หล่งซื่อลี ลูกครึ่งสิงคโปร์-ไทย MIND - SELF ของเขา

หล่งซื่อลี ลูกครึ่งสิงคโปร์-ไทย MIND - SELF ของเขา

ผมเคยถูกน๊อคจากการต่อยมวยจนไม่ได้สติ คุณครูที่ฝึกซ้อมมาบอกว่าตอนนั้นผมคิดแต่จะต่อยคืนจะแก้แค้นอย่างเดียว แต่พอตั้งสติได้ก็เลยถามตัวเองว่าเครียดหรือเสียใจไปแล้วได้อะไรมันไม่ได้อะไรเลย สู้เอามันกลับมาเป็นแรงผลักดันให้เราเก่งขึ้นเพื่อกลับไปแก้แค้นในสิ่งที่ถูกต้องดีกว่า

 

สวัสดีครับผมชื่อหล่งซื่อลีเป็นลูกครึ่งสิงคโปร์-ไทย อายุ 22 ปีสำหรับผลงานที่ผ่านมาก็มีซีรีส์เรื่อง Even Sun ฉันนี่แหละนายอาทิตย์และกำลังถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง "Love Syndrome3 รักโคตร ๆ โหดอย่างมึง" อยู่ครับ

ข้อได้เปรียบของการเป็นลูกครึ่งไทย - สิงคโปร์คืออะไร

อย่างแรกเลยคือเรื่องของภาษา ผมได้พื้นฐานภาษาจีนมาจากพ่อเพราะตอนเด็กอยู่ที่สิงคโปร์ครับ

ทราบมาว่าตอนเด็กคุณขี้อายมาก

ใช่ครับ อย่างถ้าเห็นกล้องหรือให้ออกกล้องแบบนี้คือร้องไห้ขี้อายมาก แล้วก็เรียบร้อยเป็นคนไม่กล้าเข้าสังคมไม่กล้าคุยกับใครไม่ค่อยมีมุมแก่น ๆ ซน ๆ เท่าไหร่ จะเป็นเด็กดื้อเงียบมากกว่า ส่วนการเรียนก็อยู่ในระดับปานกลางครับเรียนไม่เก่งแต่มีความรับผิดชอบครับคอยส่งงานส่งการบ้านตลอด

แล้วเริ่มสลัดความกลัวออกไปเมื่อไหร่

เริ่มจากที่ผมอยากถ่ายกิจกรรมที่ตัวเองทำ คือการซ้อมมวยเริ่มให้เพื่อนถ่ายให้คืออยากดูว่าเวลาที่ตัวเองซ้อมมวยเป็นยังไง แล้วก็เริ่มชอบตัวเองเวลาอยู่ในกล้องจากนั้นก็เริ่มแคสซีรีส์แคสโฆษณาก็เริ่มคุ้นเคยมากขึ้น

คุณเริ่มเล่นกีฬามวยตั้งแต่เด็ก

ผมเริ่มซ้อมมวยตั้งแต่ ม.3 ครับ เมื่อก่อนผมต่อยเป็นอาชีพนะครับอยากหาเงินค่าเทอมให้ตัวเอง เลิกเรียนก็มาซ้อมมวยถึงสามสี่ทุ่ม ชีวิตวัยรุ่นก็หายไปเหมือนกันครับ ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวกับเพื่อนก็ใช้เวลาซ้อมมวยมากกว่า แล้วเราก็ช่วยที่บ้านทำงานด้วย

ช่วยเล่าเหตุการณ์ชกมวยที่หนักที่สุดให้ฟังหน่อย

ตอนอยู่ชั้น ม. 6 มีเหตุการณ์แข่งที่คู่ชกเขาไม่ทำตามกติกาเรื่องน้ำหนัก จนเราถูกน็อคสลบคาเวทีแบบถูกต่อยจนไม่รู้เรื่องเลยครับ แต่ครูก็มาเล่าว่าตอนที่เราได้สติเราก็ร้องไห้จะตามไปต่อยคืน ตามไปแก้แค้นให้ได้ แต่พอเราตั้งสติได้ก็เลยถามตัวเองว่าเราเครียดร้องไห้เสียใจแล้วได้อะไรก็ได้คำตอบว่าไม่ได้อะไรเลยแต่เราเอาคำตอบของตัวเองที่ว่าไม่ได้อะไรเลยเอากลับมาเป็นแรงผลักดันให้เก่งขึ้น กลับมาซ้อมเพื่อจะได้กลับไปแก้แค้นในสิ่งที่ถูกต้องดีกว่า

ตอนเด็กคุณฝันอยากเป็นอะไร

ขอไล่ตั้งแต่ช่วงอายุเลยนะครับ ถ้าเด็กมาก ๆ ตอนอนุบาลสามอยากเป็นลิเกเพราะคุณยายชอบเปิดลิเกให้ดู โตมาก็อยากเป็นตำรวจตอนนั้นดูหนังแล้วคิดว่าตำรวจเท่ดี โตมาอีกก็อยากเป็นหมอ พอช่วง ม.3 ถึงมัธยมปลายเราเริ่มอยากเป็นสจ๊วตแต่ก็เป็นช่วงสถานการณ์โควิดพอดีจนได้มาเริ่มซ้อมมวยความอยากเป็นสจ๊วตก็เริ่มลดลงก็เลยมาทางมวยมากกว่า แต่เราก็คิดอีกว่าเราไม่ได้อยากจะต่อยมวยตลอดชีวิตแต่เราชอบในอาชีพนี้ชอบบรรยากาศการซ้อมมวยชอบกีฬามวยอนาคตเลยคิดว่าอยากจะเปิดค่ายมวยครับ แต่ตอนนี้ก็ได้ค้นพบอีกอาชีพที่เราปฏิเสธมาตลอดคือการเป็นนักแสดงตอนนี้เลยมีความฝันอีกอย่างคืออยากจะมีชื่อเสียงในวงการบันเทิง

เป้าหมายที่คุณวางไว้ในวงการบันเทิง

ผมอยากมีชื่อเสียงในต่างประเทศครับ ส่วนหนึ่งคือผมไม่ได้เจอพ่อนานมากอยากให้พ่อมาเห็นอีกทีตอนเรามีชื่อเสียงแล้วซึ่งตอนนี้ก็พยายามทำอยู่ครับ

เวลาว่างหรือกิจกรรมว่างนอกจากชกมวย

ผมจะเรียนเต้นเรียนกีตาร์อ่านหนังสือเกี่ยวกับการแสดง เพราะผมคิดว่าถ้าเรามุ่งมั่นมาทางวงการบันเทิงเราก็ควรมีความสามารถที่หลากหลายให้พร้อมที่จะทำงานในวงการบันเทิง

อยากบอกอะไรให้คนรู้จักหล่งซื่อ ลี มากขึ้นมั๊ย

อยากบอกว่าถ้าคุณเห็นผมในโซเชี่ยลหรือตามหน้าจอโทรทัศน์ สิ่งนั้นมันเป็นแค่ส่วนหนึ่งไม่ใช่ทุกด้านก็ไม่อยากให้ตัดสินเราว่าเราเป็นคนดีหรือไม่ดี ถ้าเจอก็เข้ามาทักทายกันได้ครับ ก็อยากจะขอบคุณที่ยังให้การสนับสนุนคอยให้คำแนะนำโดยเฉพาะพี่ ๆ แฟนคลับ ถือว่าเป็นกำลังใจที่สำคัญสำหรับหล่งมากเลยครับ ก็อยากให้อยู่ซัพพอร์ตให้กำลังใจกันไปนาน ๆ นะครับ

เครียดหรือเสียใจไปแล้วได้อะไร สู้เอามันกลับมาเป็นแรงผลักดันให้เราเก่งขึ้น