ทวี วงศ์บพิธ

ทวี วงศ์บพิธ

สมบัติทัวร์ จากรุ่นสู่รุ่น

จากอดีตที่มีรถไว้คอยให้บริการเพียง 2 คัน กลับกลายมาเป็นธุรกิจเดินรถทัวร์ที่ใครๆ ต้องรู้จัก กิจการที่สืบทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษ เห็นมาตั้งแต่เด็กจนชินตา อาจเรียกได้ว่ามีเลือดความเป็นสมบัติทัวร์อย่างเต็มตัว สิ่งเดียวที่คอยส่องนำทางเขาให้ก้าวมาถึงจุดนี้ได้คือ ‘ครอบครัว’  

“ผมเกิดในครอบครัวคนจีน อากงมาจากเมืองจีนมีแค่เสื่อผืนหมอนใบ สิ่งแรกที่เขาทำก็คือ รับปะยางรถจักรยาน ซึ่ง
อากงเล่าให้พ่อฟังว่าการปะยางต้องมีเทคนิค ไม่อย่างนั้นจะไปไหนไม่ได้ไกล เริ่มต้นจากการปะยาง หลังจากนั้นอากงก็เริ่มซ่อมจักรยาน และวิ่งรถทัวร์

“พออากงปะยางรถจักรยาน เป็นช่างซ่อมรถ ก็รู้จักคนนู้นคนนี้ จึงมีลู่ทาง และเริ่มต้นวิ่งรถร่วมกับเขา เริ่มแรกวิ่งรถสายใกล้ๆ ซึ่งก็คือกรุงเทพฯ - นครปฐม ในสมัยนั้นใช้เวลาวิ่ง 1 วันเต็ม เพราะถนนเป็นลูกรัง นอกจากนี้กิจการเดินรถก็ยังไม่มีสัมปทาน รถส่วนใหญ่จึงเป็นรถผี แย่งลูกค้ากันแทบเป็นแทบตาย เมื่อถึงรุ่นพ่อก็ยังคงวิ่งรถระยะใกล้ๆ และเป็นคนเก็บเงินเองด้วยพอผมเกิดมาก็เห็นพ่อขับรถทัวร์แล้ว ถือว่าได้เลือดสมบัติทัวร์มาตั้งแต่เด็ก

“จำได้ว่ายุคที่รถเริ่มวิ่งแรกๆ กิจการเดินรถยังไม่มีชื่อ พอช่วงที่มีรถแอร์เข้ามาในประเทศไทยจึงใช้ชื่อ ‘สมบัติทัวร์’ ตอนนั้นอายุประมาน 11 ขวบ ผมช่วยคุณพ่อกระโดดขึ้นไปล้มแม่แรงบ้าง ช่วยซักผ้าห่มรถทัวร์บ้าง มือหนึ่งก็บิดผ้า ส่วนขาก็หนีบไว้ ทำอย่างนี้ทีละผืนๆ เพราะประหยัด ซึ่งวิธีนี้เป็นวิถีของการทำธุรกิจนะ ทำทุกอย่างเพื่อลดรายจ่ายให้น้อยที่สุด ทุกคนในบ้านจึงต้องมาช่วยกันทำ 

“คุณพ่อเล่าให้ฟังว่า ตอนหาลูกค้ามาขึ้นรถทัวร์นี่บางคนชกกันยิงกันเกือบตาย ต้องใช้สารพัดเทคนิคเพื่อให้ได้ลูกค้ามาเช่น ลูกค้าบอกจะไปจังหวัดนครศรีธรรมราช เขาก็เชิญให้ขึ้นรถ ทั้งๆ ที่รถของเขาไปแค่จังหวัดระนอง พอรถของเขาหมดระยะแล้วก็เอาลูกค้าไปส่งต่อให้รถคันอื่น ทำอย่างนี้รถถึงจะเต็ม แต่ผมว่านี่แหละคือการหลอกลวง ไม่มีธรรมาภิบาลในการทำธุรกิจ ขณะเดียวกันผมว่าในยุคนั้นมีแต่หนทางนี้เท่านั้นที่จะสามารถต่อสู้ดิ้นรนได้ และต้องทำทุกอย่างเพื่อความอยู่รอด เพื่อให้ธุรกิจเติบโต

“มีอยู่ช่วงหนึ่งที่คุณพ่อไปเป็นลูกจ้าง ไปช่วยคุณลุงขับรถให้ ซ่อมรถให้ เก็บเงินให้ แล้วก็ไปขอหุ้นด้วย ลุงจึงตกลงยกหุ้นให้ครึ่งหนึ่ง เพราะสมัยนั้นหาคนไว้ใจยาก พนักงานส่วนใหญ่ขับรถออกไป เก็บเงินได้แล้วก็หายไปเลย คุณพ่อบอกเสมอว่าสมบัติทัวร์โตมาจากรถครึ่งคัน หลังจากนั้นก็ทำงานเก็บเงินมาเรื่อยๆ แล้วก็ซื้อรถคันนั้นมา จากครึ่งคันเป็นหนึ่งคัน วิ่งกรุงเทพฯ-หัวหิน 

“พอเริ่มวิ่งระยะไกลต้องใช้รถ 2 คัน เพราะต้องวิ่งสวนกัน คันหนึ่งอยู่กรุงเทพฯ อีกคันหนึ่งต้องอยู่เชียงใหม่ จะได้วิ่งสวนกันกลับมา พ่อเล่าให้ฟังว่าครั้งแรกที่สมบัติทัวร์วิ่งมีผู้โดยสารคนเดียว วิ่งไปเชียงใหม่ ซึ่งผู้โดยสารคนนั้นบอกว่าไม่ต้องวิ่งก็ได้ ให้เอาไปฝากให้รถคันอื่น เพราะวิ่งไปก็ขาดทุน ถึงอย่างนั้นพ่อบอกว่ามีลูกค้าคนเดียวก็ต้องวิ่ง แต่สาเหตุที่แท้จริงคือ รถสองคันต้องวิ่งสวนกัน ถ้าคันหนึ่งไม่ไป วันรุ่งขึ้นก็จะไม่มีรถวิ่งลงมา (หัวเราะ) 

“ก่อนที่สมบัติทัวร์จะตกทอดมาถึงผม ถ้าจำไม่ผิดน่าจะมีรถประมาณ 20 คัน ส่วนใหญ่รถจะวิ่งสายเหนือ เช่น จังหวัดน่าน เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง จากที่ช่วยคุณพ่อซักผ้าห่มก็เริ่มเข้ามาเรียนรู้งานกับพี่และน้องอีก 2 คน ตัวผมเป็นลูกคนที่ 2 ผมพูดได้เลยว่า 365 วัน แต่ละวันทำงานเกิน 8 ชั่วโมง ไม่มีอะไรทำก็ไปขัดสีรถ ซ่อมรถ หรือไม่ก็ไปพูดคุยกับคนขับรถ

“จากที่ต้องคอยซักผ้าห่มด้วยมือทีละผืน ปัจจุบันก็มีเครื่องซักผ้าห่ม เมื่อซักเสร็จก็นำมาแพ็คใส่ถุงพลาสติก ห่มครั้งเดียวแล้วซักเลย ผิดกับสมัยก่อนที่นานๆ จะซักครั้งหนึ่ง บางทีผู้โดยสารเอาผ้าไปห่มเท้า พออีกคน หนึ่งมาใช้ต่อก็เอาขึ้นมาห่มหน้า มันรู้สึกไม่ใช่ ทุกวันนี้จึงยอมลงทุนซักผ้าห่มใหม่ทุกเที่ยว และห่อใส่ถุงอย่างดี 

“ผมผ่านความแร้นแค้นมามากทำให้มีความอดทน ตอนเด็กๆ นั่งกินข้าวก็ต้องแย่งกันกิน ผมโตมาแบบนั้น ไม่ได้มีความเป็นอยู่ที่สะดวกสบายอะไร ไม่มีกีฬาหรือดนตรีให้เล่น ต้องดิ้นรนต่อสู้ อาศัยสารพัดเทคนิคในการเอาตัวรอด มีคติไว้คอยเตือนใจ แต่ที่พูดมาทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอะไร เพราะครอบครัวเป็นครอบครัวใหญ่ มีพี่น้องคอยช่วยเหลือกัน ซึ่งถ้าเราเดินมาบนเส้นทางนี้คนเดียวก็ไม่รู้ว่าจะมีวันนี้หรือเปล่า คนมันเคยลำบากมาก่อน พอมาถึงวันนี้เราก็ผ่านมาได้หมด” 

จดจำ คำพ่อสอน

สิ่งที่หล่อหลอมให้เขาเติบโตมาได้จนถึงทุกวันนี้คือคำที่พ่อพร่ำสอน ทุกถ้อยคำที่เปล่งออกมาจากปากของพ่อ รวมถึงการกระทำทุกอย่าง เป็นเหมือนเกราะคุ้มภัยที่เขาต้องจดจำและนำมาปฏิบัติตามเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดบนเส้นทางสายนี้

“พ่อบอกว่าการทำธุรกิจมันโหดร้าย จึงต้องมีเทคนิค กุศโลบาย วิธีการและมันสมอง ซึ่งหลักที่พ่อยึดมาตลอดคือ ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ อดทน 4 อย่างนี้เป็นคำสั้นๆ ง่ายๆ ได้ใจความ และครอบคลุมหัวใจหลักของการทำธุรกิจ แต่ส่วนตัวก็คิดว่าอาชีพนี้ไม่ค่อยซื่อสัตย์กับผู้โดยสารสักเท่าไร เพราะต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมเพื่อให้ได้ผู้โดยสาร ในช่วงแรกที่กิจการยังไม่อยู่ตัวก็ต้องยอมรับในสิ่งนี้

“อย่างไรก็ตามสินค้าของเราคือรถยนต์ สิ่งที่เราคำนึงถึงเป็นอย่างแรกคือ การให้บริการลูกค้าจนถึงจังหวัดปลายทางด้วยความปลอดภัย ในสมัยคุณพ่อเมื่อรถขับออกไปแล้ว เราไม่มีทางรู้เลยว่าคนขับเขาจะไปทำอย่างไรกับผู้โดยสาร พอจ้างนายตรวจเพื่อควบคุมบริการของเราให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด สุดท้ายนายตรวจก็ไปฮั้วกับคนขับรถ จึงต้องใช้ทั้งไม้อ่อน ไม้แข็ง อำนาจ บารมี และลูกล่อลูกชน ซึ่งคุณพ่อจะสอนวิชาพวกนี้ค่อนข้างเยอะ เมื่อระบบจีพีเอสแพร่หลายเข้ามา ทางบริษัทจึงเร่งศึกษาแล้วทยอยซื้อมาติดให้รถทุกคัน ทำให้อุบัติเหตุหายไปเยอะทีเดียว ลดลงเกินกว่าครึ่ง ปลอดภัยกว่าหลายเท่า เพราะสามารถควบคุมความเร็วได้ ตรวจสอบเส้นทางของรถได้ และในปีนี้กำลังดำเนินการเรื่องติดกล้อง CCTV อยู่ จะได้ควบคุมปัญหาเรื่องทรัพย์สินของผู้โดยสารสูญหาย 

“ช่วงที่ลืมตาอ้าปากได้ ต้องยอมรับว่าแนวทางการทำธุรกิจไม่ใช่แบบพ่อแล้ว ไม่ใช่ว่าประหยัดแล้วจะดีเสมอไป แนวทางการทำธุรกิจในยุคของผมจึงมุ่งเน้นเรื่องบริการ ไม่ได้เน้นเรื่องกำไร แค่เห็นลูกค้าพึงพอใจ และเดินทางสู่จุดหมายอย่างปลอดภัยก็นับว่าโอเคแล้ว ซึ่งปรากฏว่าผลตอบรับดีกว่าในยุคก่อนๆ เสียอีก เรียกได้ว่ามีผู้โดยสารเยอะกว่าเดิม จำนวนรถทัวร์ก็มีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากตอนแรกที่ตั้งเป้าไว้ 100 คัน ก็พอแล้ว จะหยุด เพราะรู้สึกเหนื่อย แต่เมื่อถึงจุดนั้นจริงๆ กราฟมันพุ่งจาก 100 เป็น 200 สุดท้ายเพิ่มเป็น 300 คัน ในเวลาเพียงแค่ไม่กี่ปี ทั้งหมดคงเพราะจับทางธุรกิจถูก ว่าผู้โดยสารต้องการอะไร

“แนวทางการประหยัดอาจเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการทำงาน แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ผู้โดยสารคนหนึ่งขึ้นมาบนรถ เราต้องคิดแล้วว่าจะให้อะไรเขาบ้าง แค่เราเห็นลูกค้ามีความสุข เราก็มีความสุขตามไปด้วย การลงมือทำเองทุกอย่างทุกขั้นตอน นอกจากจะสามารถควบคุมต้นทุน ควบคุมคุณภาพได้เองแล้วยังทำให้เรารู้ลึกถึงกระบวนการทำงานอย่างลึกซึ้ง และช่วยให้เข้าใจปัญหาทั้งหมด เช่น การซักผ้าห่ม ก็รู้ว่าจะต้องใช้น้ำยาซักผ้าอะไร และน้ำยาปรับผ้านุ่ม ความจริงแล้วไม่มีประโยชน์ในการถนอมเนื้อผ้าเลย แต่ที่ใส่เพราะอยากให้ผ้าฟู ซึ่งเมื่อนำมาพับ สุดท้ายผ้าห่มก็กองทับๆ กัน ผ้าก็แบนเหมือนเดิม จึงไม่ต้องใส่ก็ได้ ถ้าอยากให้หอมก็ฉีดน้ำหอม จะได้ไม่เปลืองค่าใช้จ่ายของน้ำยาปรับผ้านุ่ม นี่คือเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ ที่เราเรียนรู้มา มันยิ่งทำให้เราใส่ใจลงไปในการทำงาน” 

สุขหรือทุกข์เลือกเองได้

ถึงแม้เขาจะมีรถทัวร์ถึง 300 คัน มีทรัพย์สินมากมาย มีกิจการใหญ่โตที่สร้างมาด้วยน้ำพักน้ำแรง ก็ไม่ได้เป็นเครื่องการันตีว่าชีวิตจะมีแต่ความสุขเสมอไป ในทางตรงกันข้ามกลับมีแต่จะทุกข์ขึ้นเรื่อยๆ แต่สิ่งสำคัญที่ทำให้เขายิ้มและอยู่กับปัจจุบันได้นั่นก็คือ ‘วิธีคิด’ 

“คงไม่มีชีวิตใครโรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป แต่โชคดีที่ว่าความล้มเหลวของผมอาจไม่หนักหนา มากมายเหมือนคนอื่น สมัยที่ต้องทำทุกอย่างเองตื่นตีสี่ทุกวัน เพราะเมื่อรถเข้าแล้วก็ต้องทำความสะอาด ซ่อมแซม บางวันก็นั่งทำบัญชี จัดวินรถ เติมน้ำมันรถ ปล่อยรถออก กว่าจะได้กลับบ้านก็ 4-5 ทุ่ม พอทำงานเยอะ สิ่งที่มันขาดหายไปก็คือ ครอบครัว ความสุขจากครอบครัวหรือคนรอบข้างก็น้อยลงไป แม้แต่เวลากินข้าวยังต้องกินด้วยความรวดเร็ว เพราะไม่มีเวลา ผมกับแฟนจึงทะเลาะกันบ่อย ทำงานกลับมาเหนื่อยๆ ก็อยากพักผ่อน

“ผมคิดว่าสิ่งที่พ่อสอนให้ขยันนั้นถูกต้องแล้ว แต่มาวันนี้ก็พยามยามบอกกับตัวเองว่าต้องขยันน้อยลงนิดหนึ่ง แล้วชีวิตครอบครัวจะดีขึ้น เมื่อก่อนพอรถเสียลูกน้องก็โทรมาตอนตีหนึ่งตีสอง ผมก็ขับรถไปซ่อมเอง คลุกคลีอยู่กับน้ำมันเครื่อง จารบีอยู่นาน เป็นเรื่องธรรมดา พอมาตอนนี้ผมเลือกที่จะใช้เวลากับครอบครัวให้มากที่สุด อยู่กับสติ คิดอยู่เสมอว่าพรุ่งนี้ก็ตายแล้ว เพราะชีวิตคนเราเมื่อถึงจุดหนึ่งก็ถึงเวลาต้องเริ่มนับถอยหลัง ทุกวันนี้พอทะเลาะกับแฟน เราก็เลยยิ้มให้เขาแล้วบอกว่าอย่าโกรธกันเลยนะ เดี๋ยวก็ตายแล้ว เมื่อคิดได้อย่างนี้ก็จะไม่มานั่งโกรธ นั่งงอนกัน ซึ่งตอนแรกๆ แฟนก็ไม่เข้าใจ หลังๆ เขาก็คิดได้เหมือนผม (หัวเราะ)

“คำว่า สิ้นคิดคือคิดได้ นี่แหละสำคัญ ไม่อย่างนั้นจิตก็จะไขว่คว้า ปรุงแต่ง ฟุ้งซ่านไปเรื่อย สิ่งที่ผมคิดได้คือ ไม่รู้ว่าจะประสบความสำเร็จไปทำไม จริงๆ แล้วผมไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ก็ได้ พอมาถึงตรงนี้แล้วกลับมานั่งถามตัวเองว่าทำงานไปทำไม เวลาก็ไม่มีอะไรก็ไม่มี ทุกวันนี้แค่ควบคุมให้คงที่เท่านั้นเอง”

“ส่วนความทุกข์ที่นอกเหนือจากการไม่มีเวลาให้ครอบครัว คงเป็นความทุกข์เรื่องอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับรถทัวร์ของเรา ซึ่งเคยเสียชีวิตมากสุด 5 คน พอผ่านตรงนั้นมาทำให้เรานึกถึงผู้โดยสารว่าพวกเขาเป็นมากกว่าการเดินทาง ถ้าคิดได้อย่างนี้ ก็ยิ่งต้องพยายามสร้างความปลอดภัยให้เขา หลายครั้งที่รู้สึกว่าผู้โดยสารต้องมาเสียชีวิตเพราะเรา บาปกรรมมันก็ตกอยู่ที่ใครไม่ได้นอกจากเรา เพราะถ้าอบรมพนักงานของเราให้เป็นคนดีได้ เรื่องพวกนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น ซึ่งจากประสบการณ์ที่ผ่านมาก็สอนอะไรได้หลายอย่าง ทุกวันนี้ถ้ามีเวลาก็ยังไปคุยกับคนขับ ไปอบรมสั่งสอนเขา เพื่อไม่ให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นอีก”

“ทางสมบัติทัวร์ก็พยายามที่จะยกมาตรฐานขนส่งไทย เพราะโตมาบนเส้นทางสายนี้ แต่อันดับแรกที่อยากให้ขนส่งช่วยพัฒนาคือ ถนน ถ้าถนนไม่ดี ต่อให้รถดีแค่ไหนก็ไม่สามารถวิ่งได้ ในทางกลับกัน ถ้าถนนดี คนเดินทางไปไหนมาไหนก็สะดวกสบาย ส่วนอันดับต่อไปไม่ขออะไรมากแค่อยากได้พนักงานดีๆ เพื่อนร่วมงานดีๆ เพราะผู้โดยสารต้องอยู่กับพวกเขา ความจริงแล้วคนขับรถไม่จำเป็นต้องขับเก่ง ขอแค่มีความรับผิดชอบ มีจิตสำนึกที่ดีและเป็นคนดีก็พอ”

“ผมอยากบอกกับคนที่ยังไม่เคยขึ้นหรือเคยขึ้นสมบัติทัวร์แล้วให้กลับมาขึ้นอีกว่า จริงๆ แล้วสมบัติทัวร์มีสโลแกนคือ มิตรแท้เพื่อนเดินทาง เพราะเราให้มากกว่าการเดินทาง ไม่ใช่แค่ส่งให้ถึงจุดหมายแล้วก็จบ คนเป็นมิตรกันนั้น เวลามีอะไรก็จะโทรหากัน ไปหากันบ่อยๆ คอยดูแลซึ่งกันและกัน ผู้โดยสารทุกคนจึงไม่ใช่แค่ลูกค้า แต่เป็นมากกว่าลูกค้านั่นคือมิตร และเป็นมิตรที่แท้จริงด้วย” 

‘สมบัติทัวร์’หนึ่งในผู้ให้บริการอันดับต้นๆ ของไทย