โสภิดา เชี่ยวชาญวลิชกิจ

โสภิดา เชี่ยวชาญวลิชกิจ

คุณเชอร์รี่ โสภิดา เชี่ยวชาญวลิชกิจ ถือเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีความสามารถทางด้านการตลาดเป็นอย่างดี เธอสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรี คณะการตลาดภาคภาษาอังกฤษ จากมหาวิทยาลัยมหิดล ส่วนในระดับปริญญาโทเธอก็จบสาขาการจัดการ ที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน ตามมาด้วยปริญญาโทอีกใบในสาขาการตลาดจาก University of Technology Sydney ที่ออสเตรเลีย

 

“ที่เลือกเรียนการตลาดเพราะคิดว่าชีวิตทุกคนต้องมีการตลาดเข้ามาเกี่ยวข้อง แทบจะทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการตลาด แล้วเราก็เรียนอย่างสนุกเหมือนเป็นการแลกเปลี่ยนว่าคุณชอบอะไร แล้วทำสิ่งนั้นออกมาได้ดีรึเปล่า”

 

เมื่อคุณเชอร์รี่เรียนจบ งานแรกที่เธอได้ทำก็คือเป็นผู้ประสานงานการอนุมัติให้ทุนสนับสนุนแก่บริษัทร่วมทุนไทยญี่ปุ่น (AOTS)ก่อนที่จะมาร่วมงานกับบริษัท เอ.พี.ฮอนด้า

 

“2-3 ปีแรกก็เข้าไปทำ Produce Planning ทำเรื่องค้นคว้าวิจัย เพราะก่อนที่จะเอามาขาย เราก็ต้องมีการเทสต์มาร์เก็ต แล้วเราก็จะมีการวางแผนว่าภายใน 6 เดือน 1 ปีเราจะทำอะไรใหม่ๆ ออกมาให้กับตลาด แล้วก็มีการจัดตั้งแผนกใหม่ที่จะทำยังไงให้ลูกค้าผู้น่ารักอยู่กับเราแสนนาน เพราะว่าการที่เราไปหาลูกค้าใหม่กับลูกค้าเก่าเนี่ย ค่าใช้จ่ายมันต่างกัน”

 

หลังจากที่อยู่กับบริษัท เอ.พี.ฮอนด้า ถึง 7 ปี เธอก็ออกมาหาประสบการณ์ใหม่ๆ ในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายขาย และการตลาดของบริษัท Pacific Star ซึ่งเป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญเรื่องการลงทุนทางด้านอสังหาริมทรัพย์

 

“ในเรื่องการตลาดมันจะคล้ายกันค่ะ อย่างเรื่องของรถมันจะเน้นตัวโปรดักท์ ส่วนที่นี่จะมีการจัดการที่มีความเชี่ยวชาญมาก ตอนนี้เชอร์รี่ก็ดูแล พีอาร์ ครีเอทีฟมาร์เก็ตติ้ง โปรเจ็กต์ที่เขาโยนมาให้เราแล้วเรามีหน้าที่ทำให้มันเกิดความสำเร็จขึ้นมา ทำยังไงที่จะสื่อสารกันให้คนอื่นๆ ได้ หน้าที่หลักของเราจะเป็นมาร์เก็ตติ้ง เอาแบบง่ายๆ เลยคือ สิ่งที่เรามี เราจะบอกให้คุณเข้าใจและกลับมาสนใจสินค้าเรายังไง แล้วเราก็มีหน้าที่ดูแลเรื่องเซลล์ ให้มาร์เก็ตติ้งกับเซลล์มันลิ้งค์กัน

 

“เมื่อคนซื้อของเรา เขาก็จะพอใจของเรา เขาก็จะไม่ถามเลยว่า Pacific Star คือใคร โปรเจ็กต์มั่นใจได้มั้ย เพราะเราดูแลเขาดีให้ความรู้เขาดี เขาก็เชื่อใจเรา เวลาเราคิด เราก็คิดว่าลูกค้าอยากได้อะไร อย่างคอนโดเราอยากได้ที่ที่อยู่แล้วเป็นส่วนตัว บางคนอาจมองเรื่องของการลงทุนขายต้องได้กำไร

 

“อสังหาริมทรัพย์เป็นการลงทุนระยะยาว เขาไม่มามองหรอกว่าจะมีเหตุการณ์ในบ้านเมืองเราอย่างไร เพราะตอนที่เราตัดสินใจเข้ามาซื้อโครงการที่ทองหล่อเป็นวันที่มีการปฏิวัติพอดี แต่นักลงทุนก็บอกว่าไม่เป็นไร นั่นคือนักลงทุนที่คนต่างชาติเขามั่นใจในประเทศเรา แล้วทำไมเราจะไม่มั่นใจประเทศเราเอง

 

“ในระยะยาวทางด้านอสังหาริมทรัพย์ดีแน่นอน แต่เราอาจจะจับตลาดคนละกลุ่มกัน อาจจะมีผลกระทบทางด้านจิตวิทยาบ้าง แต่ต้องคิดบวกเสมอ

 

“Pacific Star จะแตกต่างจากบริษัทพัฒนาที่ดินเจ้าอื่นๆ เพราะเป็นการบริหารจัดการเอาเงินกองทุนมาบริหาร เราคือผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนทางด้านอสังหาริมทรัพย์ เราเอาเงินทุนจากคนทั่วโลกมารวมกัน แล้วก็เอามาให้บริษัท Pacific Star ที่มีบริษัทแม่อยู่ที่สิงคโปร์มาลงทุน แล้วเขาก็เห็นประเทศไทยมีศักยภาพจะเอาเมืองไทยเป็นศูนย์หลัก เพราะตอนนี้เรามีทั้งเกาหลีจีน อินเดีย ญี่ปุ่น อเมริกา ออสเตรเลีย หรือที่ยุโรป Pacific Star คือบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านการลงทุน ดังนั้นแต่ละโครงการที่เราเลือกมาจะถูกการคัดเลือกหลายสเต็ปมาก มีการคิดว่าถ้าลงทุนแล้วจะได้ผลกำไรดีมั้ย ลูกค้าของเราจะเป็นแบบไหน คือสิ่งที่เราเลือกเรามั่นใจว่าจะประสบผลสำเร็จ”

 

โครงการของบริษัท Pacific Star ที่มีอยู่ในประเทศไทยนั้นมีอยู่ 2 โครงการด้วยกันคือ โครงการคอนโดที่อยู่บนถนนทองหล่อและที่สาทรการ์เด้น โดยจะเปิดตัวในเดือนสิงหานี้ ซึ่งทั้งสองโครงการได้รับการดูแลจากผู้จัดการทั่วไป (GM) ที่ควบคุมดูแลการสร้างโครงการอย่างเคร่งครัด และในปีหน้าทางบริษัท Pacific Star ก็จะมีโครงการใหญ่อีกหนึ่งโครงการอีกด้วย

 

“ถามว่ามาทำงานแบบนี้กดดันมั้ย จริงๆ แล้วก็ไม่กดดันหรอก แต่เราก็แอบกดดันตัวเอง (หัวเราะ) คือทำสิ่งที่เกิดขึ้นให้ดีที่สุดไม่ใช่องค์กรอย่างเดียวแต่รวมถึงลูกค้าด้วย เราพยายามทำให้ดี บางคนว่าเป็นผู้จัดการต้องดูที่หัวหน้า ถ้าหัวหน้าเราแฮปปี้ก็จบกันแต่ของเชอร์รี่ไม่ใช่ เราดูทั้งสองฝ่ายคือทั้งหัวหน้าและคนที่ทำงานกับเรา เขาก็ต้องแฮปปี้ด้วย

 

“จริงๆ เราก็ต้องมาดูก่อนว่าโปรดักท์เรามีอะไร แล้วคู่แข่งเรามีอะไร ประเมินก่อน ที่เหลือก็ใช้ความรู้ที่เรามี ใช้ประสบการณ์เสริมเข้าไป เราทำงานเป็นทีม Pacific Star ทุกคนเหมือนเป็นฟันเฟืองของบริษัท ถ้าคนอื่นไม่หมุน เชอร์รี่ทำคนเดียวก็คงไม่ได้ส่วนเรื่องไอเดียส่วนใหญ่ก็มาจากหลายๆ คนมารวมกันบ้าง เพราะฉะนั้นความสำเร็จมาจากทีมที่ดี คนทุกคนสำคัญมาก การตลาดดีแล้ว แบรนด์ออฟฟิศก็ต้องดีด้วย”

องค์กรใดมีนักการตลาดที่ดีย่อมได้เปรียบคู่แข่งเสมอ