มาโนช พุฒตาล

มาโนช พุฒตาล

ชีวิตกับการพูด

วันที่เราไปนั่งสนทนากับเขาที่บ้านย่านรามอินทรา การแสดง ‘คอนเสิร์ตบันเทิงคดีเดอะมูฟวี่ฝนโปรยไพร ใจกลางเมือง’ ของเขาเพิ่งจะจบลงไปได้ไม่กี่วัน ผู้คนในวงการและแฟนเพลงรวมไปถึงแฟนรายการที่ชื่นชอบเขาต่างไปรวมตัวกันที่สกาล่าอันเป็นสถานที่แสดงคอนเสิร์ตอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง 

สิ่งที่ได้รับในครั้งนั้นนอกจากความปลาบปลื้มใจที่สิ่งที่ตั้งใจสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีแล้ว เขายังค้นพบอาวุธที่ซ่อนอยู่ในตัวเขา อาวุธที่มีอานุภาพที่สุด หากนำไปใช้อย่างถูกวิธี นั่นคือ‘การพูด’ 

“ผมเชื่อว่าการพูดมันมีน้ำหนักมากกว่าเพลง กีต้าร์มันทำให้คนน้ำตาไหล หัวเราะ หรือเต้นได้แต่มันก็ยังไม่สามารถปลุกให้คนลุกขึ้นไปต่อสู้กับอะไรได้เหมือนคำพูด มันสามารถปลุกเร้าได้ถึงขนาดที่ว่าคนมือเปล่าสามารถสู้กับคนมีอาวุธได้จริงๆ”     

ทั้งหมดที่เป็น “มาโนช พุฒตาล” ในวันนี้ รากฐานสำคัญอาจมีที่มาจากการที่เขาเป็นนักฟังตั้งแต่วัยเด็ก เนื่องจากคนในครอบครัวต่างก็เป็นนักเล่าเรื่องแทบทั้งสิ้น ตระกูลของเขาเป็นชาวมุสลิมที่อาศัยอยู่ ในสังคมริมแม่น้ำเจ้าพระยา ริมคลองอยุธยา ญาติพี่น้องส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเดินเรือขายเครื่องเทศและขายสินค้าจำพวกถ้วยชาม เครื่องเคลือบที่มีราคาซอกแซกขายไปตามที่ต่างๆ คนในเครือญาติของเขาจึงมีประสบการณ์ชีวิตมากมายที่ได้พบเจอจากแต่ละที่มาเล่าให้เด็กๆ อย่างพวกเขาฟังกันอยู่เสมอ 

“ผมเติบโตมากับครอบครัวที่อบอุ่น อยู่กันแบบชาวบ้าน เราเป็นครอบครัวใหญ่ เวลาว่างจากงานก็จะมานั่งล้อมวงพูดคุยกันประจำ ผมเป็นเด็กก็จะนั่งตักผู้ใหญ่แล้วฟังพวกผู้ใหญ่ผลัดกันเล่า ผลัดกันพัดยุงให้กันไป บางทีก็โดนใช้ให้ไปซื้อโอเลี้ยงบ้าง กาแฟบ้าง ก็รีบไปรีบกลับมาเพื่อจะฟังให้ทัน เพราะแต่ละคนนอกจากจะมีเรื่องที่แตกต่างกันแล้ว ยังมีมุขตลก มีการวางเนื้อเรื่อง ให้น้ำหนักความตื่นเต้น มีจุดไคล์แม็กซ์ เรียกว่ามีกลยุทธ์การเล่าที่แพรวพราวอย่างพ่อผมนี่ก็เล่าเก่ง ท่านไม่ได้ขายเครื่องเทศ แต่ท่านเดินเรือโยง ออกเรือทีก็มีเรื่องมาเล่าที  

“พอไปโรงเรียน ความสามารถนี้ก็เลยติดตัวผมมา เวลาพัก เพื่อนๆ ก็จะมานั่งล้อมกันรอให้ผมเล่าเรื่องให้ฟัง อีกอย่างที่สำคัญก็คือผมเป็นคนชอบสังเกต เป็นคนชอบคิดตามในเรื่องที่เราเห็น สมมติผมเห็นคนๆ นึงกำลังเดินผ่าน ก็คิดตามแล้วว่าเขาจะไปไหน ใช้จินตนาการในการคิดต่อไปเรื่อยเปื่อย เป็นเรื่องราวได้ไม่รู้จบ 

“ตอนผมอยู่ ป.5 ครูใหญ่ของผมตอนนั้นชื่อ ครูปัญญา น้ำเพ็ชร ท่านให้ผมเป็นโฆษกโรงเรียน อย่างแข่งบอลผมก็ได้พากย์บอล มีครั้งหนึ่งตอนจะพากย์บอลเพื่อนๆ ก็มาบอกผมว่า เบอร์ 7 มันชื่อไอ้จก มันเป็นปีกขวา ผมก็พากษ์ใหญ่เลย ไอ้จก ไอ้จก พอบอลเตะเสร็จไอ้จกมันจะมาต่อยผม เพราะปรากฏว่าชื่อจกคือชื่อพ่อมัน ตอนนั้นผมก็ใจเสีย แต่มานึกย้อนไปตอนนี้ก็เป็นเรื่องตลกเสียอีก” 

ชีวิตกับศาสนา

ด้วยชีวิตที่โตมาแบบคนบ้านนอก และยังคงหวนหาสิ่งแวดล้อมแบบนั้นเสมอ เขาคงความรู้สึกนั้นไว้ด้วยการหาต้นไม้ที่คุ้นเคยในวัยเด็กมาปลูกรอบบ้าน ยังคงมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน ยังคงรักษาความประทับใจที่คุ้นเคยในวัยเด็กไว้อยู่กับตัวเสมอมา เรื่องราวที่เขาเล่าจึงล้วนมีแรงบันดาลใจมาจากวัยเด็กเป็นสำคัญ 

“เรื่องของการมีตัวตน ความมีรากเหง้า ผมเชื่อว่ามันมีติดตัวกันอยู่แล้วและยากที่จะลืม เพียงแต่หลายคนเขาอาจจะไม่ได้พูดเหมือนผม บางทีชีวิตทุกวันนี้ของเขาอาจไม่ได้เอื้ออำนวยต่อการแสดงออกเหล่านั้นก็ได้ อย่างผมก็เลือกปลูกต้นไม้ทุกต้นที่ผมโตมากับมัน ไม่ว่าจะเป็นต้นนมแมว ต้นชำมะเลียงป่า ต้นมะกรูดที่ผมเคยเอามาใช้สระผม ทุกวันนี้ผมก็ทำที่อาบน้ำไว้ใต้ต้นมะกรูด เด็ดใบเอามาขยี้ผมได้เหมือนตอนเด็กๆ ไม่ใช่ว่าผมทำเพื่อย้อนรำลึกนะ แต่มันเป็นความปรารถนาที่เกิดขึ้นเอง มันรู้สึกดีที่ได้ทำอย่างนั้น ทุกอย่างที่ผมยังคงยึดถืออยู่คงเดิมเพราะมันคือความประทับใจในชีวิตที่ได้พบผ่านมา

“มีคนบอกว่าผมค่อนข้างซีเรียส แต่จริงๆ แล้วไม่หรอก มันอาจมีบ้างที่ผมก็มีมุมนั้น แต่มันก็ไม่ใช่ทั้งหมด อย่างบทเพลงหลายเพลงที่ผมถ่ายทอดนั้นก็เพราะผมอยากคุยเรื่องอื่นบ้าง ไม่อยากซ้ำในเรื่องที่เขาคุยกันเยอะในเพลงแล้ว อย่างในชุด ‘ในทรรศนะของข้าพเจ้า’ ผมแค่ต้องการบอกว่าผมมีความคิดเห็นอย่างนี้ ต่อเรื่องดังต่อไปนี้  

“อย่างผมมีความขัดแย้งกับพี่ชายของผมคนหนึ่งในเรื่องของความเชื่อทางศาสนา เรามีความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน เพราะเขาเชื่อตามความเชื่อ แต่ผมอยากเชื่อด้วยการพิสูจน์ ไตร่ตรองตรวจสอบให้มากที่สุดก่อนที่เราจะเชื่อหรือศรัทธาอะไร ไม่ใช่ผมลบหลู่ แต่เพียงเพราะอยากศรัทธาด้วยความถ่องแท้จริงๆ นั่นเอง 

“อาจเป็นเพราะผมเป็นคนช่างสงสัยก็ได้นะ ผมก็เลยทำเพลงตามที่สงสัยนั่นเอง อย่างเรื่องการรู้เท่าทันสื่อ คนจะพูดกันมาก ผมก็จะคิดๆ แล้วก็รู้ในที่สุดว่าแท้จริงแล้ว เราต้องรู้เท่าทันตนเองก่อน ถึงจะรู้เท่าทันสื่อได้ เพราะไม่ว่าจะอะไรก็แล้วแต่ สุดท้ายมันก็ต้องมีจุดเริ่มต้นคือที่ใจ 

 “เรื่องศาสนาเป็นเรื่องที่น่าติดตามมากที่สุดอีกเรื่อง ผมเลยสนใจที่จะเรียนรู้หลายๆ ศาสนาเพราะมันเป็นเรื่องที่มีมายาวนาน เราไม่สามารถอธิบาย หรือจินตนาการได้ว่ามันมีที่มาที่ไปที่แท้จริงอย่างไร แต่หลายคนอาจมองว่าผมนอกรีตหรือเปล่า เป็นอิสลามแต่ฝักใฝ่ศาสนาอื่นๆ แต่ผมยึดตามคัมภีร์ที่ได้อ่านมากกว่า คัมภีร์บอกว่า จงศึกษาให้มากที่สุด

“เมื่อก่อนที่ผมอยู่ที่อยุธยา วัด โบสถ์ สุเหร่า อยู่ใกล้ๆ กันหมด ทุกคนที่ต่างศาสนาก็ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันตามปกติ ไม่มีการทะเลาะกันเรื่องศาสนา เพราะมันไม่ใช่หัวข้อที่จะนำมาถกกันเลยเสียด้วยซ้ำ สื่อเองก็ไม่ได้กว้างขวางขนาดนี้ เรื่องที่ให้คุยกันมันก็มีแค่ชีวิตประจำวัน การทำมาหากิน แต่เดี๋ยวนี้ด้วยกระแสโลกเรานี่แหล่ะที่พยายามทำให้ต่างศาสนาเกิดการปะทะกันจนกลายเป็นทุกวันนี้ห้ามคุยกันเรื่องศาสนา 

“เรื่องศาสนามันเป็นเรื่องที่ต้องคุยกันด้วยจิตที่ปล่อยวาง และสงบ ห้ามก้าวร้าว ลองสังเกตสิคนก้าวร้าวคุยเรื่องอะไรก็ฆ่ากันได้นะ ไม่ใช่แค่เรื่องศาสนาหรอก อย่างเพื่อนผมเคยต่อยกันเพียงเพราะว่าเถียงกันเรื่องมาบุญครองกับเซ็นทรัลนั้นใครรวยกว่ากันเท่านั้นเอง 

“เคยมีคนอธิบายผมไว้ได้อย่างคมคายมาก เขายกตัวอย่างเรื่องชาว่ามันมีคาเฟอีนอยู่ แต่เรารู้ได้อย่างไรว่ามันมีอยู่จริง เขาก็บอกว่าเพราะมันมีกระบวนการที่วิเคราะห์ออกมาตามขั้นตอนทางวิทยาศาสตร์ซึ่งพิสูจน์ได้ว่ามันมีจริง ศาสนาก็เหมือนกัน มันมีกระบวนการอยู่ แต่คุณยังไม่เข้าสู่กระบวนการเลย ยังไม่ได้ปฏิบัติตามศาสนกิจให้ครบทุกข้อเลย แล้วคุณจะมาสรุปคำตอบว่าเชื่อหรือไม่เชื่อเลยนั้นไม่ได้ ที่ผ่านมาผมจึงถือว่ายังอยู่ในขั้นตอนของกระบวนการนั่นเอง”

ชีวิตกับความตาย

“ผมทำงานด้านสื่อมา 30 ปีแล้ว มองเห็นความเปลี่ยนแปลงมากมาย แต่มันก็เป็นการเปลี่ยนแปลงไปตามเทคโนโลยีที่ทันสมัยขึ้น เข้าถึงง่ายขึ้น จริงๆ ผมไม่ค่อยจะสังเกตเรื่องความเปลี่ยนแปลงของสื่อ แต่จะสังเกตไปที่ผลกระทบที่มีมากกว่า เพราะถ้าพูดถึงผลที่ตามมามันทำให้ผมเห็นว่าชีวิตเดี๋ยวนี้มันหมดเสน่ห์ไปเยอะ 

“อย่างสมัยผมเมื่อชอบวง The Eagles ก็จะพยายามหาสิ่งของสัญลักษณ์ที่เป็นตัวแทนเช่น ถ้ามีปกสมุดเป็นรูปวงนี้ก็จะสุดยอดมากๆ มันมีคุณค่า แต่เดี๋ยวนี้มันไม่แล้ว คุณต้องการอะไรล่ะ ในอินเตอร์เน็ตมีให้คุณได้หมด ง่ายๆ แค่อยากดูการแสดงของวง เปิดยูทูบก็เจอแล้ว   

“โลกนี้มันเลยขีดความพอดีมานานแล้ว ทุกอย่างที่เกิดขึ้นต่อจากนี้คือการเพิ่มขึ้นโดยเกินความจำเป็น อย่างในแง่ของเศรษฐกิจ หลายประเทศบอกว่าจะเพิ่มยอดขายสินค้า เช่นรถยนต์ บ้าน คอนโด ฯลฯ แล้วมันจะพอดีได้อย่างไร ถนนมันก็มีเท่าเดิม พื้นที่มันก็มีเท่าเดิมแถมถ้าไม่พอก็ต้องไปเบียดเบียนธรรมชาติอีก จุดจบในวันหนึ่งมันก็คงหนีไม่พ้นวันสิ้นโลก 

“ผมเคยคิดนะว่าถ้าเกิดวันนั้นขึ้นจริงๆ ผมขอแค่อยู่พร้อมหน้ากับครอบครัว เผชิญไปด้วยกันเรื่องตายสำหรับผมมันวนเวียนในความคิดอยู่เสมอ เพราะด้วยศาสนาอิสลามก็สอนให้แวะดูสุสานให้บ่อยที่สุด เพื่อให้ทำใจกับความตายให้ได้

“พูดถึงเรื่องของความตาย มีอยู่ครั้งนึงที่ทำให้ผมกลัวการนั่งเครื่องบินมาจนถึงทุกวันนี้ ตอนนั้น พ.ศ.2517 เครื่องบินที่ผมนั่งไปอเมริกาตอนที่ผมได้ทุน AFS มันจะต้องขึ้นจากดอนเมืองไปต่อเครื่องที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งมันก็จะต้องบินผ่านน่านฟ้ารัสเซีย แล้วมันอาจจะบินต่ำเกินไป ก็เลยมีการยิงเตือนมา เครื่องก็เกิดเสียหาย ก็ต้องบินกลับมาที่โซลใหม่ จากนั้นก็บินต่อไปลงที่ฮาวาย นักข่าวก็มารุมล้อมเต็มเลย  

“เหตุการณ์นี้มันทำให้ผมค่อนข้างขยาดการขึ้นเครื่องบินไปเลยนับจากนั้น ทุกวันนี้เวลาเดินทาง พอล้อแตะพื้นเมื่อไหร่ แทบจะถอนหายใจ โล่งใจ เลยกลายเป็นว่าไม่ว่าจะไปไกลแค่ไหน ผมก็ไม่กล้าหลับบนเครื่อง เพราะไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น เคยคิดถึงขนาดว่าเขาน่าจะมีร่มชูชีพให้ผู้โดยสารบ้าง หรืออย่างเวลาพนักงานมาเสิร์ฟขนมปังอะไร ผมก็จะเก็บไว้แล้ว เผื่อเกิดอะไรขึ้น เราจะได้รอดเพราะมีอาหารประทังชีวิต ดูสิครับว่าผมเป็นได้ขนาดนั้น”

ชีวิตกับงาน

“ทุกวันนี้ผมจัดรายการที่ FM 96.5 MHz คลื่นความคิด (23.30-00.30 น. จันทร์-พฤหัสบดี) ช่วงของผมใช้ชื่อรายการว่า คนกรุงเก่าเล่าเรื่อง เพราะเขาเห็นผมเป็นคนอยุธยารายการนี้อาจจะเรียกว่าเป็นรายการเพลงได้ยาก เพราะมันเป็นรายการที่ผมเล่าเรื่องจากเหตุการณ์รอบๆ ตัว แล้วแต่ว่าช่วงนั้นผมได้รับแรงบันดาลใจอะไร อย่างเช่น ผมอยากพูดถึงเรื่องของคู่กาย มันก็จะนึกไปถึงโฆษณาบัตรอเมริกัน เอ็กซ์เพรส ในยุคแรกเขามีสโลแกนว่า‘Don’t Leave Home Without It’ ผมก็จะเชื่อมโยง
ไปถึงหนังแบทแมนภาคแรกที่มีการนำมาล้อเลียนว่า ขนาดออกมาจากบ้านก็โดนตีหัวขโมยบัตรไปแล้ว ก็เป็นเรื่องราวให้แบทแมนมาปราบโจรนี้อีก

“เมื่อประเด็นมันคือเรื่องราวของของคู่กาย ผมก็จะรู้กรอบของเรื่องแล้ว ทีนี้จะพูดถึงอะไรก็ได้ที่เราคุมมันได้และรู้จริง อย่างเรื่องฤทธิ์มีดสั้น ลี้คิมฮวงเขาก็จะมีอาวุธคือมีดสั้น ผมก็จะสงสัยว่าจริงๆ แล้วเขามีมีดสั้นกี่อัน ใช้แล้วเอามาล้างใช้ใหม่หรือเปล่า หรือต้องเหมือนหมอที่พอใช้เข็มฉีดยาแล้ว ก็ต้องทิ้งเข็มเลย หรือในเมื่อจะฆ่าอยู่แล้วก็ไม่เห็นต้องกลัวติดเชื้อนี่ แล้วลักษณะของมีดสั้นมันเป็นอย่างไร มีใครเคยเห็นไหม เพราะคนที่อ่านหนังสือเขาก็จะบอกว่าไม่มีใครเคยเห็นนะ เพราะทันทีที่เห็นก็ตายหมดแล้ว 

“แค่นี้ผมก็มีเรื่องเอามานั่งเสวนาต่อยอดกับเพื่อน แล้วก็เอามาเล่าออกอากาศได้อีก เรื่องที่นำมาเล่าจึงมักมาจากเรื่องราวมากมายหลากหลายประสบการณ์ และผมต้องมีประสบการณ์ตรงด้วย ถ้าไปอ่านเจอมาก็จะไม่เล่า เพราะมันไม่ได้อรรถรสเท่า” 

นอกจากการจัดรายการวิทยุแล้ว มาโนชยังมีส่วนช่วยในเรื่องการเผยแพร่วัฒนธรรมเนื่องจากเขาได้มีโอกาสไปต่างประเทศบ่อยจากการที่เขียนบทความประจำในหนังสือคู่สร้าง-คู่สม

“คู่สร้างคู่สมเป็นนิตยสารที่ขายดีมากๆ ทั่วโลก เพราะผู้หญิงไทยจะนิยมอ่านกัน เวลาคนไทยที่นู่นเขาจะมีงานหรือจัดกิจกรรมอะไรกัน ก็จะประสานมายังสถานทูตแล้วติดต่อมายังคู่สร้าง-คู่สม ให้ไปด้วย เรียกได้ว่าเหมือนเป็นนิตยสารที่เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างนั้นเลย เหมือนเป็นการใช้การทูตระดับอ่อนระหว่างประชาชนกับประชาชน อะไรที่เราเจ๋ง เราก็นำเสนอให้เขาดู อย่างที่เขาใช้และประสบความสำเร็จไปทั่วโลกแล้วก็คือ Korea Foundation ประเทศเกาหลีเขาทำสำเร็จ แม้กระทั่งประเทศแถบยุโรปตะวันออกยังมีช่องเกาหลีเลยนะ คิดดูสิ อย่างญี่ปุ่นก็มี Japan Foundation เขาทำมานานแล้ว 

“แต่ที่ทำก่อนใครก็คืออเมริกา เขามีองค์กร USIS (United States Information Service) หรือสำนักงานข่าวสารอเมริกัน เขาจะคอยมาป้อนวัฒนธรรมอเมริกันชนให้กับแต่ละประเทศ ซึ่งผมเองก็เป็นลูกหลานวัฒนธรรมอเมริกัน ก็เพราะผมมีครูที่เป็นอาสาสมัครจาก Peace Corporation ที่ตั้งโดยประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคเนดี้ 

“ช่วงยุค 60s ซึ่งเป็นยุคสงครามเย็น อเมริกามีความคิดที่จะส่งออกวัฒนธรรมวัยรุ่นไปยังต่างประเทศเพื่อให้เกิดความรักในอเมริกันชนให้ได้ ซึ่งมันก็ได้ผลมาก ผมได้รู้จักการไป AFSสนใจ The Beatles ทั้งหมดก็มีส่วนผลักดันมาจากบุคคลเหล่านี้ ในที่สุดผมก็กลายเป็นบุคคลที่เผยแพร่เพลงฝรั่งต่ออีกที”

 ชีวิตกับแรงบันดาลใจ

“ผมโตมากับเรื่องเล่า โตมากับเสียงเพลง มันทำให้ผมได้มีโอกาสทำงานเกี่ยวกับเพลงอย่างที่ทราบๆ กัน อย่างผมจัดรายการที่คลื่นวิทยุ ผมก็จะถนัดในงานวัฒนธรรม เพลงพื้นบ้านทั้งไทยและต่างประเทศ เพลงลูกทุ่งอเมริกัน ลูกทุ่งไทย ผมก็จะพูดคุยส่วนใหญ่ในเรื่องของศิลปวัฒนธรรม หรือรายการไอ้จู๊ดที่ผมจัดทาง FM 105 MHz มันก็เป็นงานที่เปิดโอกาสให้ผมได้เล่าเรื่องตลอดทั้งสี่ช่วง โดยในแต่ละช่วงนั้นก็จะไม่ซ้ำกัน 

“สิ่งสำคัญในการทำรายการวิทยุก็คือเราต้องเข้าใจธรรมชาติของคนฟังด้วยว่าเขาไม่ได้มานั่งตั้งใจฟังเราขนาดนั้น บางทีเขาอาจเปิดวิทยุแล้วทำงานบ้าน แต่บางคนที่จะตั้งใจฟังก็มีเหมือนกัน ถ้าคนที่เคยฟังก็จะทราบว่าผมจะมีเรื่องราว แต่ก็ไม่เอาเฮฮาอย่างเดียว ผมก็อยากให้คนสนใจประเด็นหรือเรื่องแรงบันดาลใจที่ผมนำเสนอด้วย อย่างคนจะพูดกันมากเรื่องของการรู้ให้เท่าทันสื่อ คนอาจมองว่าผมไม่มีแก่นสารในเรื่องที่ผมเล่าไปเรื่อยเปื่อย แต่คุณลองฟังดูดีๆ มันมีสาระเสมอ 

“หลังจากที่ผมจัดคอนเสิร์ตที่สกาล่า ผมมีความคิดที่จะนำวิดีโอที่ผ่านการตัดต่อเรียบร้อยแล้วไปเสนอองค์กรๆ หนึ่งเพื่อของบประมาณในการออกทัวร์ ผมอยากจะสร้างแรงบันดาลใจที่มาจากงานวรรณกรรมของ กนกพงศ์ สงสมพันธ์ุ นักเขียนรางวัลซีไรต์ งานของผมก็คือการตระเวนไปยังโรงเรียนต่างๆ เพื่อสร้างนักเขียนรุ่นใหม่ หรือเป็นแรงบันดาลใจบางอย่างให้แก่พวกเขา เพื่อให้เขารู้ว่าวงการวรรณกรรมมันมีความสำคัญอย่างไร 

“ผมคิดว่าทัวร์แบบนี้น่าจะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากกว่า ถ้าโครงการนี้เกิดขึ้นได้จริงและเสร็จสิ้นแล้ว ผมก็มีโปรเจ็คท์ที่จะทำเรื่องของ สืบ นาคะเสถียร ซึ่งก็ต้องรอดูต่อไป” 

น้ำชาที่ไหลลงมานั้นเหมือนกับเขากำลังถ่ายทอดความคิดผ่านการเล่าเรื่อง