CURS : One ‘Band’ Show หนึ่งศิลปิน หนึ่งวง และหนึ่งตัวตนในนามของ ‘เคอร์’

CURS : One ‘Band’ Show หนึ่งศิลปิน หนึ่งวง และหนึ่งตัวตนในนามของ ‘เคอร์’

“เศร้าแต่เท่” นี่คือคำจำกัดความสั้น ๆ ที่ทาง Wayfer Records ในเครือ Warner Music Thailand นิยามไว้ให้กับ “CURS” หรือ “อาฟเตอร์ ชาติศิริ ศุภศิณเจริญ” ศิลปินหนุ่มเลือดใหม่จากรั้วคณะดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ผู้มีความฝันและเปี่ยมด้วยแพสชัน พร้อมสร้างสรรค์หลากผลงานจากห้วงความรู้สึกนึกคิด เปลี่ยนมันให้กลายเป็นรูปธรรมผ่านเสียงดนตรี ที่ต่อให้เปิดเพลงของเขาฟังวนไปมากแค่ไหน คุณก็ยังฟังได้ไม่มีเบื่อ

Intro : CURS

CURS : เป็นวงที่มีคนเดียว คือตอนเราทำตอนจะปล่อยเพลง เราอยากพรีเซนต์มันในรูปแบบวงมากกว่าศิลปินเดี่ยว เราเลยตั้งเป็นชื่อ CURS ขึ้นมา

CURS มาจากคำว่า Curly ที่แปลว่าผมหยิก เพราะว่าตอนตั้งชื่อก็คิดหาอะไรที่มันรีเลทกับเราได้ ผมเราหยิกก็เลยเอาคำว่า Curly มาใช้ แต่เขียนแล้วไม่ชอบ เราเลยตัด ly ออก แล้วเติม s เข้าไป กลายเป็นCURS

ผลงานของ CURS ส่วนใหญ่น่าจะพูดเรื่องความผิดหวังนะ เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่เราไม่ค่อยได้พูดคุยกับใครในชีวิตจริงเท่าไหร่นัก แบบไม่ค่อยได้พูดออกมาตรง ๆ เราเลยหยิบมาเล่าผ่านเพลงมากกว่า

CURS พยายามพูดเรื่องเศร้า หรือเรื่องที่อาจจะไม่เศร้าก็ได้ พยายามพูดในภาษาที่เรารู้สึกว่าไม่ได้เป็นภาษาพูดคุยอย่างนี้จนเกินไป แต่ก็ไม่ได้เจ้าบทเจ้ากลอนจนเกินไป มันเป็นคำพูดที่ร้องแล้วเราไม่เขินมั้ง

ส่วนดนตรีเราคิดว่าไม่ได้จำกัดตายตัวขนาดนั้นนะ ว่าเราจะทำแนวไหนไปตลอด ตอนนี้คิดว่าส่วนใหญ่น่าจะเป็นพวก Alternative กับมีเสียงแตกบ้าง เสียง Overdrive, Reverb อะไรแบบนี้เป็นหลักครับ แต่ว่าในอีก 5 ปีก็ไม่รู้เหมือนกัน

Track 1 : One ‘Band’ Show

CURS : ตอนที่จะปล่อยเพลงแรก ถ้ามันต้องปล่อยเป็นชื่อของอาฟเตอร์เลยก็คงรู้สึกเหงานิดนึง เหมือนสปอตไลต์บนเวทีกำลังส่องมาที่เรา เราไม่ได้ต้องการแบบนั้นการพรีเซนต์ CURS ในรูปแบบวงเป็นสิ่งที่เราชอบมากกว่าศิลปินเดี่ยว รู้สึกว่ามันดูเป็นทีมมากกว่าศิลปินเดี่ยว

ส่วนเรื่องการทำงานรู้สึกว่าการทำคนเดียวในตอนนี้มันสบายใจมากกว่า เพราะเราเคยทำงานเป็นวงมาก่อน การมีเพื่อนช่วยออกความเห็นมันเป็นเรื่องที่ดี แต่พอเป็นการทำงานกับคนเยอะ ๆ มีคนช่วยตัดสินใจ สำหรับเรารู้สึกว่ามันค่อนข้างยากมาก เพราะต้องอาศัยความเข้าใจกันสูงมากประมาณนึงเลย

พอมาทำงานคนเดียว เรื่องพวกนั้นมันหายไปเยอะมาก เราโอเคมากกว่ากับการที่จะนั่งอยู่หน้าคอมแล้วทำไปเรื่อย ๆ นั่งฟังเพลงตัวเองซ้ำ ๆ แก้ของตัวเองไปเรื่อย ๆ อยู่คนเดียวอย่างนั้น แต่การทำ CURS เราก็ไม่ได้อยู่คนเดียวแบบ 100% ไปจนจบงานนะ มีการส่งเพลงไปให้เพื่อนที่เป็นแบ็คอัพ ให้คนนั้นคนนี้ช่วยฟัง ช่วยอัดกลอง อัดกีตาร์ อัดเบส มันยังมีการแชร์ความคิดเห็นกับคนอื่นอยู่เหมือนกัน

การทำงานรูปแบบนี้ เราเป็นศิลปินคนเดียว เพื่อน ๆ เขามาช่วยมาแชร์ความคิดเห็นเล็ก ๆ น้อย ๆ เขาไม่ใช่ตัวตั้ง เราเป็นคนตัดสินใจเอง อาจจะเผด็จการหน่อย ๆ แต่เราโอเคกับการทำงานแบบนี้ สามารถเลือกได้ว่าชอบหรือไม่ชอบ โดยที่ตัดสินใจได้ ณ ตอนนั้นเลย ไม่ต้องรอโหวตจากใคร

Track 2 : Yesterday

CURS : ถ้าย้อนกลับไปเราก็ไม่ได้เป็นคนที่คลุกคลีกับดนตรีขนาดนั้น รู้สึกว่าน่าจะเริ่มเล่นเบสไฟฟ้ามาตั้งแต่ ม.2 ตอนนั้นเรื่องไหนดูน่าสนุกก็จะไปทำ ไปวาดรูป วิ่งเล่นกับเพื่อน แล้วกลายเป็นว่าการเล่นดนตรีเป็นสิ่งที่ทำมาเรื่อย ๆ ทำโดยไม่เคยรู้สึกว่ามันไม่สนุก ถึงจะเล่นไม่ดีแต่ก็ยังแฮปปี้

ตอนเป็นเด็กรู้สึกว่าเราเป็นคนที่ไม่เก่งเรื่องการแข่งขันเท่าไหร่ วิ่งแข่ง วาดรูป คัดลายมือ เป็นคนที่ไม่ค่อยได้อันดับดี ๆ แต่การอยู่กับดนตรีทำให้เรามองเห็นข้อดีของพวกศิลปะว่ามันไม่ต้องแข่งกับใคร เราเลยคิดว่ามันเป็นพื้นที่ที่อยู่แล้วสบายใจมากกว่า

เราคงเป็นเด็กที่มองหาเรื่องสนุก ๆ ให้ตัวเองทำ แล้วกลายเป็นว่าดนตรีมันมีข้อจำกัดน้อยที่สุดสำหรับเรา ผมเองก็ไม่ใช่คนที่ตั้งใจเรียนมากมายนัก แต่ในตอนนั้นดนตรีมันไม่จำเป็นต้องทฤษฎีมาก มันเลยทำให้เรารู้สึกแฮปปี้มากกว่าการวาดรูป มากกว่าทำอย่างอื่น

Track 3 : Motivated

CURS : ถามทำไมต้องเล่นเบส อันนี้มันมีพื้นฐานมาจากความสนุกประมาณนึง คือตอนที่เราเริ่มเล่นดนตรี พี่ชายเขาเล่นกีตาร์อยู่ มันก็เลยคิดว่าเล่นเบสดีกว่า จะได้มาเล่นกับพี่แค่นั้นเลย แต่สุดท้ายก็ไม่ค่อยได้เล่นด้วยกัน เพราะผมไปเล่นกับเพื่อนแทน

สำหรับพี่ชาย ผมคิดว่าเขามีส่วนค่อนข้างเยอะที่ทำให้อยากเล่นดนตรี คือตอนเด็ก ๆ เราจะค่อนข้างติดพี่ เห็นพี่ทำอะไร เราอยากทำตามบ้าง แล้วพอเขาเล่นดนตรีเล่นกีตาร์ เราก็อยากเล่นบ้าง แต่พอเริ่มโตเริ่มไปเจอเพื่อนที่โรงเรียนของตัวเอง กลายเป็นว่าเพื่อน ๆ ก็มีส่วนที่ทำให้เราอยากไปต่อกับดนตรีครับ

ส่วนตัวผมคิดว่า การทำอะไรถ้าเบสออนมาจากความชอบมันจะสนุก ต้องชอบถึงจะสนุก แต่ก็ต้องมาโฟกัสอีกว่าสิ่งที่ชอบเนีย เราชอบมันแบบไหนหรือว่าอย่างไร ผมชอบเรียนดนตรีนะ อยากเรียนรู้อะไรหลายอย่าง อยากรู้ว่าคีย์บอร์ดมันเล่นยังไง รู้ทฤษฎีดนตรีอันนั้นอันนี้ เพราะเราชอบเห็นอะไรที่มันดูเป็นรูปธรรมหรือว่าสามารถอธิบายได้ ชอบจับกีต้าร์แล้วพูดได้ว่านี่มันคอร์ด C ชอบความมีเหตุผลอธิบายได้ว่าสิ่งที่เราทำลงไปมันคืออะไร รู้สึกว่ามันดูจับต้องได้ดี

Track 4 : Turning Point

CURS : ผมคิดว่าผมน่าจะเริ่มจริงจังกับดนตรีตอนเข้ามหาวิทยาลัย คือตอน ม.ปลายมันต้องเลือกว่าจะไปเรียนต่อคณะไหนดี คิดไว้สองว่าอยากเรียนนิเทศ ทำพวกโปรดักชัน หรือไม่ก็เข้าเรียนสายดนตรีไปเลย เพราะดนตรีมันเป็นสิ่งที่ทำได้อยู่แล้วนี่หว่า ลองทำดูก่อนดีกว่าไหม หลังจากนั้นก็ซ้อมดนตรีเพื่อเตรียมสอบ พยายามซ้อมให้หนักขึ้น ไปเรียนทฤษฎีดนตรี กลายเป็นว่าค่อย ๆ ลืมเรื่องทำโปรดักชันแล้วมาสายดนตรีจริงจังแทนจากนั้นพอเข้าเรียนที่คณะดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล มันก็ค่อย ๆ เปิดโลกดนตรี  วิธีคิดวิธีมองสังคมหรือวิธีมองโลกมันค่อนข้างเปิดกว้างมากสำหรับผม

การเรียนดนตรีมันเปลี่ยนเราเยอะมากในเรื่องของมุมมองตอนเด็ก ๆ เราอาจจะมองว่าวงนี้เจ๋ง วงนี้ดี วงนี้ไม่ดี แต่พอมาเรียนแล้วเรามองว่าเพลงที่ดีไม่มีจริง และเพลงที่ไม่ดีก็ไม่มีจริง สุดท้ายของพวกนี้มันเป็นเรื่องของความชอบมากกว่า มันทำให้เราเข้าใจมุมมองของคนที่เขียนเพลงนี้มากขึ้น เข้าใจว่าคนที่ทำเพลงแนวแบบนี้เป้าหมายหลักของเขาคืออะไร และมันก็ทำให้เราเข้าใจคนอื่นมากขึ้น เพราะเราเรียนรู้ที่จะเข้าใจคนอื่นผ่านวิธีพรีเซนต์ผลงานของเขา

Track 5 : I Will

CURS : ผมไม่ได้มองว่าเราอยากเป็นศิลปินที่ดังเพื่อให้คนเห็นเยอะ ๆ เราแค่ชอบทำสิ่งที่คิดให้มันเป็นจริง พอเป็นดนตรี สิ่งที่คิดอยู่ในหัวมันคือเมโลดี้ คือเนื้อเพลง เราก็เอามันมาเรียบเรียงผ่านการดีดกีตาร์ ผ่านโปรแกรม ผ่านการอัดเสียง ออกมาเป็นสิ่งที่เหมือนจะคล้าย ๆ ว่าจับต้องได้ เอามาฟังได้เรื่อย ๆ ชอบที่มันเป็นอย่างงั้น

Track 6 : Pre-Production

CURS : จุดเริ่มต้นของ CURS เหมือนตอนนั้นเป็นช่วงที่เราเพิ่งออกมาจากวงเก่า วงที่ทำกับเพื่อน แต่เรารู้สึกว่ายังอยากทำดนตรีต่อ เรามีแพสชั่น และค่อนข้างรู้ตัวว่ายังไม่มีความสามารถมากพอที่จะทำทุกอย่างได้ด้วยตัวคนเดียวเราพยายามดูว่าทำอะไรได้หรือไม่ได้ เพราะว่าก่อนหน้านั้นเป็นมือเบสมาตลอด เรียนเบสเป็นเครื่องหลัก เราพอเล่นกีตาร์ได้แต่ว่าเล่นไม่ได้เก่งหรือเล่นเป็นหลัก เราเลยขอความช่วยเหลือจากเพื่อนหลายคน อย่าง ฮินาโนะ (H I N A N O) แล้วก็ พี่แดน มือกีตาร์ วง YEW

สองเพลงแรกของ CURS มีพี่แดนช่วยโปรดิวซ์ให้ มีฮินาโนะช่วยสอนร้องเพลง ช่วงที่เริ่มทำเราก็พยายามหาความรู้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ศึกษา นั่งดูเขาทำเพลง ดูวิธีคิด เพราะมันจะมีเรื่องของโปรแกรมเข้ามาเกี่ยว ผมก็จดจำให้ได้มากที่สุดว่าเขาทำอะไรบ้าง เพื่อที่เราจะเริ่มออกมาทำเพลงเองได้แบบตัวคนเดียวจริง ๆ

Track 7 : Self Made

CURS : เริ่มที่ “แล้วทำไม (Why)” กับ “อยากให้พัก (Kind)” คือ 2 เพลงนี้จะเป็นเพลงที่เราไม่ได้ทำเองคนเดียวแบบเต็ม ๆ จะมีพี่แดนช่วยโปรดิวซ์ให้ ตอนนั้นเราบอกพี่เขาว่าอยากจะทำเพลง ลองส่งให้เขาฟังว่าเรามีโครงเดโมประมาณนี้ มีกลอง มีกีตาร์ มีลูปอันนึง แล้วก็เมโลดี้ร้องกับเนื้อเพลง เขาก็บอกให้มาลองดู มันเหมือนเรามาเริ่มตั้งแต่แรกใหม่เลย นั่งดูเรฟเฟอเรนซ์ว่าเราอยากจะเป็นศิลปินอยากเป็นวงประมาณไหน อยากทำเพลงแนวอะไร แล้วก็ลองนั่งทำกัน ช่วยกันคิดมาเรื่อย ๆ จนจบมาเป็นเพลง

หลังจากนั้นก็จะมี “ยังไม่ได้ (Cry)” กับ “ในตอนนี้ (Miss)” เป็นเพลงที่เราออกมาทำเองคนเดียวแล้ว เพราะรู้สึกว่าอยากลองทำเอง อยากรู้ว่าถ้าต้องทำคนเดียวจริง ๆ เราจะทำได้ประมาณไหนมันค่อนข้างท้าทายประมาณนึง เพราะเป็นครั้งแรกที่ลองอัดเพลงเองที่บ้านโดยไม่มีคนที่เขาทำโปรแกรมมาช่วย เราลองนั่งอัดเองดูแล้วมันก็พอจะไหวอยู่เหมือนกัน

Track 8 : Label

CURS : เรื่องนี้มันจะเกี่ยวข้องกับเพลงที่ 4 “ในตอนนี้ (Miss)” ตอนนั้นรู้สึกว่าคนค่อนข้างเห็นเราจากเพลงนี้เยอะขึ้น ปล่อยเพลงไปประมาณไม่น่าจะเกิน 2 อาทิตย์ พี่ลูกน้ำ A&R ค่ายเขาทักมาว่าอยากเข้ามาคุยไหม เราก็ไปคุยแล้วลองถามเขาว่าที่เรียกมาคุยเพราะเห็นเพลงนี้หรอ พี่เขาบอกว่าที่จริงเห็น CURS มาสักพักแล้วแต่อยากรู้ทิศทางในเพลงต่อไป ๆ พอเห็นเพลงนี้ปล่อยมา เขาก็เลยรู้สึกว่าอยากเรียกเข้ามาคุยแล้ว

ผลงานเพลงที่ปล่อยภายใต้สังกัด Wayfer Records ตอนนี้มีทั้งหมด 3 ซิงเกิลครับ “คำที่เคยบอก (Try)”, “เก็บไว้ก่อนเธอไป (Remind)” และล่าสุด “เพื่อเข้าใจเธอ (What??)”

ผมรู้สึกว่าในแง่การทำเพลง พอเข้าค่ายแล้วก็ไม่ค่อยเปลี่ยนมากขนาดนั้น เพราะว่าสุดท้ายค่ายไม่ได้บังคับว่าเราต้องไปหาโปรดิวเซอร์ หรืต้องไปให้ใครมากำกับเพลง เขาบอกว่าถ้าอยากทำแบบเดิมก็ทำได้ แต่ว่าจะมีงบเพิ่มเข้ามาสำหรับการบันทึกเสียงคือก่อนหน้านี้ผมอัดแบบ Bathroom Studio เพราะว่าทุนต่ำด้วย ตอนนี้เราก็เลยไปอัดในที่ที่เราอยากไปได้ ไปอัดในที่ที่ดีมีคุณภาพ แต่ว่าในด้านการเรียบเรียงก็ยังเหมือนเดิมเพราะไม่ได้มีโปรดิวเซอร์มาช่วยทำ

นอกจากนี้มันก็จะมีเรื่องของเยียร์แพลน เรื่องของการทำเพลงที่พอทำเสร็จแล้วต้องส่งให้ค่ายฟังเพราะเขาก็จะมีคอมเมนต์ประมาณว่า มันเป็นแบบนี้นะ แต่ถ้าเราไม่อยากแก้ก็ไม่เป็นไร เขาแค่บอกเฉย ๆ ว่ารู้สึกกับมันอย่างไร ถ้าเราโอเคแล้ว เราปล่อยเพลงได้เลย

แล้วมันก็จะมีเรื่องของวินัยการทำงาน ก่อนหน้านี้สมมุติว่าผมต้องปล่อยเพลงวันที่ 10 มกราคม ตอน 19.00 น. ผมเพิ่งจะอัพเพลงลง Youyube ตอน 16.00 น. แต่พอทำงานกับค่าย ถ้าผมปล่อยเพลงวันที่ 10 มกราคม ผมต้องส่งเพลงตั้งแต่วันที 10 ธันวาคม เพื่อให้เขาไปทำงานกันต่อว่าจะเขียนอธิบายเพลงยังไง ทำอาร์ตเวิร์คแบบไหน เอาไปทำอะไรได้บ้าง มันต้องทำงานมีแบบแผนมากขึ้นครับ

Track 9 : Mindset / My Self

CURS : ผมรู้สึกว่าที่จริงเราไม่ต้องเรียนดนตรีก็เป็นศิลปินได้ กับเรียนดนตรีก็เป็นศิลปินได้ หรืออาจจะเป็นไม่ได้เหมือนกัน เพราะว่าศิลปินบางคนที่จริงเขาไม่ได้ทำเพลงเป็นด้วยซ้ำ แต่ว่าเขาสามารถถ่ายทอดมันออกได้ดีมากกว่าคนอื่น ๆ ผมว่าเหมือนการทำเพลงดนตรีหรือศิลปะ มันเป็นเรื่องของคนสองคนระหว่างคนร้องเพลงกับคนฟัง ว่าเขาสื่อถึงกันไหม

ผมคิดว่าถ้าคุณอยากเป็นศิลปิน มันไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องเข้ามาเรียนดนตรีในหลักสูตร 4 ปีเพื่อจะเป็นศิลปิน แต่ว่าการมีความรู้ในด้านดนตรีติดไว้มันดีกว่า ส่วนตัวที่ผมเรียนดนตรีในตอนตั้งต้นคือไม่ได้อยากเรียนเพื่อเป็นศิลปิน เราแค่ชอบแล้วอยากรู้มากกว่า ว่ามันมีอะไรบ้างในนั้นบ้าง ทฤษฎีมันเป็นยังไง เหตุผลว่าทำไมอันนี้ถึงเรียกว่าคอร์ด C อาจจะแค่นั้น

สำหรับคนที่เรียนดนตรี อันนี้เป็นเรื่องที่ทางคณะเขาก็แสดงให้เห็นหลายทางเลือกอยู่เหมือนกัน ว่าการที่เราไม่ได้เป็นศิลปินมันยังมีอีกหลายอาชีพ มีที่ให้เรายืนในอุตสาหกรรมนี้ เบสิกสุดก็อาจจะเป็นแบ็คอัพ, เล่นดนตรีกลางคืน, ซาวด์เอ็นจิเนีย, นักแต่งเพลง  หรือว่าจะเป็นคนเรียบเรียง, คนทำบีท, โปรดิวเซอร์, เทคนิคเชี่ยน ทางเลือกมันมีค่อนข้างเยอะเลยในสายอาชีพนี้ แล้วไม่ใช่แค่ดนตรี แต่ยังมีอาชีพคนดูแลศิลปิน, ผู้จัดการ คนที่เล่นดนตรีมาก็สามารถไปเป็นได้นะ เพราะรู้ว่าระบบหลังบ้าน

โดยส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่าการเป็นศิลปินควรมีวินัยนะ ถ้าเราปล่อยเพลงออกมาแล้วมันไม่ถูกรับรู้ เราควรมีวินัยปล่อยผลงานต่อเนื่อง เพลงที่ไม่ดังไม่ใช่ว่าเพลงมันไม่ดี แค่ตอนนี้แค่ยังไม่ถูกเห็น ยิ่งปัจจุบันโลกเรามันมีคอนเทนต์เยอะมาก ๆ แค่ดนตรีก็มีเยอะมากอยู่แล้ว แต่มันยังมีในด้านอื่นอีกเยอะมากลองแอคทีฟดูว่าควรจะทำอะไรในพาร์ทต่อ ๆ ไป ทำให้มันเป็นระบบ เพราะผมรู้สึกว่าการมีระบบที่ดีจะทำให้เราทำงานง่ายขึ้น แล้วก็เห็นด้วยว่าเราควรจะทำอะไรต่อไปครับ

Track 10 : Plan

แพลนในปีนี้ของ CURS เราอยากปล่อยอีพีทั้งหมด 7 เพลง นับตั้งแต่ “คำที่เคยบอก (Try)” ก็ปล่อยมา 3 เพลงแล้ว เหลืออีก 4 เพลง คิดว่าในปีนี้คงได้ฟังกันหมด หลังจากอีพีนี้เราคิดว่าจะพยายามทำให้ได้ในไม่เกิน 2 ปี นั่นก็คืออัลบั้มเต็ม อยากให้มีมากกว่า 10 เพลง ซึ่งเป็นแพลนที่ใหญ่เหมือนกัน

Track 11 : เอกลักษณ์ รสนิยม และการสร้างงาน

CURS : เรื่องของเอกลักษณ์ ผมว่าอันนี้น่าจะแล้วแต่หลายมุมมองด้วยว่าคนฟังหรือคนที่ต้องการติดตามเขาต้องการอะไรจากตัวเรา ถามว่ามีเอกลักษณ์ดีอย่างไร ผมว่ามันค่อนข้างดีในแง่ที่เราจะถูกจดจำได้ง่ายจากคนข้างนอก

แต่ผมไม่ได้บอกว่าทุกคนต้องไปหาเอกลักษณ์ให้ตัวเองนะ แค่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ถ้ามีก็ดี แต่ไม่ถึงกับต้องฝืนทำสิ่งที่ไม่ชอบหรือเป็นในสิ่งที่ไม่ชอบเพื่อให้ตัวเองมีเอกลักษณ์ แค่รู้สึกว่ามันคงดีกว่าถ้าทุกคนสามารถหาจุดเด่นหาสิ่งที่ตัวเองมีอยู่แล้วในตัว และทำให้คนมองเห็นว่านี่คือสิ่งที่เราเป็นมากกว่า

เรื่องรสนิยมส่วนตัวผมคิดว่ามันน่าจะมีค่อนข้างมากเลย เพราะว่าการทำดนตรีมันเป็นเรื่องของอินพุตกับเอาต์พุตแปลว่าเราเคยเจออะไรมา ชีวิตผ่านอะไรมา แบกรับอะไรมาบ้าง เราก็จะนำเสนอสิ่งนั้นออกไป เช่น เพลงที่เราฟังอยู่มันมีผลกับการสร้างงานมากนะ ช่วงนี้ฟังอะไร อินกับอะไร เราก็อยากเห็นเพลงของตัวเองในเวอร์ชันนี้เหมือนกัน อยากดูว่ามันจะออกมาเป็นอย่างไรประมาณนี้

Outro : Thank To

CURS : สำหรับผู้อ่านทุกคน สามารถติดตาม CURS ได้ที่ Facebook : CURS แล้วก็ Instagram : @curs.band ส่วนผลงานเพลงสามารถรับฟังได้ที่ Youtube ของ Wayfer Records และ ทุกสตรีมมิ่ง ครับ

แล้วก็ขอขอบคุณมาก ๆ สำหรับทุกคนที่ติดตามฟังผลงานของเราจนมาถึงตอนนี้ รวมไปถึงคนที่เพิ่งจะเข้ามาฟังด้วย ขอบคุณมากจริง ๆ ครับ

Hidden Track : Music Inspire

CURS : อันดับแรก แรงบันดาลใจที่ทำให้เริ่มเล่นดนตรีจริงจัง เริ่มรู้สึกว่าเล่นดนตรีมันสนุก น่าจะเป็น Lomosonic ตอนนั้นคือวงเขาดังมาก ๆ ตอนช่วงเราน่าจะม.ปลาย เล่นโคฟเวอร์กับเพื่อนแล้วมันสนุก เราหันมาเล่นดนตรีจริงจังเพราะวงนี้

ศิลปินคนต่อไป ที่จริงเหมือนมีคนเคยถามว่า เพลงที่ดีที่สุดตลอดกาล หรือว่าวงที่ชอบตลอดกาล ผมไม่รู้เหมือนกัน แต่ว่าจะรู้สึกแบบช่วงนี้ฟังเพลงนี้นะ แบบฟังเป็นช่วง ๆ ไป อย่างช่วงนี้ก็ฟัง The Marías เป็นศิลปินหญิงต่างประเทศ อันนี้ที่ชอบน่าจะเป็นเพราะว่า เราเป็นคนที่ไม่ได้เรียนร้องเพลง ไม่ได้เป็นนักร้องจ๋าขนาดนั้น ก็เลยรู้สึกว่าเราชอบอะไรที่มันร้องแล้วฟังสบาย แต่ว่าดนตรียังเท่อยู่ รู้สึกว่า The Marías เขาตรงกับที่เราค่อนข้างคิดหรือว่าชอบทุกอย่าง ดนตรีก็ดูเท่ แล้วก็ร้องสบาย ร้องลม ๆ หน่อย เพลงที่ชอบก็จะมี Calling U Back, Ruthless คือ Calling U Back ก็จะเป็นเพลงหนักๆ นิดนึง แต่เขาร้องแบบเบาๆ กับใช้คอรัสเยอะๆ ช่วย ส่วน Ruthless เป็นเพลงจังหวะกลาง ๆ ฟังสบายไปเลย

แล้วก็มี beabadoobee เป็นศิลปินหญิงเหมือนกัน แต่ว่าอันนี้เราชอบในแง่เขาเป็นศิลปินเดี่ยวที่เรามองว่า CURS อาจจะคล้ายภาพแบบนี้ ที่ว่าเขาพยายามพรีเซนต์เป็นวงเหมือนกัน ภาพของเขามันดูเป็นแบรนด์มาก ๆ มากกว่าหญิงเดี่ยวยืนถือไมค์ครับ เพราะว่าเขายืนเล่นกีต้าร์ ร้องไปด้วย ที่จริงรู้สึกว่าเราก็ยังเป็นคนชอบเพลงร็อกอยู่ดี ชอบเสียงแตกๆ สาด ๆ แล้ว พวกอัลบั้มเต็มของ beabadoobee ก็มีเพลงประมาณนี้อยู่ ผมชอบเพลงที่ชื่อว่า Talk อันนี้ก็จะเป็นเพลงที่แบบมันเสียงแตกก็จริง แต่ว่าก็ไม่ได้แตกจนเละขนาดนั้น มันก็ฟังพอรู้เรื่องในทุกเครื่องอยู่ แล้วผมชอบเมโลดี้ร้องเขา กับอีกเพลงน่าจะเป็น the perfect pair อันนี้รู้สึกว่าเหมือนเขาทำมาตัดเลี่ยนในอัลบั้ม เป็นเพลงอคูสติกกีต้าร์โปรงกับพวกกลองเบา ๆ ไม่หนักมาก

วงนี้รู้สึกว่าเพิ่งไปดูสดมาชื่อ Wallows ชอบที่เพลงเขามันดูมีความดิบ ๆ ประมาณนึง แบบกีต้าร์เล่นแตก ๆ แห้ง ๆ สาด ๆ เยอะ ๆ กลองก็จะตีแบบรัว ๆ หน่อย เราเคย ๆ ฟังเพลงเขามาบ้าง แต่ก็ไม่ได้ฟังเยอะขนาดนั้น พอไปดูคอนเสิร์ตเขามา หลังจากนั้นฟังเพลงเยอะขึ้นเพราะรู้สึกชอบ คือคอนเสิร์ตเขาประมาณชั่วโมงนึง เป็นเพลงเร็วเกือบหมดเลย แล้วชอบเอนเนอจี้ในเพลงเขามาก เพลงก็จะมี Remember When อันนี้ชอบ น่าจะเป็นเพลงที่ชอบสุดของ Wallows เป็นเพลงเร็วแล้วก็มีท่อนมหาชนที่แบบให้คนร้องตามได้ง่าย ๆ ช่วยกันร้อง

ตอนเริ่มทำ CURS ที่จริงมันอาจจะไม่ใช่ไดเรคชั่นนี้เลย แต่ว่าผมไปเจอคนนึง เขาเป็นคนญี่ปุ่น ชื่อ Kenshi Yonezu คือเขาไม่ใช่แนวที่เราจะทำหรอก แต่พอมองเขาแล้วรู้สึกว่า มันเป็นไปได้ที่คน ๆ นึงสามารถทำอะไรด้วยตัวเองได้มากมายขนาดนั้น มันดูเป็นไปได้ เพราะว่าก็มีคนบนโลกที่เขาทำได้นี่หวา ถึงเป็นแนวที่เราไม่ได้ทำ แต่ว่ารู้สึกว่ามันเท่มาก ผมไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอะไร ต้องลองไปฟังเอง ขอแนะนำเพลงชื่อว่า Flamingo เป็นเพลงเหมือนบีท ๆ ประมาณนึง ร้องกับเบสคู่กันไปเรื่อย ๆ แล้วก็มีอีกเพลงชื่อ KANDEN เพลงนี้จะเป็นพวกมีไลน์ประสานเยอะ ๆ รู้สึกว่าอยากแนะนำคนนี้ให้ฟังกันครับ

Follow Him

Facebook : CURS
Instagram : curs.band
Youtube : CURS band
Youtube : Wayfer Records

CURS : One ‘Band’ Show หนึ่งศิลปิน หนึ่งวง และหนึ่งตัวตนในนามของ ‘เคอร์’