกว่า เมื่อยิ่งขึ้นสู่ที่สูง ย่อมต้องยิ่งหนาวเป็นธรรมดา แต่สิ่งที่ทำให้เธอหันหลังกลับมานั้น ไม่ใช่การกลัวความหนาว หรือความสูง

“ดิฉันจริงจังกับการทำงานมาก ลืมครอบครัว ลืมชีวิตส่วนตัวไปช่วงหนึ่ง เมื่อคิดได้จึงต้องรักษาสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับตัวเองในตอนนั้นไว้ ถามว่ารักงานไหม รักนะ แต่รักครอบครัวและอยากใช้เวลากับความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัวมากกว่า จึงถือว่าเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญเช่นกัน หลังจากลาออกจากงานได้มีเวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น เป็นช่วงที่พี่สาวลงเล่นการเมืองพอดีเลยถือโอกาสออกมาช่วยพี่สาวในช่วงที่เลือกตั้งพอดี ในปี พ.ศ. 2543” 

เมื่อได้มีโอกาสลงพื้นที่ ได้คอยตะโกนส่งเสียงเล็กๆ พูดหาเสียง ในแต่ละวันที่ผ่านไป เธอจึงรู้ตัวว่า ด้วยความที่พูดไม่เก่ง จึงเลื่อนตำแหน่งตัวเองมาเป็นฝ่ายสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ถึงแม้จะเหน็ดเหนื่อยมากขึ้นกว่าครั้งเคยนั่งเก้าอี้ผู้บริหาร แต่เมื่อสายตาทอดผ่านไปเห็นความทุ่มเทของทุกคน กลับยิ่งเป็นแรงผลักดันให้เธอฮึดสู้ขึ้นอีกครั้ง

“การเข้าไปมีส่วนร่วมในงานลักษณะนั้นทำให้ได้เห็น ได้สัมผัสอีกมุมหนึ่งของหลายชีวิตในสังคม ถามว่าเหนื่อยไหม เหนื่อยนะ รู้ว่าพี่สาวก็คงเหนื่อยมากเช่นกัน แต่เมื่อเห็นเขาทำเพื่อประชาชน มันรู้สึกเต็มตื้นขึ้นในใจ และถ้าถามว่าสนใจเรื่องการเมืองไหมตอบได้เลยว่ามันไม่ใช่ตัวเรา ส่วนพี่สาวนั้นเขามีใจรักด้านการทำงานเพื่อสังคมอยู่แล้ว เขาจึงรักที่จะทำ 

“สิ่งที่มองเห็นและรับรู้ได้คือ การทำงานด้านการเมือง อันดับแรกเลยต้องมีใจรักที่จะทำเพื่อคนอื่นเป็นทุนอยู่แล้ว นักการเมืองจริงๆ แล้ว ไม่ว่าจะลงพื้นที่รับฟังปัญหาชาวบ้าน หรือบริหารงาน มันก็ต้องเป็นไปด้วยความจริงใจ เพราะเราทำงานอยู่บนความหวังของชาวบ้าน พวกเขาสัมผัสได้นะว่าใครจริงใจที่จะช่วยหรือไม่ ความจริงใจจึงเป็นสิ่งสำคัญ

“หลังจากการเลือกตั้ง เมื่อมีเวลามากขึ้นจึงตั้งใจเข้ามาช่วยดูแลธุรกิจของครอบครัว เริ่มมาดูแลเรื่องธุรกิจเรือขนส่งสินค้า ซึ่งก็ยังเป็นงานที่ลุยๆ อีกเหมือนเดิม เพราะด้วยความที่เป็นคนที่จะทำอะไรแล้วต้องรู้ให้หมด เห็นให้จริง ก็จะลุยไปกับเรือเลย สักระยะหนึ่งก็เริ่มคิดแล้วว่าเราน่าจะมีธุรกิจอะไรสักอย่างเป็นของตัวเอง เมื่อครั้งหนึ่งไปทานข้าวบนเรือกับครอบครัว ก็มองเห็นโอกาสทางธุรกิจประเภทนี้ เลยมาปรึกษากันระหว่างพี่น้องก่อนว่ามันมีแนวโน้มเป็นไปได้ไหม ซึ่งทุกคนก็ลงความเห็นว่าน่าสนใจ จึงเริ่มหาข้อมูล แล้วนำมาปรึกษาคุณพ่อคุณแม่ ท่านก็ให้การสนับสนุน เริ่มมองหาเรือที่เหมาะสม เรียนรู้ในระบบต่างๆ ช่วงนั้นทาง คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) มีนโยบายส่งเสริมธุรกิจที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวพอดี เราเลยได้รับการผลักดันจากทางนั้นด้วยส่วนหนึ่ง เจ้าพระยาครุยส์จึงเกิดขึ้น

“ในครั้งแรกตั้งใจจะเปิดรับเทศกาลลอยกระทง ในปี พ.ศ. 2545 และช่วงนั้นกำลังจะมีการประชุมเอเปก ทาง BOI อยากให้เราเป็นเรือพากลุ่มผู้นำเอเปกล่องเรือชมแม่น้ำ เพราะเป็นเรือลำแรกสำหรับการส่งเสริมการท่องเที่ยวล่องแม่น้ำเจ้าพระยา นี่จึงเป็นโจทย์แรกที่ท้าทาย เพราะถ้าจะให้ทันงานประชุมเอเปกหมายความว่าการเตรียมงานของเราต้องร่นระยะเวลาขึ้นมาอีก 1 เดือนเพราะตอนนั้นเรือยังไม่เสร็จ จึงต้องเร่งงานกันหามรุ่งหามค่ำ ในเช้าวันที่จะรับผู้นำเราเพิ่งเก็บรายละเอียดงานกันเสร็จหมาดๆ เลยกลับบ้านไปตีห้า อาบน้ำเพื่อเตรียมตัวสำหรับงานที่จำเริ่มขึ้น วันนั้นจำได้ว่าไม่ง่วง ไม่ซึมเลยนะ มันอิ่มใจมากกว่า ถือว่าทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี หลังจากเสร็จงานก็ปิดเรือเพื่อทำต่อให้เสร็จรอต้อนรับเทศกาลลอยกระทงต่อไป 

“ช่วงนั้นกระแสตอบรับนั้นดีมาก ยอดจองดีเลย เลยเริ่มมองแล้วว่าลองเปิดเป็นล่องเรือนอกเวลาเทศกาลคือเปิดทุกๆ วันแล้วดีไหม พอเปิดปุ๊บก็มองเห็นปัญหา ส่วนหนึ่งเราไม่มีประสบการณ์ด้านธุรกิจท่องเที่ยวมาก่อน จึงไม่รู้ว่านอกจากการทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการจัดการภายในของเราแล้ว เรายังต้องอาศัยปัจจัยภายนอกด้านอื่นๆ เพิ่มเติม ต้องเดินเข้าไปหาเอเจนซี่กรุ๊ปทัวร์เอง ครั้งหนึ่งเคยมีคนพูดกับดิฉันว่า ‘กล้าดียังไงถึงได้ลงมาทำธุรกิจประเภทนี้ ทั้งที่ๆ ไม่เคยทำมาก่อน’ ดิฉันก็บอกเขาไปว่า ‘เราอยากนำสิ่งดีๆ ที่เราอยากให้นักท่องเที่ยวไม่ว่าจะคนไทยหรือต่างประเทศได้รับกลับไปหลังจากลงเรือเรา’  

“เจ้าพระยาครุยส์ นอกจากจะมีบรรยายทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ตลอดเส้นทางที่ผ่านสถานที่น่าสนใจ ยังมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเสริม มีวัฒนธรรมอย่างรำไทยต่างๆ ให้ได้ชมและนักท่องเที่ยวสามารถมีส่วนร่วมสร้างความบันเทิงบนนั้น มากกว่าที่จะมารับประทานอาหารบนเรือธรรมดา แรกๆ ดิฉันต้องสร้างความเชื่อมั่นในบริการของเราให้เอเจนซี่ต่างๆ เห็น พาเขามาดูว่าเรือเรามีอะไรบ้าง จากเริ่มแรกเปิดเฉพาะศุกร์ เสาร์ ก็ขยับขยายวันขึ้นมาเรื่อยๆ จนเปิดทุกวัน ช่วงแรกๆ นั้น บางวันลูกค้า 5 คนเราก็ต้องออกเรือ เพราะเราต้องทำให้เรือออกทุกวันให้ได้ 

“ที่ผ่านมาสำหรับภาคการท่องเที่ยวเราถือว่าบอบช้ำมาหลายครั้งมาก อย่างช่วงซาร์ส หวัดนก หรือสึนามิที่ก่อนหน้านั้นเรามียอดจองเต็มตลอด แต่พอเกิดสึนามิ เราถูกยกเลิกแทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็แย่อยู่เหมือนกัน ซึ่งถ้าเป็นเหตุการณ์ปกติมันสามารถยึดเงินมัดจำได้นะ แต่เราเลือกที่จะไม่ทำ เพราะมันเป็นเรื่องที่ทำความเข้าใจกันได้ เขากลัว เราก็ต้องเข้าใจ มันยืดหยุ่นกันได้ ก็ไม่เป็นไรสู้กันต่อไปค่ะ”

 

หัวใจแห่งเจ้าพระยาครุยส์

จริงอยู่ที่ว่าการบริหารกิจการตัวเอง ย่อมเต็มที่กว่า แต่กว่าจะมีทุกวันนี้ ใจความสำคัญของการทำงานให้ประสบความสำเร็จนั้นคงไม่ได้อยู่ที่เริ่มเมื่อไหร่ ทำอย่างไร ต้นทุนทางธุรกิจมากหรือน้อยแค่ไหน แต่สิ่งที่เธอเพียรพยายามทำให้มีค่ามากว่านั้น กลับไม่ใช่การลงทุน ไม่ใช่การลงแรง แต่มันคือสิ่งที่เรียกว่า ‘หัวใจ’ 

“เราเน้นด้านการบริการ ส่วนภาพลักษณ์ของตัวเรือนั้นก็เน้นไปที่ความเป็นไทย แต่เป็นไทยร่วมสมัย อาหารเรามีคุณภาพ บริการเราดี เป็นกันเอง กิจกรรมต่างๆ ลงตัวและน่าสนใจ สังเกตได้ว่าพนักงานเราจะต้องมีความสุขกับงานที่ทำด้วย ถ้าเขายิ้มนั่นหมายความว่าต้องออกมาจากใจจริงๆ เมื่อพวกเขามีใจสนุก มีใจรักการบริการ นักท่องเที่ยวก็จะรับรู้ได้ เคยมีถึงขั้นเหมาลำแล้วบอกเลยว่าอยากได้พนักงานเซ็ตนั้นเซ็ตนี้มาคอยบริการ เพราะติดใจในความสนุก ประทับใจกับการบริการมาแล้วบ่อยครั้ง

“สิ่งที่ได้ในวันนี้ ดิฉันได้เรียนรู้ว่าหัวใจของการทำธุรกิจคือ ความต้องการของลูกค้าต้องมาก่อนเป็นอันดับหนึ่ง จริงๆ ถ้าเราเอาใจไปใส่ก็จะรับรู้ได้ไม่ยาก แม้ว่าสองชั่วโมงกับการดินเนอร์บนเรือนั่นมันน้อยนะ เราจึงพลาดไม่ได้ เราต้องให้บริการที่ทั่วถึงและเป็นระบบ ทุกขั้นตอน เพื่อที่จะควบคุมให้ปัญหาเกิดขึ้นน้อยที่สุด เราจึงมีพนักงานเยอะมาก เพราะเราต้องเก็บรายละเอียดทุกอย่างให้ได้

“เรามีเรือที่รอการขยายอยู่ เริ่มมีการปรับกลยุทธ์ในแง่ที่จะหันกลับมาดึงนักท่องเที่ยวในประเทศให้มากขึ้น เพราะเราเข้าใจแล้วว่าเรื่องของราคาที่สมเหตุสมผลและคุ้มค่านั้นสำคัญสำหรับเขา จึงต้องทำให้เขาประทับใจและกลับมาหาเราอีก มันน่าจะดีกว่า แม้อาจได้กำไรน้อยหน่อยหรือเสมอตัว ถือว่าเราเลือกที่จะรักษาฐานลูกค้าไว้ก่อนดีว่า อย่างงานท่องเที่ยวไทย ที่ถูกจัดขึ้นมาหลายๆงาน เรามีการจัดโปรโมชั่นเศษขึ้นมาหลายๆ โปรแกรม ให้ได้เลือก ซึ่งก็ถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีพอสมควร เรามีส่วนร่วมในแต่ละเทศกาล อย่างลอยกระทงเราจะลอยกันทั้งเดือนเลย โดยที่ไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น นักท่องเที่ยวก็จะรับรู้ได้ถึงประเพณีและวัฒนธรรมของเรา

“ส่วนตัวอยากลองทำเรือสำราญแบบคาสิโนดูบ้าง เพราะโอกาสทางการสร้างรายได้ให้กับประเทศอย่างมหาศาลรอรับอยู่ แต่ก็นั่นแหละต่อเมื่อประเทศไทยเปิดรับแล้ว ต้องเข้าใจให้ได้ว่าธุรกิจท่องเที่ยวนั้นมีความอ่อนไหวต่อสภาพบ้านเมืองมาก ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ย่อมมีผลกระทบโดยตรง แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ยังอยากให้ทุกคนรักกัน ถ้าเรามีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือเพื่อประเทศไทย ทุกอย่างก็จะกลับมาสู่ความสุขสงบอีกครั้ง นักท่องเที่ยว
ก็จะกลับมายังที่ที่มีความสุขความสงบอีกครั้งแน่นอน” 

หากเส้นทางชีวิตคนเราคือเส้นปะที่รอการเชื่อมโยง