ภัทรพล ศิลปาจารย์

ภัทรพล ศิลปาจารย์

“ตอนนี้ก็มีละครอยู่สามเรื่องครับ ก็มี “ถึงร้ายก็รัก” “พยัคฆ์สาวแซ่บอีหลี” กับ “รักซ่อนแค้น” แล้วก็มีงานพิธีกรรายการ VIPทางช่อง 9 มีบริษัทออแกไนซ์ของตัวเองที่ชื่อ Go to Creation ที่รับทำอีเวนต์ มีรายการสั้นๆ ชื่อ “มันสมอง” ออกอากาศตอนก่อน 5 โมงเย็นทุกวันศุกร์ แล้วก็สุดท้ายก็คือเป็นหุ้นส่วนของ “ไคโรฟิต” ศูนย์ออกกำลังแนวใหม่ที่ผสมผสานวิทยศาสตร์การแพทย์ เรียกว่าตอนนี้ทำงาน 7 วันเลยครับ”

 

ถ้าถามถึงจุดพลิกผันของชีวิต หลายคนคงนึกว่าเขาน่าจะตอบว่า คือการเข้าสู่วงการบันเทิงที่ทำให้คนทั่วประเทศรู้จักเขาในฐานะพระเอกละคร แต่เปล่าเลย

 

“ผมเป็นคนภูเก็ต เรียนอยู่ที่นั่นมาตลอด ก็ถือได้ว่าเป็นเด็กเรียนดีคนหนึ่ง เกรดสามกว่ามาตลอด แต่พอขึ้นม.4 อาจจะเป็นช่วงวัยรุ่นด้วยมั้ง ก็เลยชักเริ่มติดเพื่อน ไม่ตั้งใจเรียน เอาแต่เตะบอลเล่นบาสอย่างเดียว เกรดเลยตกลงมาเหลือหนึ่งกว่าๆ พ่อแม่เห็นว่าชักจะไม่ได้การ เลยส่งผมไปสอบชิงทุน ผลปรากฏออกมาว่าผมได้ทุนของสมาคมไทย-อเมริกันไปเรียนต่อที่รัฐเพนซิลวาเนียอยู่2 ปี ตรงจุดนี้ผมพูดได้เลยครับว่าถ้าตอนนั้นผมไม่ได้ไปเรียนต่อที่เมืองนอก ผมคงไม่มีวันนี้ เพราะผมรู้สึกเลยว่าพอผ่านตรงนั้นมาแล้ว ชีวิตนี้จะให้ผมทำอะไรก็ทำได้หมด”

 

สิ่งที่เขาได้จากการไปเรียนต่างประเทศในครั้งนั้น ไม่ใช่แค่เพียงภาษา แต่มันคือความกล้าแสดงออกทางความคิด ความเป็นอิสระทางความคิด ไม่ขึ้นกับใคร ซึ่งเขาบอกว่าถึงแม้เขาจะไม่ได้เข้าวงการ เขาก็ยังได้ประโยชน์จากช่วงเวลานั้นอยู่ดี

 

ระหว่างที่เรียนอยู่ที่อเมริกาใกล้จะครบสองปี ด้วยใจรักที่ยังอยากจะอยู่ที่นี่ต่อ พอลจึงสมัครสอบเข้าในระดับชั้นมหาวิทยาลัยและสอบติดในที่สุด แต่เมื่อไม่มีทุนการศึกษาในระดับชั้นปริญญาตรี ประกอบกับช่วงนั้นเป็นช่วงที่เมืองไทยประสบปัญหาเศรษฐกิจฟองสบู่แตก ทำให้นักเรียนนอกหลายๆ คนถูกส่งกลับ และเขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ต้องกลับมาเมืองไทยพร้อมกับความฝันที่ยังอยากจะเข้าเรียนต่อในชั้นอุดมศึกษา

 

“ในใจผมยังอยากกลับไปเรียนที่อเมริกาอยู่ตลอดเวลา ก็เลยพยายามคิดทุกทางว่าทำอย่างไรถึงจะได้ไป พอดีที่มหาวิทยาลัยโยนก ลำปาง เขามีเรื่องของนักเรียนแลกเปลี่ยน ผมก็เลยไปเรียนที่นั่น แต่ก็ประสบปัญหาอีกว่าต่อให้ได้ไป ก็ยังไม่มีเงินจ่ายในส่วนอื่นๆ อยู่ดี เรียนอยู่ 2 ปี ผมก็ย้ายจากลำปางมาเรียนต่อที่กรุงเทพ ที่เอแบค เผื่อว่าจะมีโอกาสอื่นๆ เพราะใจมันคอยคิดแต่ว่าทำอย่างไรถึงจะหาเงินได้มากๆ เพื่อที่จะกลับไปเรียนต่ออีกครั้ง

 

“ผมออกมาทำงานที่บริษัทโมเดลลิ่ง คอยรับโทรศัพท์คอยหานางแบบนายแบบตามแต่ที่ลูกค้าต้องการ แล้วก็ได้ค่าคอมมิสชั่นจากตรงนั้น ระหว่างที่ทำอยู่ที่นี่ก็ได้เห็นประกาศทางช่องไอทีวี (ทีไอทีวีในปัจจุบัน) ว่าเขากำลังประกวดหาพิธีกร หาผู้ประกาศข่าว ผู้ชนะได้เงินรางวัล 5 หมื่นบาท ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าอยากได้เงิน เพราะความฝันเรื่องไปเมืองนอกมันยังอยู่ 
ผมจำได้เลยว่าผมไปที่เอสซีบีปาร์ค เขาจะมีตู้ถ่ายวิดีโอให้เราไปพูดแค่แนะนำตัว แต่ผมไม่รู้ ก็เลยพูดไปเยอะแยะ ทำเหมือนว่าจัดรายการเลย แล้วจากหลายพันคน สุดท้ายผมก็ได้แค่เข้ารอบ 5 คนสุดท้าย เงินรางวัลก็ไม่ได้อยู่ดีครับ เรียกว่าฝันสลายเลย(หัวเราะ)”

 

แต่เขาคงไม่รู้ว่า ความผิดหวังในวันนั้นจะนำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นมาให้กับชีวิตเขาในทุกวันนี้

 

“มีพี่คนหนึ่งที่เขาร่วมประกวดในโครงการนี้ด้วย ชื่อพี่ “นำบุญ” พี่เค้านำบุญมาให้ผมจริงๆ เขาบอกผมว่ามีเพื่อนทำงานอยู่ที่ไอบีซี(ยูบีซีหรือทรูวิชั่นในปัจจุบัน) เขากำลังหาคนอ่านข่าวให้ช่องใหม่ชื่อซูเปอร์สปอร์ต ผมเองชอบกีฬาอยู่แล้วก็เลยลองเข้าไปเทสต์ดู ก็ปรากฏว่าได้ นั่นคืองานแรกที่ผมได้ออกทีวี ถึงแม้จะเป็นเคเบิ้ลทีวีก็ตาม”

 

แล้วความสามารถบวกกับหน้าตาท่าทางการพูดการจาของเขาก็ไปเข้าหูพี่ฉอด สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยาแห่งเอไทม์มีเดียพอลจึงมีอีกงานหนึ่งควบคู่กันไปนั่นก็คือการเป็นนักจัดรายการวิทยุอยู่ที่คลื่น Radio No Problem ที่นี่เองที่เป็นเหมือนประตูแห่งโอกาสบานใหญ่ให้กับเขา เพราะเมื่ออยู่ในตึกแกรมมี่ เขามักจะถูกชวนไปทำงานอื่นๆ อยู่เสมอ อาทิ พิธีกรรายการคอนเสิร์ตทีวี 5 หรือการประกวดหนุ่มสาวแพรว ที่ถึงแม้จะติดแค่หนึ่งใน 10 แต่ก็นับเป็นอีกครั้งที่ชีวิตเขาเดินมาพบกับความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ

 

“บังเอิญว่าหนึ่งในคณะกรรมการที่ตัดสินหนุ่มสาวแพรวมีพี่คิง สมจริง ศรีสุภาพอยู่ด้วย พี่เขาก็ชวนผมมาเล่นละคร ละครเรื่องนั้นก็คือเรื่องปริศนา ผมรับบทเป็นประวิทย์ ผลปรากฏว่าละครเรื่องนี้ก็ดังจนใครหลายคนรู้จักผมก็เพราะละครเรื่องนี้ จนมาเป็นผมในทุกวันนี้ครับ”

 

แม้กระทั่งทุกวันนี้ พอลเองก็ยังคงมีความฝันที่จะไปเรียนต่อต่างประเทศ เพราะคิดว่าเพียง 2 ปีที่ได้ไปอยู่ที่นั่นก็ให้อะไรกับเขามากมาย เขาอยากนำความรู้ที่ได้กลับมาสร้างประโยชน์ให้กับบ้านเมืองของเรา เขาเชื่อว่าการศึกษาสำคัญที่สุด ดังจะเห็นได้จากหลายๆ โครงการการกุศลที่เขามักจะใช้ประโยชน์ของความเป็นคนมีชื่อเสียงเพื่อช่วยเหลือคนที่ด้อยโอกาสกว่าอยู่เสมอ อย่างล่าสุดเมื่อปลายปีที่แล้วพอลและดาราอีกหลายคนได้เข้าร่วมโครงการ “เชฟรอน รวมพลังสร้างโรงเรียนเพื่อพ่อหลวง” กับรายการเจาะใจเพื่อหาเงิน 60 ล้านบาทเพื่อเป็นทุนจัดซื้อดาวเทียมให้กับโรงเรียนที่อยู่ห่างไกล

 

อีกสิบปีข้างหน้าหนุ่มวัยใกล้แตะเลขสามนำหน้าคนนี้ ตั้งเป้าหมายไว้ว่าอยากจะมีบริษัทผลิตรายการโทรทัศน์เป็นของตัวเองหรือยิ่งใหญ่กว่านั้นก็คือการเป็นเจ้าของสถานีโทรทัศน์ เพราะเขาเชื่อเสมอว่าโทรทัศน์คือโรงเรียนที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพราะฉะนั้นถ้าผลิตรายการที่มีสาระมีความรู้และดูสนุกแล้ว ก็ย่อมจะเข้าถึงและเป็นประโยชน์กับคนหมู่มาก

 

ใครจะรู้วันหนึ่งเขาอาจจะเป็นอย่างเท็ด เทอร์เนอร์แห่ง CNN หรือริชาร์ด แบรนสันเจ้าของ Virgin ก็ได้

หนึ่งวันของทุกคนมี 24 ชั่วโมงเท่ากัน