Our Ocean, Our Breath มหาสมุทรลมหายใจของโลก : Scoop

Our Ocean, Our Breath มหาสมุทรลมหายใจของโลก : Scoop

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้นและเกิดปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำ นอกจากนี้ยังเกิดกรดที่ส่งผลโดยตรงกับความสมดุลของระบบนิเวศทางทะเลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

MiX MAGAZINE ฉบับที่ 202 จึงมาในธีม “Our Ocean, Our Breath มหาสมุทรลมหายใจของโลก” โดยจะเล่าเรื่องความสำคัญของมหาสมุทรซึ่งกำลังเผชิญกับวิกฤต ไปจนถึงเรื่องราวการอนุรักษ์ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการช่วยเหลือและฟื้นฟูให้มหาสมุทรยังคงอยู่กับมนุษย์ต่อไป


มหัศจรรย์แห่งผืนน้ำสีคราม

‘มหาสมุทร’ ผืนน้ำขนาดมหึมาที่ปกคลุมโลกเรากว่าร้อยละ 71 ในขณะที่ผืนแผ่นดินมีเพียงร้อยละ 29 เท่านั้น ช่างน่าสนใจเมื่อพบว่า 3 ใน 4 ของโลกคือแหล่งน้ำเสียเป็นส่วนมาก ทั้งยังมีระบบนิเวศทางธรรมชาติขนาดใหญ่ที่สามารถหล่อเลี้ยงสิ่งมีชีวิตอย่างเราได้พร้อมกับทำหน้าที่เปรียบเสมือนลมหายใจของโลกอีกด้วย

กำเนิดมหาสมุทร 

มีทฤษฎีความเป็นไปได้หลายอย่างเกี่ยวกับการกำเนิดของมหาสมุทรและทะเล บางคนเชื่อว่าเป็นเพราะการเคลื่อนที่ของแผ่นธรณีซึ่งแยกตัวออกจากกันทำให้เกิดรอยแยกขนาดใหญ่ แต่ในอีกทฤษฎีบอกว่าแท้จริงแล้วอาจมาจากอุกกาบาตที่พุ่งเข้าชน บ้างก็บอกว่าจริง ๆ แล้วผืนน้ำก่อตัวมาพร้อมกับการกำเนิดของโลกเลยต่างหาก ดังนั้นคำตอบของคำถามข้างต้นก็คือยังไม่สามารถสรุปได้ (ในปัจจุบัน) 

ความเค็มของน้ำทะเล 

คาร์บอนไดออกไซด์ที่ลอยอยู่ในอากาศจะช่วยละลายน้ำฝนจนมีสภาพเป็นกรด เมื่อฝนตกจึงส่งผลให้หินผุพังและปล่อยเกลือแร่ออกมา ก่อนน้ำฝนจะพัดพาแร่ธาตุเหล่านี้ลงสู่ผืนน้ำจนกระทั่งมันไหลลงสู่มหาสมุทรและทะเล กลายเป็นที่มาว่าทำไมน้ำทะเลถึงได้มีความเค็มนั่นเอง 

แหล่งออกซิเจนของโลก 

50-80% ของออกซิเจนบนโลกใบนี้ ถูกผลิตมาจากสาหร่ายแพลงก์ตอนที่อาศัยอยู่ในทะเลและมหาสมุทร จึงไม่แปลกใจเลยหากจะบอกว่ามันทำหน้าที่เปรียบเสมือนลมหายใจของโลก ทว่าในปัจจุบันเรากลับเห็นข่าวที่เกี่ยวข้องกับวิกฤตทางทะเลและสิ่งมีชีวิตใต้มหาสมุทรมากขึ้นเรื่อย ๆ เสียอย่างนั้น

สิ่งมีชีวิตใต้ทะเลลึก

ว่ากันว่ามหาสมุทรคือแหล่งที่อยู่ของสิ่งมีชีวิตกว่า 230,000 สปีชีส์เท่าที่มีการสำรวจ แถมลึกลงไปข้างใต้ที่ยังไม่เคยสำรวจก็คาดว่าอาจมีมากถึง 2 ล้านชนิดเลยทีเดียว ซึ่งปัจจุบันยังคงมีนักสำรวจทางทะเลรวมถึงนักวิทยาศาสตร์ที่พยายามพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อไขความลับของห้วงน้ำสีครามนี้อยู่เรื่อย ๆ 


มหาสมุทร น่านน้ำแห่งห่วงโซ่ชีวิต

มหาสมุทรทำให้เกิดระบบนิเวศขนาดใหญ่ใต้ท้องทะเล ช่วยสร้างและหล่อเลี้ยงสิ่งมีชีวิตมากมายกว่า 230, 000 สปีชีส์เท่าที่ได้มีการสำรวจ ส่วนที่ไม่เคยสำรวจก็คาดว่าอาจมีมากถึง 2 ล้านชนิดกันเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าอย่างจุลินทรีย์ ไปจนถึงสัตว์ที่มีขนาดใหญ่มหึมาอย่างวาฬ 

มีข้อมูลที่น่าสนใจระบุไว้ว่าเมื่อ 500 ล้านปีก่อน สิ่งมีชีวิตบนบกชนิดแรกของโลกได้วิวัฒนาการขึ้นมาจากทะเล เพราะการขุดค้นพบฟอสซิลของสัตว์บกยุคดึกดำบรรพ์มักมีน้อยเนื่องจากซากศพบนบกจะเน่าเปื่อยได้ง่ายกว่าในทะเลนั่นเอง โดยสัตว์จำพวกขาปล้องและเปลือกแข็งคือกลุ่มแรกที่วิวัฒนาการจากน้ำมาสู่ดิน ตัวอย่างเช่น ปู แมงมุม และแมงป่อง เป็นต้น เรียกได้ว่าจุดกำเนิดของห่วงโซ่ชีวิตบนโลกอยู่ ณ ผืนทะเลแห่งนี้นี่เอง

มนุษย์เราก็ได้รับคุณประโยชน์จากการมีอยู่ของมหาสมุทรและทะเลโดยตรงเช่นกัน เพราะมันคือแหล่งผลิตออกซิเจนให้โลกเรากว่าร้อยละ 50 – 80 ไม่เพียงเท่านั้นยังมีผลสำคัญต่อการควบคุมอุณหภูมิของโลกอีกด้วย เนื่องจากมหาสมุทรสามารถดูดซับความร้อนส่วนเกินบนชั้นบรรยากาศได้มากถึงร้อยละ 90 แถมยังดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์และกักเก็บเอาไว้ได้ถึงร้อยละ 30 ซึ่งนับว่ามากที่สุดในโลก 

แต่ปัจจุบันกลับมีข่าวของวิกฤตการณ์ทางระบบนิเวศทะเลให้เห็นกันอยู่เรื่อย ๆ จนเป็นที่น่ากังวลใจว่าสักวันหนึ่งแรงกระทบเหล่านี้อาจส่งผลร้ายมาถึงสิ่งมีชีวิตบนบกในสักวัน 


ภาพรวมมหาสมุทรโลก 

มหาสมุทรคือหัวใจสำคัญของระบบนิเวศโลก เพราะน่านน้ำแห่งนี้ครอบคลุมพื้นที่มากกว่า 71% ของพื้นผิวโลกและยังเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญทั้งในด้านอาหาร พลังงาน และความหลากหลายทางชีวภาพ 

อย่างไรก็ตามมหาสมุทรในปัจจุบันกำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงและความท้าทายที่รุนแรงซึ่งล้วนมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและมนุษยชาติด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตที่เชื่อมโยงกันจากปัญหาสภาพภูมิอากาศ ภาวะมลพิษ และกิจกรรมของมนุษย์ 

ระบบนิเวศของมหาสมุทรนั้นเกี่ยวโยงกันทั่วโลก โดยมีมหาสมุทรแอนตาร์กติกาหรือมหาสมุทรใต้ (Southern Ocean) เป็นศูนย์กลาง มันเชื่อมเข้ากับมหาสมุทรแปซิฟิก มหาสมุทรแอตแลนติก และมหาสมุทรอินเดีย ดังนั้นเมื่อเกิดวิกฤตจากน่านน้ำศูนย์กลางแห่งนี้ก็จะส่งผลกระทบไปยังน่านน้ำอื่น ๆ ตามมาด้วย

โดยเฉพาะในปัจจุบันที่ปัญหาภาวะโลกร้อนกำลังส่งสัญญาณเตือนเราผ่านมหาสมุทรซึ่งจะตรวจพบได้ง่ายกว่าบนบก เนื่องจากอุณหภูมิน้ำเริ่มร้อนผิดปกติในรอบ 40 ปี และต้องใช้เวลานานหลายทศวรรษกว่าจะเย็นตัวลงได้ แถมระดับน้ำทะเลก็สูงขึ้นอีกอันเนื่องมาจากการละลายของธารน้ำแข็งบนผืนแผ่นโลก 

ถ้าหากอุณหภูมิของมหาสมุทรยังเพิ่มเรื่อย ๆ อยู่อย่างนี้ สัตว์น้ำจะเริ่มพากันย้ายถิ่นฐานเพื่อหลีกหนีคลื่นน้ำอุ่น รวมถึงแนวปะการังและป่าชายเลนจะค่อย ๆ ล้มตายได้ ไม่นับว่าเรายังมีปัญหาเรื่องมลพิษทางทะเลเพราะการปล่อยของเสียจากอุตสาหกรรมและการทิ้งขยะพลาสติกลงทะเลที่ไม่อาจย่อยสลายอีก 

มหาสมุทรในปัจจุบันกำลังอยู่ในภาวะวิกฤตที่ต้องการความร่วมมือจากทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล นักวิจัย ภาคอุตสาหกรรม รวมถึงประชาชนทั่วไปอย่างเรา ๆ เพราะการรักษาสมดุลของระบบนิเวศทางทะเลไม่ใช่เพียงการอนุรักษ์สิ่งมีชีวิตใต้น้ำเท่านั้น หากแต่มันคือการปกป้องโลกทั้งใบที่มนุษย์เราล้วนอาศัยอยู่ร่วมกันด้วย 


The Coral Crisis ปะการังวิกฤต โลกวิกฤต

ปะการัง (Coral Reef) ถือเป็นสิ่งมีชีวิตที่สำคัญต่อระบบนิเวศใต้ท้องทะเลอย่างมาก มากถึงขนาดว่าหากแนวปะการังล้มตายไปย่อมส่งผลหลายด้านตามมาราวกับโดมิโนล้ม เพราะกว่าที่ปะการังจะสามารถฟื้นฟูเติบโตได้นั้นใช้เวลานานถึง 25 – 30 ปีหรืออย่างไวก็ 10 – 15 ปี ขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ทั้งอุณหภูมิของน้ำ ระดับความเค็มของทะเล รวมถึงความสะอาดและแสงสว่างที่เพียงพอด้วย

The Coral Crisis วิกฤตปะการัง 

ป้อมปราการแห่งท้องทะเลเสียหาย 

ปะการังเปรียบเสมือนป้อมปราการแห่งท้องทะเล (The Great Barrier of Ocean) มันช่วยลดความรุนแรงของกระแสคลื่นที่กระทบเข้าหาชายฝั่งได้มากถึง 97% ดังนั้นหากไม่มีเจ้าปราการสำคัญนี้ ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งจะต้องหนักหน่วงขึ้นแน่นอน 

โดยสิ่งที่จะตามมาจากปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งก็มีตั้งแต่สิ่งแวดล้อมอย่างหญ้าทะเลที่คอยกรองสิ่งสกปรกในน้ำเสียหาย ป่าชายเลนได้รับผลกระทบจนระบบนิเวศเปลี่ยนแปลงไป รวมถึงชุมชนริมฝั่งทะเลจะต้องพากันอพยพด้วย เนื่องจากคลื่นน้ำที่รุนแรงทะลักทะลวงเข้ามาถึงตัวบ้านเรือนของมนุษย์ได้ง่ายกว่าเดิมนั่นเอง 

เสี่ยงต่อภัยความมั่นคงทางอาหาร

ปะการังคือแหล่งอาหารและแหล่งอาศัยของสัตว์ทะเลทั้งหลาย มันทำหน้าที่ราวกับเป็นศูนย์กลางวงจรชีวิตตั้งแต่เพาะพันธุ์วางไข่ไปจนถึงพื้นที่อนุบาลสัตว์น้ำ เมื่อใดก็ตามที่ปะการังล้มหายตายจาก สัตว์ทะเลหลายชนิดก็ย่อมเสี่ยงที่จะสูญพันธุ์ ส่งผลให้ความหลากหลายของระบบนิเวศทางทะเลค่อย ๆ ลดลง 

ในอีกทางหนึ่งเมื่อสัตว์น้ำในทะเลสูญพันธุ์อาจทำให้ปัญหาความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) สั่นคลอนกว่าเดิมได้ เนื่องจากมนุษย์เรานั้นนิยมทานอาหารทะเลมาก รวมถึงประชากรกว่าหลายร้อยล้านคนทั่วโลกยังต้องพึ่งพาแหล่งรายได้จากการทำประมงอยู่ ส่งผลให้คนจำนวนมหาศาลอาจตกงานและอาหารทะเลอาจมีจำนวนไม่เพียงพอต่อความต้องการของมนุษย์ 

สีสันแห่งท้องทะเลซีดจาง 

ในตัวปะการังจะมีสาหร่ายซูแซนเทลลี (Zooxanthellae) อาศัยอยู่ ซึ่งมันเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ปะการังมีสีสันสวยงามน่าดึงดูดจนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวใต้ท้องทะเล แต่เมื่อเกิดวิกฤตปะการังฟอกขาวขึ้น แน่นอนว่ามันต้องส่งผลต่อการท่องเที่ยวอย่างมาก เนื่องจากมูลค่าแนวปะการังด้านการท่องเที่ยวนั้นสูงถึง 84,357 ล้านบาทต่อปี (1) เลยทีเดียว 

สาเหตุของปะการังฟอกขาวเกิดได้จากหลายปัจจัย แต่ปัจจัยที่ใหญ่สุดคือภาวะโลกร้อนซึ่งทำให้อุณหภูมิน้ำทะเลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะปกติแล้วปะการังจะอยู่ได้ด้วยอุณหภูมิเฉลี่ย 20 - 29 องศาเซลเซียสเท่านั้น แต่ปัจจุบันน้ำทะเลร้อนขึ้นแตะ 30 องศาเซลเซียสขึ้นไปแล้วโดยเฉพาะในช่วงซัมเมอร์ที่คนมักไปเที่ยวทะเลกัน ลองนึกสภาพว่าปะการังสวยงามกลับเปลี่ยนเป็นสีขาวซีดแบบนี้ มันจะมีปัญหาการท่องเที่ยวตามมาอย่างไรบ้าง? 

การแพทย์ขาดแหล่งยาที่สำคัญ 

รู้หรือไม่ว่าปะการังหลายชนิดมีสารสกัดสำหรับทำยาต้านมะเร็งได้ นี่จึงนับว่ามันยังมีประโยชน์ทางการแพทย์อีกด้วย ดังนั้นถ้าหากปะการังหายไปหรือมีจำนวนลดลงนั่นก็เท่ากับว่าสารสกัดสำคัญในการทำยาเพื่อต่อต้านโรคร้ายย่อมมีจำกัดมากขึ้น 

นอกจากนี้ปะการังหลายชนิดยังมีสารสกัดที่สามารถนำไปทำเป็นยาได้มากมาย ไม่ใช่แค่กับยาต้านมะเร็งเท่านั้น จึงอาจกล่าวได้ว่าหากแหล่งยาอย่างปะการังหายไป วงการแพทย์และเภสัชจะได้รับผลกระทบไม่ทางใดก็ทางหนึ่งแน่นอน


ทะเลไทย สมบัติของชาติที่กำลังวิกฤต

ทะเลกับชนชาติไทยถือว่ามีความสำคัญกันมาอย่างยาวนาน จากอดีตที่เป็นแหล่งอาหาร การทำประมงพื้นบ้าน ไปจนถึงเป็นประตูการค้าที่เชื่อมโลกภายนอกให้มีการแลกเปลี่ยนสินค้ารวมถึงวัฒนธรรมและประเพณีจากต่างชาติ  

ปัจจุบันเรามีชายทะเลทั้งฝั่งอ่าวไทยและฝั่งอันดามันที่ยาวถึง 3,151.13 กิโลเมตรและมีทรัพยากรทางทะเลจำนวนมาก เพียงแค่อุตสาหกรรมการประมง (โดยกรมประมงเปิดเผยข้อมูลการส่งออกสินค้าประมงในปี 2567) สร้างมูลค่าได้สูงถึง 240,062 ล้านบาทเลยทีเดียว 

ในส่วนของการท่องเที่ยวสร้างรายได้ให้กับประเทศไทย (จากข้อมูลการท่องเที่ยวชายฝั่งทะเล ในปี 2565) มีมูลค่ารวมถึง 1.21 ล้านล้านบาท ซึ่งจุดเด่นสำคัญก็คือทะเลไทยที่มีความสวยงามโดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวอย่างตราด ภูเก็ต กระบี่ และหมู่เกาะมากมายที่มีชื่อเสียงระดับโลก 

แน่นอนว่าสถานการณ์วิกฤตเรื่องสิ่งแวดล้อมมีอยู่ทั่วทุกมุมโลก ประเทศไทยเองก็ได้รับผลกระทบนี้ไปด้วย แต่ส่วนหนึ่งต้องบอกว่ามาจากการบริหารจัดการของรัฐบาลที่บังคับใช้กฎหมายไม่เต็มที่และจิตสำนึกที่มีต่อธรรมชาติยังน้อยเกินไป ซึ่งปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากน้ำมือของคนไทยเองตั้งแต่การสร้างชุมชนที่อยู่อาศัยใกล้ทะเลอย่างโรงแรม รีสอร์ต ไปจนถึงการทิ้งขยะลงทะเล 

โดยเฉพาะเรื่องของขยะนับว่ายังน่าเป็นห่วง ในช่วงกลางปี 2565 เว็บไซต์ euronews เคยรายงานว่าไทยติด 1 ใน 5 ของประเทศที่มีขยะพลาสติกในทะเลมากถึง 22.8 ล้านกิโลกรัม นอกจากนี้ยังรวมถึงการปล่อยน้ำเน่าเสียจากชุมชนที่อยู่อาศัยจนเกิดสารปนเปื้อนทำให้เกิดแพลงก์ตอนบลูม สัตว์ทะเลจึงได้รับผลกระทบโดยตรง

นอกจากนี้ยังรวมถึงกิจกรรมการท่องเที่ยวที่มากเกินพอดีอันเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำลายสิ่งแวดล้อมทางทะเล มีหลายกิจกรรมที่ไกด์พานักท่องเที่ยวไปแล้วไม่ดูแลดีเท่าที่ควร อย่างการทิ้งขยะ การตกปลาในเขตหวงห้าม หรือแม้แต่การดำน้ำที่ขาดความรู้ทำให้ปะการังเสียหาย 

ปัญหาน้ำมันรั่วไหลก็ถือเป็นเรื่องใหญ่ แต่กลับเป็นข่าวที่คนให้ความสนใจในประเด็นนี้น้อยมาก ในปี 2565 เกิดเหตุน้ำมันดิบนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยองรั่วไหล  20 – 50 ตัน และล่าสุดปี 2566 เกิดเหตุน้ำมันดิบจากเรือบรรทุกน้ำมันรั่วไหล 45,000 ลิตรบริเวณตอนใต้เกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี สร้างความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมและสัตว์น้ำใต้ทะเลอย่างมหาศาล หลังเวลาผ่านไปไม่นานก็กลายเป็นความเงียบที่ไม่มีใครพูดถึง

ประเทศไทยเผชิญต่อความเลวร้ายของการถูกทำลายทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีการออกกฎหมายรวมถึงปลูกจิตสำนึกของประชาชนแล้วแต่อาจจะยังไม่เพียงพอ หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปทะเลไทยที่เคยเป็นมรดกอันล้ำค่าอาจสูญเสียไปตลอดกาล


การอนุรักษ์และฟื้นฟูทะเลไทย

ในอดีตทรัพยากรทางทะเลของประเทศไทยนั้นมีความเป็นธรรมชาติและอุดมสมบูรณ์ค่อนข้างสูง เห็นได้จากการทำประมงเป็นแหล่งอาหารเลี้ยงคนไทยทั้งประเทศรวมถึงส่งออกไปต่างประเทศเป็นมูลค่ามหาศาล นอกจากนี้เรื่องของการท่องเที่ยวก็ยังเป็นสถานที่ที่ต่างชาติอยากเข้ามาสัมผัส ทว่าปัจจุบันทรัพยากรทางทะเลกลับถูกทำลายลงไปมากพอสมควร แต่โดยหลักการแล้วเรายังคงมีกฎหมายหลายฉบับที่คุ้มครองทะเลอยู่ ยกตัวอย่างเช่น 

พรบ.ส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งพ.ศ. 2558 พรบ.นี้ครอบคลุมพื้นที่ 23 จังหวัดชายฝั่งทะเล โดยเฉพาะจังหวัดพัทลุงซึ่งเป็นที่ตั้งของพื้นที่ป่า 3 ชนิดทั้งป่าชายเลน ป่าชายหาด และป่าพรุ รวมเนื้อที่กว่า 1,821,309 ไร่ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอย่างบูรณาการและยั่งยืน โดยมีการจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายและแผนบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ (คทช.) เพื่อกำหนดนโยบายและแผนแม่บท 

เราจะเห็นได้ว่าความจริงแล้วกฎหมายในการป้องกัน ฟื้นฟู และรักษาสิ่งแวดล้อมนั้นมีอยู่แล้ว เพียงแต่การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลต้องทำควบคู่ไปกับการออกกฎหมายอย่างจริงจัง โดยเฉพาะนักอนุรักษ์ที่พวกเขาต่างก็ทุ่มเทชีวิตและเวลาให้กับทะเล เราจึงขอคัดเลือกโครงการอนุรักษ์ทะเลไทยที่น่าสนใจมา ดังนี้

Rainbow Warrior ปกป้องทะเลไทย นำโดยกรีนพีซ ประเทศไทย จัดงาน Rainbow Warrior Ship Tour 2024 : Ocean Justice โดย Ocean Justice เป็นแคมเปญที่เรียกร้องให้เกิดการจัดการทรัพยากรทางทะเลควบคู่กันไปการคำนึงถึงมิติด้านสังคม วัฒนธรรม และการมีส่วนร่วมของชุมชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชายฝั่ง โดยกรีนพีซได้สนับสนุนชุมชนพื้นที่ชายฝั่งจะนะและพื้นที่เครือข่ายประมงพื้นบ้านในหลายพื้นที่ แม้จะทำอะไรไม่มากแต่ก็ช่วยกระตุ้นให้หลายฝ่ายสนใจเรื่องราวของทะเลได้มากขึ้น

โครงการ Fisherman’ s Village Resort สนับสนุนโดยกรมประมงให้มีศูนย์การเรียนรู้ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบ้านปลา-ธนาคารปู โดยเป็นโครงการที่ทำกิจกรรมส่งเสริมการอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ร่วมกับชุมชนให้มีความอุดมสมบูรณ์ทางทรัพยากรธรรมชาติชายฝั่ง ปัจจุบันมีการพัฒนาพื้นที่ให้เป็นศูนย์การเรียนรู้ของชุมชนและได้ขยายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเรียนรู้เชิงอนุรักษ์ในหลายจังหวัด

โครงการบริหารจัดการขยะทะเล นำโดยปตท.สผ. พนักงานจิตอาสาและประชาชนทั่วไป โดยมีเป้าหมายดำเนินโครงการในพื้นที่ 9 จังหวัดรอบอ่าวไทย ได้แก่ สงขลา นครศรีธรรมราช ปัตตานี สุราษฎร์ธานี ชุมพร สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สมุทรปราการ ระยอง รวมถึงประเทศมาเลเซียในปัจจุบัน ซึ่งโครงการนี้สามารถลดปริมาณขยะในทะเลและริมชายฝั่งได้กว่า 293 ตัน 

นอกจากนี้นักอนุรักษ์หลายกลุ่มยังช่วยเหลือทะเลโดยจัดทำโครงการเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่การปลูกปะการังเทียมและฟื้นฟูปะการังธรรมชาติ การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้งานอย่างโดรนและ AI ในการสำรวจและเฝ้าระวังสภาพแนวปะการังและแหล่งหญ้าทะเล หรือแม้แต่การใช้ AI เพื่อวิเคราะห์ภาพถ่ายจากดาวเทียมและติดตามการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ชายฝั่ง การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยรีไซเคิลขยะพลาสติกจากทะเล รวมถึงการรณรงค์ลดการใช้พลาสติกด้วย 

แม้จะมีนักอนุรักษ์ทางทะเลมากเท่าไหร่ก็ไม่เพียงพอ ถ้ายังปล่อยให้มีการทำลายทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลอย่างต่อเนื่อง การดูแลทะเลของประเทศไทยจึงไม่ใช่หน้าที่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้นแต่มันควรเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน


นวัตกรรมช่วยมหาสมุทร

แม้ว่าสภาพแวดล้อมของโลกจะเปลี่ยนไปจนทำให้มหาสมุทรเปลี่ยนแปลงจนสร้างผลกระทบต่อพืชและสัตว์อย่างรุนแรง แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ของโลกก็ไม่ได้ไม่ใส่ใจถึงปัญหาที่เกิดขึ้นมากนัก ยังดีที่มีนักอนุรักษ์และนักวิจัยคอยคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อช่วยบรรเทาและฟื้นฟูมหาสมุทร เราจึงขอรวบรวมเรื่องราวที่เกิดขึ้น ดังนี้

1) The Ocean Cleanup กำจัดขยะทะเล 

The Ocean Cleanup เป็นโครงการที่ก่อตั้งโดยโบยาน แสลต (Boyan Slat) ในระหว่างปีค.ศ. 2014  - 2018 มีการทดสอบอุปกรณ์ที่สามารถใช้งานได้จริง แนวคิดของเขาคือการใช้ทุ่นขนาดยาวลอยเป็นรูปตัว U คล้ายแขน 2 ข้างของมนุษย์กำลังโอบและเมื่อขยะลอยเข้ามามันจะดักเก็บเอาไว้ The Ocean Cleanup มุ่งมั่นที่จะลดปริมาณขยะพลาสติกที่ลอยอยู่ในมหาสมุทรลง 90% ภายในปีค.ศ. 2040 แม้ว่าจะทำอยู่ในพื้นที่จำกัดก็ตาม

2) Coral Vita ปลูกปะการังบนบก 

Coral Vita เป็นบริษัทที่มุ่งมั่นในการปลูกปะการังด้วยนวัตกรรมโดยมีอาเหม็ด ฮัมดี (Ahmed Hamdy) ผู้จัดการของบริษัทคอยดูแล พวกเขานำปะการังไปปลูกบนบกหรือห้องปฏิบัติการ ก่อนจะนำมันลงไปปลูกในแนวปะการังที่เสื่อมโทรมของทะเลจริงอีกครั้ง บริษัทเรียกกระบวนการนี้ว่า Assisted Evolution หรือการวิวัฒนาการแบบช่วยเหลือ ทำให้ปะการังเติบโตเร็วขึ้นถึง 50 เท่า 

3) Reef Star โครงเหล็กช่วยชีวิตแนวปะการัง 

โครงการ Hope Reef โดย SHEBA ร่วมกับชุมชนเกาะบอนโตซัว ประเทศอินโดนีเซีย ได้จัดทำโครงการริเริ่มฟื้นฟูแนวปะการังที่ใหญ่ที่สุดในโลกบริเวณนอกชายฝั่งซูลาเวซีด้วยนวัตกรรม Reef Star โครงสร้างเหล็กรูปดาว แนวปะการังนี้จงใจทำให้เป็นอักษรคำว่า H-O-P-E มีขนาด 45x15 เมตรซึ่งสามารถมองเห็นได้จาก Google Earth ปัจจุบันแนวปะการังรอบเกาะบอนโตซัวเพิ่มจาก 5% เป็น 55% ความอุดมสมบูรณ์ของสิ่งแวดล้อมใต้ทะเลได้กลายเป็นจริง

4) Argo ทุ่นลอยน้ำสำรวจทะเลลึก 

Argo เป็นโครงการวิจัยมหาสมุทรของนานาชาติ ดำเนินงานมาตั้งแต่ปีค.ศ. 2000 โดยใช้ทุ่นวัดโปรไฟล์ (Profiling Floats) ประกอบด้วยทุ่นลอยน้ำเกือบ 4,000 ตัว ส่วนใหญ่จะลอยอยู่ในระดับความลึก 1,000 เมตรซึ่งถูกติดตั้งทั่วโลก เพื่อสนับสนุนการวิจัยด้านสภาพภูมิอากาศและสมุทรศาสตร์ ทุ่นจะวัดตั้งแต่ค่าการนำไฟฟ้า อุณหภูมิ และความดัน นักวิทยาศาสตร์จะคำนวณความเค็มและความหนาแน่นของน้ำทะเลอันเป็นข้อมูลสำคัญในการพยากรณ์สภาพภูมิอากาศด้วย

ในยุคที่สภาพแวดล้อมของโลกกำลังถูกทำลายมากที่สุดจากกิจกรรมของมนุษย์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจึงเป็นส่วนสำคัญในการช่วยปกป้องและฟื้นฟูมหาสมุทร ความพยายามจากนักวิจัยในห้องทดลองแม้จะเป็นคนกลุ่มเล็ก ๆ แต่พวกเขาก็เป็นพลังสำคัญและยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับอนุรักษ์ทะเลในประเทศไทยและทั่วโลก


อนาคตทะเลไทยกับความหวังที่ (ไม่) มีทางออก

ถ้าพูดถึงปัญหาของทะเลไทย คงเรียกได้ว่าอยู่ในอาการสาหัสแม้จะไม่ทั้งหมดก็ตาม ตั้งแต่เรื่องของการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ป่าชายเลนถูกทำลาย ปะการังฟอกขาว สัตว์น้ำเหลือน้อยลงเรื่อย ๆ หลายอย่างล้วนเกิดจากน้ำมือมนุษย์ที่เป็นต้นเหตุสร้างมลพิษ ขยะพลาสติก รวมถึงการประมงเกินขนาด ยังไม่นับรวมถึงเรื่องดราม่าภายในองค์กรที่รับผิดชอบโดยตรงกับการแก้ไขปัญหาเหล่านี้อีก

ในส่วนของการประชุมองค์กรระดับโลก ล้วนมองเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นมาโดยตลอดเพียงแต่มันไม่สำคัญมากพอที่จะเปลี่ยนแปลงให้ทุกคนหันมาใส่ใจ ตามหลักการแล้วทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันอย่างจริงจังในการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งโดยนำกฎหมายมาบังคับใช้อย่างเข้มงวด เช่นกฎหมายควบคุมมลพิษทางทะเล การประมงผิดกฎหมายทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ เป็นต้น

นโยบายเรื่องสิ่งแวดล้อมส่วนใหญ่มาจากผู้บริหารของแต่ประเทศซึ่งทำจากบนลงล่าง แต่สิ่งที่เราทุกคนสามารถทำได้ทันทีคือเรื่องของการลดใช้ขยะรวมถึงการกำจัดขยะอย่างถูกวิธี การเข้าร่วมกิจกรรมอาสาสมัครอนุรักษ์ทะเลอย่างการปลูกป่าชายเลนหรือช่วยบริจาคให้องค์กรที่ทำงานด้านนี้ได้ขับเคลื่อนต่อไป 

ประเด็นที่คนให้ความสนใจน้อยมากคือเรื่องของการวิจัยและพัฒนา อาจเพราะคนที่ทำงานอยู่ในส่วนนี้สื่อไม่ได้ให้ความสนใจทั้งที่พวกเขามีความสำคัญในการช่วยโลกให้บรรเทาสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย เช่น การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ มาใช้ฟื้นฟูปะการัง การกำจัดขยะทะเล รวมถึงการประเมินสภาพอากาศและทรัพยากรได้อย่างแม่นยำรวดเร็ว

คำถามที่หลายคนสงสัยคือตอนนี้มีคนจำนวนน้อยเท่านั้นที่พยายามรักษาท้องทะเลให้คงสภาพเดิมไว้นานที่สุด โดยประเทศที่ทำอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ซึ่งเป็นต้นเหตุของมลพิษจนเกิดวิกฤตโลกร้อน แทบไม่ได้ให้ความสำคัญกับประเด็นนี้มากนัก แล้วถ้าระบบนิเวศทางทะเลถูกทำลายจะเกิดอะไรขึ้น? นักวิทยาศาสตร์บอกว่าจะเกิดวิกฤตระบบนิเวศล่มสลาย เมื่ออุณหภูมิน้ำทะเลยังคงสูงขึ้น กรดในมหาสมุทรจะรุนแรงทำให้เกิดปะการังฟอกขาว จนนำไปสู่การล่มสลายของห่วงโซ่อาหารทะเลในที่สุด

หากเป็นแบบนี้นักวิทยาศาสตร์ได้คาดการณ์ไว้ว่าอาจนำไปสู่ “ทฤษฎีจุดพลิกผัน (Tipping Point)" เนื่องจากเมื่อธรรมชาติถูกทำลายมากจนไม่สามารถฟื้นฟูให้กลับคืนสู่สภาพเดิมได้แล้ว หรือทำได้แต่ยากจนแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยหากมนุษย์ยังไม่หยุดยั้งการทำกิจกรรมที่ส่งผลต่อมหาสมุทร

กลับมาที่การช่วยเหลือและฟื้นฟูทะเลของประเทศไทย มันมีสิ่งที่เราสามารถควบคุมได้กับควบคุมไม่ได้ สิ่งที่ควบคุมไม่ได้คือนอกเหนือจากประเทศของเราเป็นคนกำหนด เช่น การปล่อยมลพิษจากประเทศอื่นหรือเกิดวิกฤตโลกร้อน แต่ในสิ่งที่เราควบคุมได้ก็มีหลายอย่าง เช่น กฎหมายต่าง ๆ ที่บังคับใช้ให้คนในประเทศไม่ละเมิดการทำลายทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมทางทะเล ที่สำคัญตัวเราเองสามารถเป็นนักอนุรักษ์ที่ดีได้ อย่างน้อยก็ทำให้ยืดอายุทรัพยากรอันเป็นมรดกทางธรรมชาติให้กับคนรุ่นหลังได้ชมต่อไป


(1) ที่มาข้อมูลจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง อัพเดตเมื่อ 10 พฤษภาคม 2024

Our Ocean, Our Breath มหาสมุทรลมหายใจของโลก : Scoop