ยุทธพงษ์ ธนวิเชียร : สุดยอดนักมายากลของไทย The Magician of Chic Magic | Issue 165

ยุทธพงษ์ ธนวิเชียร : สุดยอดนักมายากลของไทย The Magician of Chic Magic | Issue 165

แอมเดียว นักมายากลชื่อดังอันดับต้น ๆ ของประเทศ เขาเคยประกวดมายากลในรายการต่าง ๆ ได้รับรางวัลมากมาย เคยเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับผลิตภัณฑ์อาหารซีพี และเป็นสตรีทเมจิก คนดังของเมืองไทย เส้นทางสุดยอดนักมายากลนั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ต้องใช้ความพยายาม มานะอุตสาหะ เขายอมแลกทุกอย่างเพื่อให้ได้เป็นสุดยอดนักมายากล ทุ่มเทให้กับความฝันแบบหมดหน้าตัก ซ้อมหนักเพื่อความเป็นหนึ่ง จนประสบความสำเร็จ แต่นั่นเป็นเพียงก้าวแรก เพราะความฝันของเขาคือนักมายากลระดับโลก!

Start the Show

ยุทธพงษ์ ธนวิเชียร : ผลงานช่วงนี้มีแต่ออกรายการทีวีมากกว่าครับ และก็ทำคลิปวิดีโอในยูทูป สถานการณ์โควิด-19 ก็มีผลในเรื่องงานโชว์ แต่ว่าทุกอย่างก็ต้องดำเนินไปต่อ ซ้อมและเรียนรู้ ก็ยังทำอยู่เรื่อย ๆ ครับ ช่วงนี้รายได้หลักมาจากสื่อออนไลน์ต่าง ๆ ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติก็จะมีโชว์ Private Party ตามโรงแรมบ้าง แบบบุฟเฟ่ต์ของโรงแรมบ้าง และมีออกสื่อพวกอีเวนต์ตามห้างสรรพสินค้าเป็นส่วนใหญ่ครับ

นิยามคำว่ามายากลสำหรับผมคือศิลปะการแสดง ทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ทำให้มันเกิดขึ้นได้ คือมายากลมันทำให้ ใกล้เคียงกับเวทมนตร์มากกว่า แต่ไม่ใช่เวทมนตร์ มายากลเป็นศาสตร์ที่มีอิสระทางความคิดสูงมาก เราจะทำอะไรก็ได้ขอให้มันเจ๋งและแตกต่างก็พอแล้ว ผมก็เลยชอบไม่มีใครมาบังคับอะไรครับ

ผมดูมายากลครั้งแรกและประทับใจน่าจะตอนอายุประมาณ 21 ครับ คือเริ่มฝึกฝนและเล่นมายากลตอนอายุ 21 ตอนแรกอยากเล่นเพราะว่ามันเท่ดีแค่นั้นเอง คือเราไม่เคยเห็นแล้วทำให้รู้สึกว่าเท่ดี ไม่เหมือนคนอื่น แตกต่างดี ผมก็เลยลองศึกษาครับ

ตอนศึกษาครั้งแรกยากมาก เพราะในตอนนั้นยังไม่มีสื่อออนไลน์แบบตอนนี้ ต้องไปหาใน Google ต้องไปหาคำว่า Magic คืออะไรและหาต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเจอและมีคลิปสอนสักคลิปหนึ่ง จึงทำให้ใช้เวลานานมากครับในตอนนั้น และผมก็เริ่มจากเบสิกมากกว่า

ต้องบอกก่อนว่าจริง ๆ ตอนแรกผมอยากเป็นนักดนตรี เล่นกีตาร์ ร้องเพลง แต่งเพลง ทำเพลงขาย ตอนนั้นคือได้ทำไปเรื่อย ๆ แต่ว่าไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะ ว่าเรายังทุ่มเทไม่สุดด้วยครับ มีออกซิงเกิลด้วยนะ มีในยูทูปแต่ว่ายอดวิวมันไม่เยอะสักเท่าไหร่ วิวหลักหมื่นแค่นั้นเองเป็นแนวป็อบ ร้องเพลงและเล่นกีตาร์เองครับ

ที่กลายมาเป็นนักมายากลผมว่ามันเป็นโชคชะตามากกว่า คือระหว่างเล่นมายากลผมก็เล่นดนตรีอยู่ด้วย แต่งเพลง เล่นกีตาร์ตามร้านอาหารอยู่ด้วย พอเล่นไป สักพักหนึ่งเราก็เจอเหตุการณ์แบบว่า มันไม่โอเค เช่น เขาให้เราไปเล่นร้านนี้ปุ๊บ มาเล่นร้านพี่หน่อยสิคนไม่มีเลย เราใจกับเขาก็บอกไปว่า โอเคพี่เดียวผมไปช่วย ทั้ง ๆ ที่เราก็มีอีกงานหนึ่งอยู่ เลยไปช่วยร้านนี้ก่อนก็ได้ พอไปช่วยเสร็จ อีกอาทิตย์หนึ่งเขาโทรมาบอก พอดีพี่ได้คนแล้ว คือเหตุการณ์แบบนี้มันไม่ควรเกิดขึ้น คือเราใจกับเขา แต่เขาทำแบบนี้กับเรา เลยทำให้รู้สึกว่าวงการดนตรีทำไมเป็นแบบนี้ จึงเริ่มมาใส่ใจกับมายากลมากขึ้น

ก็เลยหันหลังให้การเป็นนักดนตรี มุมานะฝึกฝนเป็น นักมายากลมาตั้งแต่ตอนนั้น ไม่ได้กลับไปทำเพลงอีกเลยเพราะ My Set ของผมคือ ถ้าจะทำอะไรแล้วจะต้องทำให้สุดและทำแค่อย่างเดียวครับ ถึงจะสุดได้

Behind the Scene

ยุทธพงษ์ ธนวิเชียร : ผมโตในครอบครัวฐานะปานกลาง คุณพ่อจะทำอาชีพค้าขาย ขายไม้ประตูวงกบ ส่วนแม่ทำงานที่โรงพยาบาล มีพี่น้อง 1 คน แต่ว่าคนละแม่คนละพ่อครับ ฐานะครอบครัวก็ปานกลาง ก็ไม่ได้รวยอะไรครับ ตอนเด็ก ๆ อยากได้อะไรก็ต้องเก็บเงินซื้อเอง โตมาจากกรุงเทพฯ เลยครับ เรียนที่ วัฒนพฤกษา หอวังนนท์ จากนั้นมาเรียนต่อมหาวิทยาลัยกรุงเทพฯ ตอนเรียน ม.กรุงเทพฯ เลือกคณะนิเทศศาสตร์ เวลานั้นไม่ได้มีความคิดที่จะเรียนนิเทศศาสตร์เลยนะครับ แค่เรียนตามเพื่อนเฉย ๆ คือไม่มีความรู้และไม่เคยคิดเลยครับที่จะต้องมาทำอะไรแบบนี้

ศาสตร์ของมายากลกับที่เราเรียนนิเทศศาสตร์มา มันเอื้อกันมันได้ใช้หมดทุกอย่างเลย เพราะว่าผมได้ทำรายการมายากลใน YouTube ด้วย มันก็ได้ใช้ตั้งแต่สคริปต์ ตัดต่อ ถ่าย โปรดักชั่น วางแผนทุก ๆ อย่าง ทำให้ได้ใช้หมดทุกอย่างเลยครับ

เด็กชายเดียวดื้อไหมต้องบอกว่าเป็นคนที่มีความคิดเป็นของตัวเอง คือถ้าใครมาบอกว่า อันนี้ไม่ดี แต่ถ้าผมรู้ว่าอันนี้ไม่ใช่ไม่ดี ผมก็ยังทำอยู่ แต่ถ้าผมรู้ว่าอันนี้ไม่ดีจริง ๆ ผมก็ทำ จะเป็นแบบนี้มากกว่า

ผมเริ่มฝึกมายากลจากกลไพ่ครับ จุดที่ดลใจคือ ตอนนั้นทำงานประจำอยู่ ตำแหน่งกราฟฟิกดีไซน์ มีเหตุการณ์เขาสั่งงานมา และผมก็ทำตามคำสั่งเขาแหละ คือผมเดินไปตามเขาทุกวันว่า แก้ตรงไหนบ้างครับ และผมก็ทำเสร็จ เป็นรายการใหม่ แต่พอทำเสร็จแล้ว อีกอาทิตย์หนึ่งเขาโทรมาหาผมบอกว่าน้อง พี่ขอเปลี่ยนไตเติ้ลนิดนึง ผมก็บอกได้ครับ แก้ตรงไหนบ้างครับ เขาตอบมาแก้ใหม่ทั้งหมดเลยครับ คือแค่คำพูดนั้นผมรู้เลยครับ ผมหันไปบอกหัวหน้าว่าผมขอลาออกเขาก็บอกใจเย็น ๆ แต่ผมบอกเขาไปว่า ผมทำไม่ได้จริง ๆ ครับพี่ ผมก็เดินไปเขียนใบลาออก บอกลาเพื่อน ๆ โทรบอกแม่ว่า ผมออกจากงานแล้วนะ และผมก็ออกมาเลย เพื่อจะทำรายการมายากลของตัวเอง

อาชีพนักมายากลของผมเริ่มจากตอนแรกก็เป็นจ๊อบสั้น ๆ เล่นกับเพื่อน ๆ เขาจ้างไปงาน ร้านอาหาร เป็นแฟนตาซี ให้แต่งชุดผีและไปเล่นมายากลครับก่อนจะมาอยู่วงการนี้ ก่อนจะเป็น นักมายากล ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับวงการนี้เลยครับ คือผมเป็นคนที่เริ่มจากศูนย์จริง ๆ ไม่มีคนรู้จัก ไม่มีคอนเน็กชั่น ไม่มีอะไรเกี่ยวกับมายากล ผมเริ่มแบบจริงจังใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 7 ปีครับ ถึงมาจุดนี้ได้

หลังจากที่ใส่ชุดแฟนตาซีไปเล่นมายากล งานต่อมาส่วนมากมาจากการบอกต่อ และเขาก็เห็นฝีมือของเราที่เล่นไม่เหมือนกับใคร แต่ละงานผมก็จะครีเอทกลขึ้นมาเฉพาะงานนั้นครับ หรือบางกล กลที่มันดูเว่อร์ ๆ ที่คนอื่นเขาไม่เล่นกันผมก็จะพยายามเล่นกลแบบนั้น

Shinning Star

ยุทธพงษ์ ธนวิเชียร : จริง ๆ ประเภทของมายากลจะแบ่งเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ คือกลเวที เล่นบนเวที เสกนก เสกไพ่ และก็มีกลฟิวชั่นที่เล่นกับของ ที่ใหญ่ ๆ เช่น ตัดคนขาดครึ่งและนำมาต่อกันใหม่ คนหาย พวกนี้ จะใช้อุปกรณ์ใหญ่ ๆ ครับ และก็มีกลที่เล่นกับของเล็ก ๆ ใกล้ตัว คือ สตรีทเมจิก จริง ๆ มันชื่อว่า โคซ่าเมจิก แต่ว่าสตรีทเมจิก มันมาจากการที่ เราเดินไปเล่นกับคนที่ไม่รู้จักครับ

ผลงานที่แจ้งเกิดให้คนรู้จัก ผมคิดว่าน่าจะอยู่คลิปหนึ่ง ไปตกลงกับน้องผู้หญิงไว้ว่าจะไปล่าท้าผีกัน แต่ผมไม่บอกว่า ผมเป็นนักมายากล ให้เพื่อนติดต่อไปและก็เอาเค้ามาถ่าย และในคลิปนั้นทุกอย่างที่เกิดขึ้น คือมาจากผมทั้งหมดเลย ไม่ใช่ผี เป็นคนทำ จบคลิปนั้นน้องเค้าก็หลอนไปประมาณ 1 อาทิตย์ และพอคลิปได้เผยออกไปก็มีเพจในโซเชียลมาแชร์ให้ จึงทำให้คนรู้จัก คลิปประมาณแสนกว่ายอดวิวครับ

คลิปแรกถ่ายจากโทรศัพท์ไอโฟน 4S ครับ ให้เพื่อนถ่าย ไปถ่ายที่สยามครับ แบบปกติธรรมดาเลย เดินเข้าไปเล่นมายากล ถ่ายคลิปให้เขาพูดชื่อแนะนำตัวนิดหน่อย มีพูดเปิดรายการ ปิดรายการ ประมาณนี้ครับและเสียงตอบรับก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ไม่ใช่แบบว่าคลิปเดียวแล้วดังเลย แต่ว่าคลิปที่ปล่อยออกไป มีกระแสเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

มีนักมายากลท่านใดเป็นแรงบันดาลใจอืม...เป็นเรื่องตลกมากครับ ที่ไม่มีเลยครับ ผมไม่ได้ดูมายากลเลยครับตอนเด็ก ๆ ผมมารู้จักมายากลตอนอายุ 21 ก่อนหน้านี้คือ ร้องเพลง เล่นดนตรี เล่นกีตาร์

หลายคนอาจจะคิดว่าการเล่นมายากลคือพรสวรรค์ อันนั้นส่วนหนึ่งครับ แต่ผมว่าผมเป็นได้เพราะฝึกหนักมาก ตอนแรก ผมคิดว่าทุก ๆ คนสามารถทำอะไรก็ถ้า ถ้าจริงจังจริง ๆ แต่พอผ่านมาสักพักก็เริ่มเจอหลาย ๆ คน ทำให้รู้ว่าจริง ๆ แล้วจริงจังอย่างเดียวมันไม่พอ เราต้องมีความใส่ใจมากกว่าคนอื่นด้วย มันก็คงเป็นพรสวรรค์แหละครับนิดนึง แต่มันก็แค่ 20-30 เปอร์เซ็นต์นะ ที่เหลือเราก็ต้องมาเติมเต็มให้มันถึง 100 ครับ

ผมว่าที่ประสบความสำเร็จเพราะผมขายวิญญาณครับ (หัวเราะ) คือตอนที่ผมออกจากงานประจำเพื่อมาทำรายการมายากล ผมได้พูดกับตัวเองไว้ว่าผมจะอยู่กับรายการมายากล 5 ปี คือในระหว่าง 5 ปีนี้เงินเก็บผมหมดหรืออะไร ผมก็จะไม่ทำ อย่างอื่น ผมจะทำแต่มายากลอย่างเดียวจนกว่าจะถึง 5 ปี คือถ้าจะตายก็ต้องตายไปกับมายากลไปเลยครับ จะไม่ไปขอเงินใคร ไม่ไปคุยกับที่บ้านหรืออะไรเลยครับ ก็เลยเป็นการขายวิญญาณอย่างหนึ่ง เอาจริง ๆ ระหว่างนั้นผมก็ไม่ไปทำอย่างอื่น เพื่อน ๆ หลายคนบอกว่า ทำไม่ไปลองทำงานประจำและนำเงินตรงนั้นมาทำรายการต่อ ผมบอกกลับไปว่า ไม่! ไม่งั้นมันจะไม่สุด ผมก็เลยทำแต่มายากลอย่างเดียวเลยครับ

รายได้มาจากการโชว์อีเวนต์ และก็งานตามโรงแรม โชว์ตามงานปาร์ตี้ของบริษัท และก็ออกรายการตามสื่อต่าง ๆ และก็ยูทูปตอนแรกผมส่งประวัติส่วนตัวของผมไปตามรายการทีวีเลยครับ คือประวัติผมมันห้าวมาก ออกจากงานประจำโดยที่มีเงินเก็บอยู่ 5 หมื่น คือทางรายการ TV ก็สนใจ เขาก็จะถามแต่ประเด็นนี้ ถามแบบนี้เยอะ ๆ ก็เบื่อเหมือนกันนะ แต่ก็เป็นเพราะประเด็นนี้ที่เค้าสนใจว่า มีคนบ้าขนาดนี้อยู่ด้วยเหรอ มีคนที่กล้าขนาดนี้อยู่ด้วยเหรอ

Learn into It

ยุทธพงษ์ ธนวิเชียร : ผมไม่ได้เรียนมายากลมาเลยนะครับ คือมันก็แล้วแต่ว่า จะเรียนหรือว่าจะฝึกฝนด้วยตัวเอง แต่ผมไม่แนะนำให้เรียน เพราะว่าเราไม่รู้หรอกว่าคนที่จะสอนเราเค้ารู้จริงรึเปล่า เป็นความคิดที่ถูกจริงรึเปล่า คือถ้าศึกษาด้วยตัวเองสามารถเปรียบเทียบได้ เราจะได้ความรู้จากหลาย ๆ แหล่ง ว่าแบบไหน เป็นแบบไหน และเราจะรู้ว่าอันไหนมันดีจริงกว่ากัน แนะนำฝึกด้วยตัวเองดีกว่า

ผมฝึกหนักมากครับ แต่ว่าเป็นการซ้อมเรื่อย ๆ คือว่างก็ซ้อม ผมไม่ได้คิดว่าผมจะต้องเป็นเร็วอะไรขนาดนั้น แต่ผมคิดว่าผมจะต้องทำ ผมจะต้องซ้อม เดียวก็เป็นแหละ และผมก็ซ้อม ซ้อม ซ้อม ซ้อม ก่อนที่จะมีชื่อเสียงไม่เคยท้อครับ และก็ไม่เคยคิดว่าจะเลิกหยุดทำ เพราะว่าเคยพูดไปแล้วว่าจะไม่หยุดจนกว่าจะตายไปกับมัน มีช่วงแรก ๆ ที่รู้สึกเหนื่อยมากกว่า ทำมาประมาณ 3-4 EP. แรก ๆ เวลาไปถ่ายมันก็มีอุปสรรคต่าง ๆ เยอะขนาดนี้เลยเหรอ แต่เคยบอกกับตัวเองไว้ว่าก็คิดจะทำแล้วก็ต้องทำต่อไป

ในบ้านเรา คนที่เป็นนักมายากลแนวสตรีทเมจิกมีเยอะนะครับ ถ้าเล่นแบบขำ ๆ เยอะมาก แต่ถ้าเล่นแบบจริงจังก็น้อยหน่อย ขำ ๆ หมายถึงว่า เล่นแบบงานอดิเรก ว่างก็เล่นไม่ว่างก็ไม่เล่น ฝึก ๆ มาเพื่อจะเอามาโชว์เพื่อนแบบขำ ๆ โชว์ในวงเหล้า หรือไปโชว์ตามกลุ่มแก๊งค์ที่เค้ารู้จักครับ แต่ถ้าเป็นอาชีพคือเล่นตามโรงแรม รับงานอีเวนต์ อะไรพวกนี้ครับ

ผมยังไม่คิดว่าผมประสบความสำเร็จเลย ทั้ง ๆ ที่คนอื่นบอกเราว่าแค่นี้ยังไม่พออีกเหรอ คือตอนแรกเป้าหมายของผมจะต้องอยู่ได้กับมายากล หาเงินได้จากมายากล นี่คือเป้าหมายแรก แต่พอมาถึงจุดนั้นและเป้าหมายมันเปลี่ยน แต่ว่าการเดินทางมาถึงประมาณ 55 เปอร์เซ็นต์แล้ว เพราะว่าเป้าหมายที่ผมคิดไว้ที่จะไปให้ถึงมันค่อนข้างยากพอสมควร

Dreams Come True

ยุทธพงษ์ ธนวิเชียร : เป้าหมายของผมอยู่ในระดับสากลครับ แต่ว่าระดับสากลผมยังบอกไม่ได้ว่าจะต้องเป็นเลเวลไหน เพราะว่าถ้าผมทำไม่ได้มันจะไม่ดีครับ แต่ถ้าผมทำได้แล้วผมจะบอก ผมเริ่มแข่งขันรายการมายากลจริง ๆ ประมาณ 2017 ตอนนั้นมีโชว์ 1 โชว์ที่คิดไว้นานแล้ว แต่ว่ายังไม่ได้ทำสักที เป็นโชว์ที่เจ๋งที่สุดของเราและที่คิดไว้ ทางวงการมายากลก็มีแคมเปญ หาคนที่เป็นนักมายากลในประเทศไทย ไปแข่งในระดับเอเชียที่ญี่ปุ่น ผมก็เลยลองส่งดู ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้หวังว่าจะได้หรือไม่ได้ เพราะว่าเป็นครั้งแรกที่ผมเอาโชว์นั้นมาทำ

พอส่งไปก็ผ่านเพราะว่าเป็นคนเดียวที่ได้ไปแข่งที่ต่างประเทศ แต่ว่าไม่ได้อะไรกลับมานะครับ พอกลับมาแล้วรู้สึกว่า โชว์ที่เราโชว์ยังไปต่อได้ พอพัฒนาไปเรื่อย ๆ เราก็รู้สึกว่าโชว์นี้ น่าจะเจ๋งกว่าเดิมและ เริ่มรู้สึกห้าว ก็เลยลองส่งไปอีกที่หนึ่งดู พอผ่านรอบคัดเลือกเลยได้ไปต่อ แล้วก็กลับมาคิดว่ามันจะเจ๋งได้มากกว่านี้อีกไหม ปรากฏว่ามันได้อีก งั้นเราก็ไปพิสูจน์ใหม่ ให้รู้ว่า มันเจ๋งจริงหรือเปล่า อารมณ์จะเป็นประมาณนี้มากกว่าครับ ส่วนตอนสุดท้ายคือรู้สึกว่า เราจะอยู่ในแค่ประเทศไทยไม่ได้แล้ว คือสิ่งที่เราคิดมา ผมเชื่อมั่นว่ามันสามารถอยู่ในระดับสากลได้จริง ๆ ผมก็เลยคิดว่าผมต้องไปแข่งเรื่อย ๆ และรายการก็ต้องใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ถ้ารายการเล็กผมไม่นับ

มายากลชุดที่นำไปแข่งผมทำเป็นเรื่องราวครับ เกี่ยวกับไพ่ มันเป็นโชว์ประกอบเพลง สตอรี่ประมาณว่า ผู้ชายคนหนึ่งเห็นไพ่เป็นเศษกระดาษ และก็สามารถทำให้เศษกระดาษกลับมาเป็นไพ่ได้ด้วยมือของเขา และสุดท้ายเศษกระดาษก็จะเปลี่ยนเป็นไพ่ทีละใบ ๆ เป็นไพ่เปลี่ยนสี และจบด้วยสุดท้าย ไพ่เหล่านั้นกลายเป็นเศษกระดาษเหมือนเดิมประมาณนี้ครับ คือมันก็เหมือนเป็นธรรมมะนิดหนึ่งว่า เกิดขึ้นและก็ดับไป

ไอเดียเกิดขึ้นมาด้วยความบังเอิญครับ คือตอนแรกก็ไม่ได้นึกถึงคอนเซ็ปต์ชัดเจนอะไรขนาดนี้ แค่คิดว่าบนโลกนี้ยังไม่มีนักมายากลคนไหนทำอะไรบ้าง เราก็ลองคิดดูมันก็เริ่มมาทีละนิด ๆ จนตอนนี้คอนเซ็ปต์มันชัดเจนครับ ในปี 2018 กับ 2019 ผมได้รางวัล ซิลเวอร์ อวอร์ด นานาชาติ ที่ประเทศไทยครับ 2 ปีซ้อน แต่ผู้ที่ได้รางวัลที่ 1 คือชาวต่างชาติครับ

จากนั้นก็ได้เป็นพรีเซนเตอร์ของ CP ครับอันนั้นผมว่าเป็น โชคชะตานะครับ เพราะว่าทางเอเจนซี่โฆษณา เขาหานักมายากลเพื่อจะมาถ่ายโฆษณาผลิตภัณฑ์ใหม่ของซีพี และเป็นเรื่องบังเอิญมาก ๆ ที่ เอเจนซี่ที่คัดเลือกนักแสดง 2 บริษัท ติดต่อมาหาผมคนเดียว ก็เลยได้ไปครับ เขาคงคิดว่าต้องเป็นผมแล้วแหละ

Concept and Self Identity

ยุทธพงษ์ ธนวิเชียร : สำหรับอาชีพนักมายากลนี้ ผมว่าอยู่ได้ครับ แต่เวลาไปแข่งขัน รวม ๆ แล้วผมก็หมดเป็นแสนครับ ทำรายการก็ต้องจ่ายค่าอุปกรณ์ก็เป็นแสนเหมือนกันนะ แต่ผมก็อยู่ได้ครับ ช่วงสถานการณ์โควิด-19 อีเวนต์นี่คือศูนย์ ไม่มีรายได้จากการแสดงเลย แต่ช่วงก่อนโควิด-19 ก็มีอีเวนต์ทุกอาทิตย์ครับ

เรทค่าตัว แล้วแต่งานครับ ถ้าเดินในงานตามโรงแรม ก็หลักพันครับ ถ้าเป็นปาร์ตี้ เป็นอีเวนต์ เป็นงานโฆษณาสินค้า ก็หลักหมื่นครับ แต่ถ้าหลายวันก็ลดลงมาจะเป็นหลักพัน ช่วงที่ไม่มี อีเวนต์ก็ใช้เงินเก่าครับ แล้วทำคลิปไปเรื่อย ๆ คือผมไม่ได้ซีเรียสเรื่องเงินอยู่แล้วครับ เงินไม่ใช่ปัจจัยหลัก ผมแค่คิดว่าในช่วงเวลาว่าง เป็นช่วงเวลาที่ต้องฝึกฝน

ถ้าพูดถึงมุมมองของนักมายากลในบ้านเรา ค่อนข้าง จะแตกต่างกับนักมายากลต่างประเทศพอสมควรครับ นักมายากล ต่างประเทศเกือบทุกคนเขาจะ Create กลของตัวเองขึ้นมาเป็น Original โดยที่ไม่ซ้ำกับคนอื่นเลยครับ คือถึงจะมี 100 คนเขา ก็จะ Create ออกมาเป็น 100 โชว์ แต่ของประเทศไทยส่วนมากที่ผมเห็นคือโชว์แต่ละคนจะค่อนข้างคล้าย ๆ กัน ไม่ค่อยมีความเป็นตัวของตัวเองเท่าไหร่ เหมือนมีคนแนะนำมาและก็เอามาใช้ มันก็เลยเหมือน ๆ กัน ไม่ค่อยแตกต่างกันเท่าไหร่

สมมุติว่า คุณดูนักมายากล 10 คนที่เมืองนอก แต่ละคน จะโชว์ไม่ซ้ำกันเลยในคอนเซ็ปต์ของเขา จะเป็นเหมือนตัวละครในนิยายที่เล่นอยู่กลางเวที ที่จะเสกไพ่และกลายเป็นไม้เท้าบินได้ มันเป็นความแตกต่างมาก และบางคนก็เล่นเหมือนเป็นจิ๊กซอว์ กระดาษเอามาต่อกัน เป็นจิ๊กซอว์ลอยมาต่อกันบ้าง คือเค้า Create มาก บางคนเป็นแม่มด มาเสกของทำให้ลอยและเปลี่ยนกลายเป็นลูกแก้วคือมันแตกต่างจริง ๆ ครับไม่ซ้ำกันเลย

ผมว่าแทบทุกวงการ เอกลักษณะสำคัญมาก คาแรคเตอร์ เป็นอะไรที่สำคัญมากครับในต่างประเทศ แล้วก็ฝีมือครับ มีหลายคน ที่ถึงจุดที่ประสบความสำเร็จจะรู้สึกว่า เขาสุดยอด แต่สำหรับผมรู้สึกว่าก็แค่นักมายากล ไม่เห็นจะมีอะไรเลย ไม่ได้ต่างกับตอนแรก ความรู้สึกมันเหมือนกันเลยแค่เรามีอาชีพเป็นนักมายากลแค่นั้นเอง คือเราไม่ได้รู้สึกภูมิใจ ว่าผมเป็นนักมายากลชื่อดังนะ

ที่เราเห็นจากนักมายากลในต่างประเทศแล้วจะนำมาปรับใช้คือเรื่องความพยายามครับ คือผมคิดว่าผมก็พยายามอยู่นะ แต่ว่า ผมเจอคนต่างชาติที่เขาชนะผม คือผมมองว่าผมพยายามเท่านี้ ผมยังแพ้คนนี้เลย คนนั้นต้องพยายามขนาดไหน ผมเลยคิดว่าแค่นี้ มันก็คงยังไม่พอมันต้องไปอีก และต้องไปอีกแน่ ๆ ผมก็เลยคิดว่าน่าเป็นเรื่องความพยายามครับ

ผมจะชอบคิดว่าเวลาทำอะไร จะต้องทำแค่อย่างเดียว มันถึงจะสุด ผมตัดทุกเรื่องออก ความรักผมก็ตัด เรื่องอื่นผมก็ไม่เอา เกมผมก็ไม่เล่น และผมก็ต้องมีเวลาซ้อมในแต่ละวัน และทุก ๆ วัน ช่วงนี้ซ้อมนู้น วันนี้ซ้อมนี้ และในแต่ละวันก็ต้องคิดอะไรใหม่ ๆ ด้วย เราจะอยู่นิ่งไม่ได้ เราต้องคิดอะไรใหม่ ๆ เรื่อย ๆ และต้องให้เวลาซ้อมกับมันเรื่อย ๆ ช่วงเริ่มหัด น่าจะประมาณ 3-4 ชั่วโมง ปัจจุบันซ้อมวันละ2-3 ชั่วโมง แต่ก่อนช่วงที่จะไปแข่ง จะซ้อมประมาณ 4 ชั่วโมง

เคล็ดลับหัวใจของการแสดงมายากล อยู่ที่อะไร ผมว่าอย่างแรกจะต้องมองเป็นศิลปะ มันเป็นการแสดงไม่ใช่แค่ว่าเรารู้ความลับและก็นำกลมาเล่นเลย แบบนั้นมันไม่ใช่ ต้องมีการคิดก่อนว่าเราจะพูดอะไร เราจะพรีเซ้นต์อะไร จะต้องมีสคริปต์ฝึกฝนฝีมือ และต้องมีความคิดสร้างสรรค์ จะแสดงแบบไหน เช่น เราจะทำให้เหมือนว่าทำพลาดไหม สุดท้ายเรามาหลอกอีกทีหนึ่งว่าเราไม่ได้พลาดนะ มันก็เหมือนหนังเรื่องหนึ่งนะครับ แต่เป็นหนังแบบเรียลในชีวิตจริง

การแสดงมายากลจริง ๆ ไม่ต้องไวครับ แต่จะต้องใช้คำว่า ความชำนาญมากกว่า ความชำนาญในแต่ละทักษะเคยนับเล่น ๆ มายากลที่ผ่านมา ผมเล่นได้เกิน 200 กลครับ แต่ว่า ที่ไม่ได้มาออนแอร์ก็มีอีกนะครับ อันที่ยากที่สุดก็คงจะเป็นกลที่ใช้แข่ง เพราะว่าจะต้องพรีเซ็นต์ว่าเรามีสกิลแบบไหน เราทำอะไรได้ขนาดไหน คือเราต้องทำให้เวอร์ที่สุดครับ

After Life

ยุทธพงษ์ ธนวิเชียร : สุดท้ายถ้าผมประสบความสำเร็จตามที่คาดหวังเรียบร้อยแล้ว ก็คิดว่าจะเปิดร้านนมสด แต่เป็นสไตล์ ชิคๆ หน่อย แบบวัยรุ่น ๆ คือส่วนตัวผมชอบไปร้านนม ผมไปร้านนมมาเยอะมาก ผมเป็นคน ที่คิดก่อนทำครับ เป็นคนชอบวางแผนก่อนว่าจะทำอะไร และก็ไม่ชอบมีข้ออ้างกับชีวิตเยอะ คืออยากทำอะไรก็ทำเลย แต่สมมุติว่าไม่มีตังค์ เราก็จะทำแต่ว่าใช้เงินให้น้อยที่สุด เป็นคนค่อนข้างจริงจังในเรื่องของบางเรื่อง แต่ตอนไม่จริงจัง ผมก็ไม่ใส่ใจเลยนะ

เคล็ดลับความสำเร็จที่มาถึงทุกวันนี้ ผมว่าเป็นเพราะความมุ่งมั่น และความเด็ดเดี่ยว ที่แบบที่สุดแล้ว อยากบอกคนที่เดินตามความฝันอย่างแรกเลย ชีวิตจะต้องมีระเบียบนิดนึง คือจะต้อง จริงจังกับมันให้ถึงที่สุดก่อน จริงจังแบบที่ไม่ใช่แค่คำพูดนะครับ คืออย่างผมตอนแรกที่จะมาจริงจังกับมายากล ตัดทุกย่างออกตัดแบบจริง ๆ ครับ มีสาวเข้ามาคุยกับผม ผมก็บอกเขาเลยนะ ว่าผมชอบเขา แต่ผมขอทำมายากลให้สำเร็จก่อนได้ไหม แต่เขาก็งงนะ ว่าต้องอยู่คนเดียวขนาดนั้นเลยเหรอ ผมก็ตอบว่าใช่ ต้องอยู่คนเดียว

อย่าคิดว่าตัวเองเก่งเพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เราคิดว่าตัวเองเก่ง เราจะไม่เห็นข้อเสียของเราเลย อย่างที่สองต้องพยายามคิดมายากล และก็ฝึกฝนฝีมือใหม่ ๆ อยู่เป็นประจำ คนที่หยุดเดิน ถึงจะเดินมาไกลแล้วยังไงก็แพ้ คนที่เดินต่ออยู่ดี อย่างที่สามอย่าเลียนแบบไอเดียของต่างประเทศหรือคนอื่นที่เราชอบ เพราะการเลียนแบบเป็นการผิดลิขสิทธิ์อย่างหนึ่งนะครับ ถ้าเจ้าของไอเดียเขาไม่อนุญาต ควรที่จะคิดอะไรใหม่ ๆ ให้มันเหนือกว่าที่เขาทำมาดีกว่า และอย่างสุดท้ายก็คือ อย่าเป็นคนโทษคนอื่นเกินไป อย่างเช่น ไปโชว์ตามงานและคนดูไม่เอ็นจอยกับเรา ถ้าคิดว่าคนดูผิดเราก็จะไม่มีการพัฒนาตนเองเลยครับ เราก็จะคิดว่าต้องหาอะไรเพิ่มเข้าไปอีกหน่อยละกัน คนดูก็อาจจะถูกใจมากขึ้น อาจจะดีมากขึ้นก็ได้ มันจะทำให้เกิดการพัฒนามากกว่าครับ

การเฉลยมายากลผมบอกเลยครับว่า ไม่กระทบต่อผมเลย เพราะว่าผมคิดอะไรใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา แต่ส่วนคนอื่นก็อาจจะมีกระทบบ้าง เพราะว่าบางคนก็ไม่ค่อยอัพเดทกันสักเท่าไหร่ บางคนก็ยังเล่นโชว์เก่าอยู่ แต่ส่วนมากที่เขามาเฉลยจะเป็นกลเก่านะครับ ส่วนใหญ่เป็นพวกอุปกรณ์ คืออุปกรณ์พวกนั้น มันทำมาเพื่อขายครับ ทำมาเพื่อขาย คนเริ่มเล่น มันก็จะแตกต่างกับของที่เราทำขึ้นมาเอง คือมายากลมันรวมหลายอย่างครับ ทั้งเป็นนักแสดง นักประดิษฐ์ แล้วก็นักมายากล

การคิดมายากลสำหรับผม ผมจะคิดก่อนว่าผมอยากจะเล่นกับอะไร หมายถึงสิ่งของ เช่นผมอยากจะเล่นกับแหวน และผมอยากจะทำอะไรกับแหวน ผมอยากจะให้มันหายไป หรือเสกมา หรือทะลุนิ้ว คิดหลาย ๆ อย่างมาก่อน และเราก็เรียงว่าอันไหนดีหรือไม่ดี มันเนียนรึเปล่า และพอทดลองหลาย ๆ ครั้งก็มานั่งคิดว่ากลจริง ๆ มันคืออะไร และมาคิดสคริปต์ว่าเราจะพรีเซ็นต์แบบไหนเราจะพูดอะไรแบบไหน ประมาณนี้ครับ

 

Photo : Pornsaran Soithong

ยุทธพงษ์ ธนวิเชียร : สุดยอดนักมายากลของไทย The Magician of Chic Magic | Issue 165