ธีรภัทร สัจจกุล

ธีรภัทร สัจจกุล

“ปัจจุบันผมดูภาพรวมทั้งหมด ตั้งแต่เรื่องการผลิต เรื่องการตลาด เรื่องบัญชี วางโพสิชันนิ่งของคลื่น วางฟอร์แมต บริหารคอนเทนต์ ดูแลดีเจ เรียกว่าทุกอย่างที่เป็นฝั่งโปรดักชั่นครับ

 

“จุดเริ่มต้นของซี้ดนั้นเป็นหนึ่งในคลื่นส่วนกลางของ อสมท. ทางเราก็ดึงมาบริหารจัดการเอง เป็นต้นแบบของการบริหารแบบ BU (Business Unit) ซีดเป็นเหมือนดีพาร์ตเม้นท์นึงของ อสมท. ก็มีอิสระพอสมควร แต่ยังรับนโนบายหลักจากทาง อสมท. อยู่ครับ”

 

ไม่ใช่เรื่องง่ายที่คลื่นวิทยุน้องใหม่สักคลื่นจะแหวกกระแสอันเชี่ยวกรากบนหน้าปัดวิทยุขึ้นมายืนอยู่แถวหน้าได้ภายในระยะเวลาไม่นาน แต่เขาเองในฐานะผู้นำก็พานาวาลำนี้ที่ชื่อซี้ดมาอยู่จุดนั้นได้แล้ว

 

“ถ้าเทียบกับคลื่นวัยรุ่น เราก็ถือว่าเป็นที่หนึ่ง ถ้าดูภาพรวมก็จะเป็นรองแค่ลูกทุ่งมหานครเท่านั้น จริงๆ แล้ว เราขึ้นอันดับ 1 ตั้งแต่6 เดือนแรกที่เปิดคลื่นครับ ตรงนี้เรามีตัวชี้วัดโดยดู 2-3 อย่าง คือ เรื่องของการสำรวจเรตติ้ง เรื่องเอสเอ็มเอส เรื่องฟีดแบคจากการออกไปทำกิจกรรม แล้วก็เรื่องของยอดขายโฆษณา ซึ่งเกือบจะเป็นอันที่สำคัญที่สุด ตัววัดทั้งสี่นี้จะสะท้อนออกมาให้เราเห็นซึ่งก็นับว่าประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นยอดเอสเอ็มเอสที่มีฐานคนส่งกว้าง เพราะเรามีช่วงที่ออกอากาศไปทั่วประเทศ กิจกรรมแต่ละกิจกรรมก็ประสบความสำเร็จด้วยดี เรื่องยอดขายก็ยังสามารถประคองให้อยู่อันดับต้นๆ ได้

 

“ที่ซี้ดมาถึงจุดนี้ ผมมองอย่างนี้ครับว่าเราเกิดถูกที่ถูกเวลา ถูกที่หมายถึง ซี้ดนั้นเกิดในเครือข่าย อสมท. ที่มีสื่อครบวงจร เป็นฐานที่มั่นคง เพราะฉะนั้นมันทำให้เราสื่อสารไอเดียและอารมณ์แบบซี้ดๆ ได้ครอบคุลม ทั่วถึงและรวดเร็ว ส่วนถูกเวลาหมายถึงในช่วงเวลานั้นบนหน้าปัดวิทยุยังนิ่งพอสมควร ไม่มีผู้เล่นหน้าใหม่ๆ เข้ามา มีแต่ค่ายใหญ่ๆ ไม่กี่ขั้ว เพราะฉะนั้นการโผล่เข้ามาในตลาดคลื่นวัยรุ่นของเราจึงเป็นที่น่าจับตามอง บวกกับโพสิชันนิ่งของเราวางไว้ว่าเป็นกลาง ไม่ขึ้นกับค่ายไหน ก็เลยได้รับการตอบรับจากผู้ฟังที่รวดเร็ว

 

“หลักๆ ที่เราสื่อสารและต้องการสร้างความแตกต่างก็คือ เราแค่เป็นตัวของตัวเอง เราสนุกกับการสื่อสารในอารมณ์แบบนี้ ซ่ากวน แค่เห็นโลโก้ของซี้ดก็จะเข้าใจ ซี้ดเป็นเมล็ดพันธุ์ซึ่งมีความร้อนแรง หน้าตาคล้ายเอเลี่ยน สะท้อนถึงวันรุ่นที่กล้าคิดกล้าทำกล้าเป็นเผ่าพันธุ์ที่คุณเป็น แม้จะถูกมองว่าต่างจากรุ่นก่อนๆ ดีเจเองก็เป็นส่วนหนึ่งของการเล่าเรื่อง เหตุผลที่เรานำดีเจหน้าใหม่มาเสนอก็เพราะเราเกิดบนเครือข่ายที่ครบวงจร ก็เลยเปลี่ยนรูปแบบจากการเล่าผ่านเสียงเป็นทั้งภาพและเสียง มันเป็นรูปแบบที่ทำให้ผู้คนจดจำได้รวดเร็วขึ้น คนก็จะเข้าใจแคแรกเตอร์ของคลื่นได้เร็วขึ้น

 

“เราต้องปรับตัวไปตามพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนเร็วมาก เมื่อก่อนคนที่รักเสียงเพลงก็จะฟังที่บ้านหรือไม่ก็บนรถ แต่เดี๋ยวนี้วิทยุถูกฟังในมือถือมากที่สุด แล้วอีกหลายปีข้างหน้าจะเปลี่ยนไปเป็นอย่างไร ยังไม่มีใครรู้ ได้แค่เดาๆ เอาว่าถ้า 3G มาถึง วิทยุก็อาจจะลงเซ็กเมนต์มากขึ้น แต่มิติในเรื่องของความผูกพันระหว่างดีเจกับผู้ฟังก็คงเปลี่ยนไป เมื่อก่อนจะผูกพันใกล้ชิดสนิทกัน แต่วันนี้มันถูกแชร์ด้วยเทคโนโลยีเยอะมาก มีสื่อใหม่ๆ เข้ามาตลอด”

 

เราลองถามเขาเล่นๆ ว่า การทำงานกับวัยรุ่นมันยากง่ายแค่ไหนที่ต้องคอยอัพเดทตัวเองตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ความจริงดูจากการตกแต่งภายในห้องทำงานของเขานั้นก็พอจะรู้ว่าเขานั้นไม่เคยตกเทนด์เลยจริงๆ

 

“ผมไม่รู้สึกนะว่ามันเป็นหน้าที่ที่ต้องอัพเดทตัวเอง รู้สึกว่ามันเป็นธรรมชาติมากกว่า ผมเป็นคนที่ชอบอัพเดทตลอดเวลาอยู่แล้วชอบอะไรที่ทันสมัย ทันโลกทันเหตุการณ์ แต่ก็แค่ไม่ได้ตัดผมทรงเกาหลีเท่านั้นเอง (หัวเราะ)

 

“ข้อแตกต่างของคนรุ่นนี้กับรุ่นผมคือ รุ่นนี้เขาจะมีช่องทางในการรับสื่อเยอะมาก เปลี่ยนเร็วตลอด เดี๋ยวนี้มีมากมาย ทั้งอินเตอร์เน็ต ทั้งมือถือ ช่องทางมันเปิดกว้าง วัยรุ่นสมัยนี้เลยโชคดี แต่ก็ถือว่าโชคร้ายตรงที่ต้องสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง เพราะคุณต้องเผชิญการข้ามถนนแปดเลน ถ้าคุณพลาด คุณจะตกเป็นเหยื่อของเทคโนโลยีเหมือนอย่างในข่าว มันเหมือนมีโลกว้างให้ออกไปผจญภัยมากขึ้น ผมเรียกว่าวัยรุ่นสมัยนี้เป็นนักผจญภัย ต้องรู้จักการใช้ชีวิต

 

“ซี้ดเองในฐานะสื่อ เราไม่ใช้คำว่าสอนวัยรุ่น แต่เราพยายามพยายามเบลนด์ให้คนรุ่นใหม่มีความรู้สึกว่าชีวิตที่สนุก ใครๆ ก็อยากมี แต่ในที่สุดแล้วอยากให้คุณระลึกอยู่เสมอว่าคุณคือใคร ควรทำอะไรกลับคืนสู่สังคมบ้าง เราสื่อสารด้วยอารมณ์ซี้ด เราชงไม่ให้ขมด้วยการสอดแทรกมุมมองของการทำอะไรเพื่อสังคม มีการนำรายได้มอบให้องค์กรการกุศล อาทิ มูลนิธิ พอสว.

 

และอย่างที่ทุกคนทราบกันว่าผู้ชายคนนี้กำลังจะกลับมาอยู่เบื้องหน้าอีกครั้งกับการเล่นละครโทรทัศน์เรื่อง “เมียหลวง” คู่กับนางเอกสุดฮอตที่เคยมาขึ้นปก MiX ไปแล้วเมื่อ 2 ฉบับที่แล้วอย่าง อั้ม พัชราภา

 

“กลับมาเพราะมันคิดถึงครับ คือเมื่อสองเดือนที่แล้ว ผมเพิ่งได้ไปเล่นละครเทิดพระเกียรติ ก็เลยชักคันไม้คันมือ เริ่มคิดถึงการตีความ ความสนุกของการเล่นละครมันอยู่ที่คุณได้ไปสวมบทบาทของมนุษย์อีกคน ได้ถ่ายทอดความรู้สึก เหมือนเป็นร่างทรงได้สวมวิญญาณ คิดเหมือนเขา อยากเหมือนเขา พูดจาสื่อสารในมุมของตัวละครนั้นๆ แต่ก็เป็นการทำงานที่หนักมากๆ ครับ ส่วนเรื่องเพลงก็ยังอยากทำอยู่ทุกวันเลย แต่การทำเพลงมันต้องอยู่ว่างๆ สมองโปร่ง หาอะไรมาปะทะแล้วสร้างแรงบันดาลใจ ก็เลยยังไม่มีเวลาขนาดนั้นคงได้แค่รับเชิญมากว่าครับ”

 

แน่นอน คำถามที่นาทีนี้ใครที่เจอเขาแล้วไม่ถามก็คงจะไม่ครบรส ไม่ใช่เรื่องอะไร ก็เรื่องที่เขากำลังจะเป็นเจ้าบ่าวของเจ้าสาวที่ชื่อ นาตาชา เปลี่ยนวิถี ในปลายปีนี้

 

“มันเหมือนเราเจอคนที่เราคิดว่าจะใช้ชีวิตร่วมกันได้ครับ ใจจริงๆ เราก็ยังอยากอาละวาดอยู่นะ (หัวเราะ) แต่ถ้าต้องแลกกับการไม่มีเขา เราจะเดินต่อไปได้เหรอ ก็ตอบว่าไม่ได้ ตอนนี้เริ่มคิดแล้วว่าถ้ามีลูก หน้าตาเขาจะเป็นอย่างไร เริ่มคิดว่าเราจะมีวันนี้เพื่ออะไร ไม่ใช่เก็บเงินแล้วเอาไปแต่งรถ เราต้องรู้แล้วว่าเราทำเพื่อใคร”

เรารู้จักผู้ชายคนนี้จากการเป็นลูกชายของคนดัง