สันต์ ภิรมย์ภักดี

สันต์ ภิรมย์ภักดี

“ตำแหน่งปัจจุบันของผมก็คือผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจและผู้จัดการกลุ่มการตลาดผลิตภัณฑ์นอนแอลกอฮอล์ครับ แต่จริงๆ แล้วผมเริ่มตั้งแต่เป็นคนขนของ ล้างถังเบียร์ แล้วก็ก่อนหน้านั้นก็ได้ไปเรียนทำเบียร์ที่เยอรมัน เป็นคนเดียวในเจเนอเรชั่นที่ 4 ของตระกูลภิรมย์ภักดีที่ไปฝึกครับ เพราะผมเป็นคนชอบทดลอง ชอบกิน ชอบดื่ม ก็ไปเรียนอินเทนสีฟคอร์สอยู่ที่นั่น 8 เดือน จากที่คนอื่นเขาเรียนกัน 2 ปี”

 

สถาบันสอนทำเบียร์ที่เขาพูดถึงนั้นมีชื่อว่า Domens Institute of Technology นอกจากเขาจะได้ทดลองจนเหมือนกับการเรียนฟิสิกส์ เคมีแล้ว ที่นี่ยังฝึกให้เขาสามารถชิมเบียร์แล้วบอกได้ว่าคือยี่ห้ออะไรโดยไม่ต้องเห็นฉลาก อันกลายมาเป็นความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อการค้นคว้าเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ถึงแม้จะไม่ใช่เบียร์ก็ตาม

 

“หลังจากเรียนจบกลับมา ตอนแรกก็เริ่มงานในส่วนของโรงงานก่อนที่จะรับผิดชอบด้านมาร์เก็ตติ้ง ซึ่งทำให้เรามีพื้นฐานที่ดีเพราะเข้าใจในเรื่องกระบวนการผลิตทั้งหมด ทำให้เราทำงานสนุกกับการทำงาน ตอนนั้นผมดูแลเบียร์ลีโอ ตั้งแต่สมัยที่ลีโอออกมาใหม่ๆ จากนั้นก็ทำเรื่องขอไปฝึกงานด้านโฆษณาที่โอกีวี่ ซึ่งเขาดูแลเรื่องโฆษณาให้บุญรอดอยู่ เพื่อจะได้เข้าใจระบบการทำงานทั้งระบบ ว่าหลังจาก Marketing คิดแล้ว โฆษณาต้องทำยังไงต่อเพื่อส่งต่อไปยังผู้บริโภค“ทำอยู่ที่โอกิลวี่ได้แปดเดือนก็กลับมาเรียนที่ศศินทร์ (สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) เพราะตอนนั้นอยากได้คอนเน็คชั่นเพิ่ม เพื่อใช้ต่อยอดในการทำงาน

 

“พอเรียนจบ กลับมาทำงานเต็มตัวแล้วก็ศึกษาระบบโครงสร้างของบริษัท ก็พบว่าเราควรมีฝ่ายพัฒนาธุรกิจ เพราะถึงแม้เราจะมีฝ่าย R&D อยู่แล้ว แต่ฝ่าย R&D ก็เพียงแค่มุ่งพัฒนาและดูแลคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่แล้วเท่านั้น ซึ่งผมมองว่าเราควรจะสร้างพื้นฐานทางการเติบโตให้กับบริษัทฯ และหาโอกาสใหม่ๆในการเติบโตทางธุรกิจควบคู่ไป

 

และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของฝ่ายพัฒนาธุรกิจที่เขาเป็นผู้ริเริ่มขึ้นมาเพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกมาสู่ตลาด จากที่ฝ่ายนี้เคยมีพนักงานเพียงแค่ 2-3 คน ปัจจุบันก็เพิ่มเป็น 60 คน และมีฝ่ายต่างๆ มากขึ้น อาทิ ฝ่ายพัฒนา ฝ่ายโมเดิร์นเทรด ฝ่ายรีเสิร์ชฝ่ายการตลาดและฝ่ายขาย

 

แน่นอน เมื่อลงสนามจริง ประสบการณ์ก็สอนให้เขาเรียนรู้เรื่องราวนอกตำราที่ประเมินค่าไม่ได้ และชาเขียวโมชิก็เป็นหนึ่งในประสบการณ์นั้น

 

“ยอมรับว่าเราเข้าตลาดชาเขียวช้าไปนิด โมชิก็เลยเป็นครูสอนวิชาทำธุรกิจให้กับผมและทีมงาน เพราะไม่มีใครรู้ว่าโปรดักท์ตัวไหนจะฮิตหรือไม่ฮิต ผมว่าออกมาสิบตัว ฮิตสองตัว ก็ประสบความสำเร็จแล้ว ไม่ใช่ว่าออกทุกตัวจะต้องดังทุกตัว สำคัญคือเราต้องรู้ว่าสิ่งที่เราเรียนจบมา เปิดตำราดูแล้วทำตามสเต็ปนั้น มันไม่จำเป็นต้องถูกเสมอไป มันต้องมาเรียนรู้ด้วยตัวเองว่าปัญหาคืออะไร

 

“ส่วนบีอิ้งนั้น ผมว่าโอเค เป็นไปตามเป้า ตอนนี้ก็อยู่อันดับที่สองของ functional drink ซึ่งผมว่าเครื่องดื่มกลุ่มนี้เข้ามาเร็วกว่าที่คนไทยคิดไว้ แต่เชื่อว่าถ้าสร้างตลาดดีๆ ทำมาร์เก็ตติ้งดีๆ บ่งบอกสรรพคุณดีๆ ก็น่าจะไปได้ดี อย่างบีอิ้งเองก็เกิดจากจากความคิดที่ว่าอยากเห็นคนไทยมีสุขภาพดีขึ้น

 

“อย่างผลิตภัณฑ์ในเมืองนอกที่ประสบความสำเร็จ ก็ไม่ใช่ทุกตัวจะตามได้หมด เพราะคนไทยก็มีรสนิยมและ ความชอบที่เป็นเอกลักษณ์ ก็ต้องศึกษาผู้บริโภคให้มาก ก่อนที่จะออกผลิตภัณฑ์ เพราะเราไม่ได้ทำออกมาเพื่อตัวเราเอง แต่เราทำเพื่อผู้บริโภคครับ”

 

นอกเหนือไปงานหลักที่ต้องเป็นนักธุรกิจแล้ว ยามค่ำคืนผู้ชายคนนี้ยังเป็นนักร้องนำของวงร็อคที่ชื่อแปลกหูว่า “กรุงเทพมาราธอน” อีกด้วย

 

“มันเป็นความต้องการส่วนตัวของผมเลย อยากทำอะไรเพื่อตัวเองบ้าง เป็นความฝันตั้งแต่เด็กๆ น่ะครับ ความจริงตอนนั้นก็เคยมีค่ายเทปมาติดต่อ แต่ว่าต้องดร็อปเรียนซึ่งเราทำไม่ได้ ส่วนตอนนี้ผมคิดว่าถ้ายังทำไหว ยังไม่แก่ ยังมีแรง ก็ทำไปเหอะ ทำในสิ่งที่ชอบ ดีที่สุด มันเป็นความสุขซึ่งเงินหาไม่ได้ เพราะเงินไม่ใช่ทุกอย่าง”

 

ก่อนจะจบบทสนทนาในวันนั้น เราทิ้งท้ายไว้ด้วยคำถามถึงเป้าหมายในชีวิตของเขา เขาตอบเราอย่างมุ่งมั่นว่า

 

“เป้าหมายของผมคือ ทำวันนี้ให้เหมือนเป็นวันสุดท้ายของชีวิต แล้วก็มีความสุขที่ได้ใช้ชีวิต มีครอบครัวที่ดี นั่นคือปรัชญาชีวิตที่ผมมองไว้ครับ”

คนอาจจะเข้าใจว่า บริษัท บุญรอดนั้นมีแค่เพียงเบียร์