เกวลิน สุรคุปต์

เกวลิน สุรคุปต์

คุณเกวลิน สุรคุปต์ เธอเป็นหญิงสาวอนาคตไกล เคยทำงานในบริษัทใหญ่ชั้นนำของประเทศ กลับต้องละทิ้งตำแหน่งและหน้าที่ที่หลายคนอดเสียดายแทนไม่ได้ เพียงเพราะเพื่อต้องการดูและรักษาอาการเจ็บป่วยของสุนัขที่รัก แค่เพียงสุนัขตัวเดียวทำให้เธอยอมทิ้งความมั่นคงแห่งชีวิตเลยหรือ? ใช่ เพราะเธอคิดเพียงแค่ว่า “เราเลี้ยงเขามา ก็ต้องดูแลเขาให้ดีที่สุด เขาไม่เหมือนเรา เวลาเจ็บป่วยไม่สามารถบอกหรือช่วยเหลือตัวเองได้ เพราะฉะนั้นหน้าที่จึงเป็นของเรา” 
 

“โดยพื้นฐานดิฉันเป็นคนที่มีความผูกพันกับสุนัข เพราะเลี้ยงมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว จากนั้นพอเห็นสัตว์ไม่ว่าจะเป็นชนิดไหน พันธุ์อะไรก็อยากที่จะเข้าให้ช่วยเหลือเสียหมด ไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งจะมาประกอบอาชีพหรือทำธุรกิจเกี่ยวกับสุนัข หรือสัตว์เลี้ยงอะไรแบบนี้เลย คิดแค่ได้เลี้ยงได้ใกล้ชิดกับพวกเขาก็มีความสุขแล้ว หลังเรียนจบทางด้านบริหารมาก็ไปทำงาน จนมีช่วงหนึ่งที่สุนัขของดิฉันเริ่มป่วยแล้วเขาเดินไม่ได้ ก็รู้สึกสงสารและเศร้าใจมาก เลยพยายามหาวิธีและหนทางที่จะช่วยเขา 
 

“สุดท้ายก็มีความคิดที่จะไปเรียนด้านกายภาพบำบัดของสัตว์ เพราะตอนนั้นในเมืองไทยมีน้อยมาก อุปกรณ์ต่างๆ ก็ต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศซึ่งราคาสูงพอสมควร นอกจากนี้บางครั้งอุปกรณ์เหล่านั้นก็อาจจะมีคุณภาพไม่ตรงตามความต้องการของเราก็ได้ พอได้เรียน ก็เริ่มค้นคว้าลักษณะของวีลแชร์ที่เหมาะสม เพื่อพัฒนาตัวผลิตภัณฑ์ตัวนี้ขึ้นมาสำหรับสุนัขของเราก่อน ต่อมาก็เริ่มใช้กับสุนัขของคนใกล้ชิดบ้าง ในระหว่างนั้นยังไม่ได้คิดจะทำเป็นธุรกิจจริงจังอะไรแบบนี้ เพียงแค่ต้องการช่วยเหลือคนที่ประสบปัญหาแบบเรามากกว่า ช่วงนั้นการพัฒนาจึงเป็นไปแบบเคสบายเคส เราก็ค่อยๆ ศึกษาปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสมกันไป แต่ทุกขั้นตอนเราก็มีการทำงานร่วมกันกับสัตวแพทย์เสมอ”
 

เธอยอมรับว่าการตัดสินใจลาออกจากงาน เพื่อออกมาทำตามความตั้งใจนั้น ต้องต่อสู้กับเสียงคัดค้านของคนรอบข้างไปพร้อมๆ กับความพยายามที่จะคิดค้นและทดลองวีลแชร์ที่เหมาะสมกับสุนัขมากที่สุด แม้ในช่วงแรกสิ่งที่จับต้องได้จะเป็นเพียงแค่แบบร่างของผลิตภัณฑ์เท่านั้น แต่ด้วยความมุ่งมั่น เธอก็เลยไม่คิดว่าอะไรคืออุปสรรคระหว่างนั้น
 

“ตอนนั้นคนรอบข้างยังมองไม่ออกว่าสินค้าตัวนี้จะขายได้ เรียกว่าเราต้องต่อสู้สวนกระแสความไม่เข้าใจกันเลย แต่ดิฉันมีแรงบันดาลใจว่าหมาเราป่วย เราต้องทำให้ได้ ก็ใช้เวลากว่า 1 ปี จึงเริ่มมีผลตอบรับจากเพื่อนๆ สัตวแพทย์ที่ได้นำไปให้สุนัขทดลองใช้ว่าได้ผลดี แถมยังแนะนำให้ลองทำขายได้แล้ว เพื่อที่ว่าจะได้เป็นทางเลือกให้กับผู้เลี้ยงสุนัขรายอื่นๆ ที่เขาประสบปัญหาแบบเรา เพราะอาการของสุนัขบางตัวที่ป่วย มันรอไม่ได้แล้ว 
 

“จากนั้นแรกๆ ก็เริ่มเปิดตลาดภายในกรุงเทพฯ ก่อน เริ่มจากโรงพยาบาลสัตว์ ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี เพราะเป็นโอกาสที่จะได้เจอเคสจริงๆ ทุกเคส ทุกครั้งจะมีการทำสถิติว่าสุนัขในแต่ละตัว แต่ละสายพันธุ์นั้นมีลักษณะทางกายภาพจริงๆ อย่างไรบ้าง เราก็จะได้ค่าสถิติเฉลี่ยจากประสบการณ์ของเราเอง ถือว่าเป็นช่วงที่เหนื่อยมาก เพราะต้องลุยเองทุกเคส ไม่ว่าจะใกล้ไกลแค่ไหน เมื่อถึงเวลาที่คิดว่าพร้อมแล้วจึงขยายตลาดออกไปต่างจังหวัดและต่างประเทศ จุดเด่นของเราก็คือ แม้ว่าเราจะไม่ได้ทำผลิตภัณฑ์จากการได้เจอตัวสุนัขจริงๆ อย่างเช่นการสั่งสินค้าทางเว็บไซต์ แต่เราก็สามารถผลิตออกมาได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด เพราะสถิติที่เราเก็บไว้นั่นเอง
 

“ภายในปีนี้เราจะเปิดวีลแชร์เซ็นเตอร์ด้วยค่ะโดยที่นี่จะเป็น One stop service ลูกค้าที่เข้ามาสามารถนำวีลแชร์มาซ่อมแซมได้ โดยเราจะให้มีโรงแรมสัตว์เลี้ยง มีสระว่ายน้ำเปิดเป็นธาราบำบัดได้ด้วย คนอาจจะมองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องฟุ่มเฟือย มีค่าใช้จ่ายสูง แต่เชื่อว่าถ้าใครก็ตามที่มีใจรักพวกเขาจริงๆ สิ่งเหล่านี้มันไม่มากเกินไปเลยที่จะให้กับพวกเขา”  

หากย้อนเวลากลับไป แม้วันนี้จะเหน็ดเหนื่อยมากกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า แต่เธอก็ยังคงจะเลือกเส้นทางนี้ต่อไป 
 

“เมื่อเราได้เห็นสายตาของสุนัขที่เขามีความสุขจากการที่วีลแชร์ของเราช่วยบำบัดและบรรเทาความเจ็บปวดของเขาได้ เท่านี้ก็ยินดีที่สุดแล้วค่ะ” 

 

Know Her

องค์ประกอบที่จะทำให้เกิดเป็นวีลแชร์ที่เหมาะสม 1 คันนั้นต้องมาจากการวิเคราะห์ถึงโรคที่เขาเป็น ระยะเวลาที่เคยผ่าตัด อายุ อาการ น้ำหนัก ความแข็งแรงของขาแต่ละข้าง รวมไปถึงพื้นผิวที่สัตว์จะใช้เดินมีลักษณะอย่างไร โดยปัจจุบันผลิตภัณฑ์ตัวนี้ได้มีการจดสิทธิบัตรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ตั้งแต่เปิด Thai Wheelchairs for Dogs Co., มาเธอได้รับดูแลเคสยากๆ มากมาย อย่างตัวเฟอร์เร็ต หมูป่า แมว หรือแม้กระทั่งวีลแชร์ที่เล็กที่สุดสำหรับหนู 

รายได้จากการทำธุรกิจของเธอส่วนหนึ่งนั้นได้บริจาคให้กับบ้านสงเคราะห์สัตว์พิการ และสมาคมพิทักษ์สัตว์แห่งโลก (WSPA)

บ่อยครั้งที่เรามองเห็นความเสื่อมสลายของทุกสรรพสิ่ง