ณเอก ธนภาคย์กุลเดช : อะคูสติก กีต้าร์ และภาษาณเอก | Issue 163

ณเอก ธนภาคย์กุลเดช : อะคูสติก กีต้าร์ และภาษาณเอก | Issue 163

สำหรับวงการดนตรีบ้านเรา หากพูดถึงชื่อของ ตั้ม ณเอก ธนภาคย์กุลเดช หลายคนคงจะรู้จักเขาในฐานะศิลปินดูโอ้ สไตล์กีตาร์ Acoustic Instrument แห่งวง Twoflowers ศิลปินผู้โดดเด่นในการฉายภาพแห่งความสุนทรียะ
ผ่านท่วงทำนองและเสียงกีตาร์ที่นุ่มนวล นอกจากนี้ เขายังมีอีกนึ่งตัวตนดนตรีที่น่าสนใจไม่แพ้กันในนามของ ณเอก ศิลปิน Acoustic ผู้ถ่ายทอดท่วงทำนองผสานเข้ากับบทกวี นำไปสู่ภาษาแบบฉบับ ณเอก ที่ไม่เหมือนใคร

ณเอก : ผมชื่อ ตั้ม ณเอก ครับ ถ้าพูดถึงแนวทางของดนตรีให้เรียกว่าเป็น Acoustic ดีกว่า เพราะว่าถ้าเป็นคำว่า Folk อาจจะดูทำให้มีนิยามที่เด่นชัดเกิน เรียกโดยรวมเป็น Acoustic และเป็นภาษาของณเอก ส่วนตัวเป็นคนที่ชอบเขียนคำเก็บเอาไว้ก็เลยอยากจะนำคำเหล่านั้นเอามารวมกับประสบการณ์ดนตรีและถ่ายทอดออกมาเป็นเพลงแบบณเอกครับ

กว่าจะเป็น ณเอก อย่างที่ทุกคนรู้จักในวันนี้ ย้อนกลับไปในช่วงที่เขายังเด็ก ทางบ้านของคุณตั้มประกอบธุรกิจเล็ก ๆ มีพนักงานอยู่หนึ่งคนชอบฟังเพลงมากและมักจะนำเทปมาเปิดฟังอยู่เป็นประจำ การได้ยินเสียงเพลงทุกวันคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาเริ่มสนใจในเสียงดนตรี โดยเฉพาะเสียงของกีตาร์ ซึ่งเป็นเสียงของเครื่องดนตรีที่เขาชื่นชอบมากเป็นพิเศษ

 

ณเอก : ผมเริ่มจับกีตาร์ตอน ม.2 เทอม 1 ตอนนั้นเข้าโรงเรียนวัดสุทธิวราราม เห็นพี่ ๆ ที่โรงเรียนเขาทำวงกัน เล่นเพลง Hard Rock ยุค 70 ตอนเข้า ม.1 เรายังไม่เล่นกีตาร์ แต่พอเราไปยืนดูพวกพี่ ๆ เขาเล่นก็เลยแบบ เห้ย! อยากลองเล่นบ้าง แต่กีตาร์สมัยนั้นราคา 2,000 - 3,000 บาท ซึ่งถือว่าแพงสำหรับในยุค 20 - 30 ปีก่อน พ่อก็เลยไม่ค่อยสนับสนุน กลัวซื้อมาแล้วเสียตังค์เปล่า ผมเลยเก็บตังค์ครับ วันละ 20 - 30 บาท นานเหมือนกัน จำได้ว่าเก็บได้ประมาณ 2,100 บาท ก็ไปซื้อกีตาร์ที่เซ็นทรัลสีลม เอามาหัดเล่นหัดจากในหนังสือเพลงทั่วไป ซึ่งปัจจุบันนี้กีตาร์ตัวนั้นก็ยังอยู่นะ

ผมเริ่มเทิร์นโปรตอนเข้ามหาวิทยาลัย ปี 1 ช่วงนั้นกิจการที่บ้านประสบปัญหาการเงิน มีปัญหาเรื่องหนี้สิน ตอนแรกก็อยากจะไปสอบเข้าพวกมหาวิทยาลัยดนตรีที่เขาฮิต ๆ กัน ติดขัดเรื่องเงินมาก เราก็คิดว่าเรียนรามฯ ละกันวะ เพราะสามารถเอาเวลาว่างมาทำงานได้ ตอนนั้นทำงานที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป ทำอยู่พักใหญ่ก็มาเจอกับเพื่อนที่รามฯ คนหนึ่ง เขาชวนไปงานปาร์ตี้ เหมือนเป็นร้านอาหารเล็ก ๆ ในงานมีให้เล่นกีตาร์ก็ขึ้นไปเล่นด้วยกัน เจ้าของร้านเห็นแล้วชอบก็เลยบอกให้ลองมาเล่นที่ร้าน ก่อนหน้านี้คือเราไม่เคยเล่นที่ไหนเลยนะ นั่นถือเป็นโอกาสแรกที่ได้เล่นดนตรีแบบได้ค่าตัว วันละ 400 อยากเล่นกี่ชั่วโมงก็เล่นไป ถือว่าได้ฝึกวิชา เริ่มต้นเป็นนักดนตรีกลางคืน ก่อนที่จะค่อย ๆ ขยับเข้าสู่การเป็นนักดนตรีอาชีพ

หลังจากเริ่มเก็บเกี่ยวประสบการณ์การเล่นดนตรีได้สักระยะ เพื่อนที่เล่นดนตรีด้วยกันได้ชักชวนให้คุณตั้มและคนอื่น ๆ ร่วมกันทำวงดนตรีแนว Blues สไตล์ Percy Chen, Albert King แต่ก็มีเหตุให้วงต้องเบรก จากนั้นคุณตั้มเริ่มฉีกแนวออกมาเล่น Folk เล่นไปได้สักระยะก็พบกับคุณเค เมธี ทวีทรัพย์ มือกีตาร์วง พองพอง ด้วยภาษาและรสนิยมที่ใกล้เคียงกัน ทั้งสองจึงเริ่มเล่นดนตรีและออกผลร่วมกันในฐานะศิลปินดูโอ้ สไตล์กีตาร์ Acoustic Instrument นาม Twoflowers

ณเอก : ตอนนั้นบ้าฟัง Depapepe และก็เข้าใจอยู่ว่า Reference เขาชัด แต่เราก็อยากจะลองทำเพลงบรรเลงในแบบของเรา ก็ออกอัลบั้มเป็นศิลปินครั้งแรกในนาม Twoflowers ซึ่งอัลบั้มแรก Sharing Times ถือว่าประสบความสำเร็จครับ หมายถึงว่าเราชอบงาน มีคนฟัง และได้ชิงสีสัน อะวอร์ดส์ สาขาศิลปินยอดเยี่ยม

Twoflowers มี 2 อัลบั้มครับ จากนั้นก็เหมือนวิถีคนทำวงทั่วไป มันก็อาจจะมีเรื่องทัศนะ เราอยากทำอย่างนี้ เพื่อนเราก็อยากทำอย่างนี้ ประกอบกับช่วงนั้นเพื่อนเขามีงานเป็น Music Director ให้กับพี่ ๆ วง Nuvo เวลามันไม่ค่อยตรงกันก็เลยไม่ได้ทำอัลบั้มที่ 3 ต่อ

 

ณเอก : โดยปกติเราเป็นคนที่เวลาเจออะไรก็จดไว้ และก็รู้สึกว่ามีเสียงที่เราชอบเต็มเลย ฮัมไว้บ้าง อัดไว้บ้าง ระหว่างรอ Twoflowers เราทำเพลงของเราดีกว่า ก่อนหน้านี้ก็เคยมีคนชวนไปแต่งเนื้อร้อง ชวนไปร้องเพลง ก็เลยคิดว่าทำเพลงร้องดู ด้วยเสียงแบบนี้แหละ ไม่ดีมาก แต่เราน่าจะปรับคีย์ให้มันทุ้ม ๆ ในแบบของเรา ก็บันทึกเสียงในห้องรุ่นน้อง ห้องลูกศิษย์แถว ๆ บ้าน จนเป็นอัลบั้มแรก Past Tense (หากว่ามันจะหมายถึงวันเวลาที่ล่วงเลยผ่าน) ซึ่งได้รับเกียรติให้เข้าชิงสีสัน อะวอร์ดส์ สาขาศิลปินชายเดี่ยว ถือว่ามาเกินที่เราคิดเหมือนกัน แต่เราก็ตั้งใจทำมันนั่นแหละ

Past Tense พูดถึงการบันทึกวันเวลา อัลบั้มนี้มันเป็นหนังสือด้วยนะ คือแบบชีวิตก่ำกึ่งเหมือนอยากเป็นนักเขียนด้วย สมัยก่อนอยากเขียนเรื่องสั้น อยากเขียนกวี อยากเป็นนักดนตรี อยากเป็นมือกีตาร์ Jazz ตอนนั้นก็เลยทำหนังสือด้วย ทำเพลงด้วย เพลงมันแบบไม่ได้ฟังยากนะ เพียงแค่ว่าเอาคำแบบของเราใส่ไป อัลบั้มที่ 2 รัญจวน เว้นไปนานเกือบ ๆ ปี อัลบั้มนี้อยากให้มีเรื่องราวละเอียดอ่อนมากขึ้น พูดถึงความรัก พูดถึงอะไรที่เข้าใจง่ายขึ้น ไม่ได้กวีจ๋าแบบอัลบั้มแรก

ณเอก : เรื่องกวี ผมศึกษาจากพี่ ๆ กวีที่ทำเพลงในบ้านเราตั้งแต่ยุคคาราวาน อันนั้นเขาอาจจะมีบางครั้งที่เขียนเป็นกวีมาก่อน บังคับมาเลย และก็เอามาลงทำนอง แต่วิธีที่ผมใช้ทำเพลงมันต่างออกไป คือทำให้มีทำนองก่อน ใส่ใจกับเมโลดี้มากขึ้น มีคอร์ดที่อยากจะใช้ เรื่องคำก็เป็นกวีที่ไม่สัมผัสมาก อิสระขึ้นมาหน่อย สะท้อนนามธรรมประมาณหนึ่ง ทิ้งไว้ให้คนฟังตีความต่อ 

คำว่าดนตรี สำหรับผมถ้าเอาง่าย ๆ มันเป็นเสียงเสียงหนึ่งครับ เสียงที่ผ่านการเรียบเรียง ผ่านการประพันธ์ เหมือนประมาณว่าเราลงหลุมดำแล้วเอาสิ่ง ๆ นั้นในหลุมดำมาแปรเปลี่ยนให้เป็นของสวยงาม สำหรับดนตรีแม้ว่ามันจะเล่าเรื่องเศร้า แต่พอมันผ่านมาถึงคนฟัง พวกเขาสามารถนำไปใช้เยียวยาได้ ทั้งที่บางเพลงมันเศร้ามาก บางคนก็เยียวยาด้วยความเศร้า บางคนก็เยียวยาด้วยความสุข ไม่มีเนื้อร้องก็เยียวยาได้ มันเป็นเหมือนของที่ถูกแปรรูปผ่านจิตวิญญาณเราให้กลายเป็นความสุขครับ

 

ณเอก : ผมคิดว่ารสนิยมมีผลต่อศิลปิน เพราะมันเป็นภาพสะท้อนครับ ยกตัวอย่าง สมมุตว่าเราเป็นคนเล่นเพลง Blues อาจารย์เขาบอกว่าดูกันง่าย ๆ เลย เราชวนเพื่อนมาแจมเพลง Blues ให้เขาโซโล่ 12 บาร์ 3 ชุด แค่นี้แหละครับ รู้เลยว่าเขาเป็นคนยังไง แบบเป็นคนมั่นใจ เป็นคนเร่าร้อน ไม่ต้องใช้สกิลนะ เล่นแค่สิ่งที่เราเล่นได้ ณ ชั่วโมงนั้นก็คือรู้เลยครับ อันนี้สะท้อนลึกไปถึงรสนิยมฟัง คือทานอะไรเข้าไปก็ออกมาเป็นแบบนั้น

ตอนนี้ ณเอก มีผลงาน 2 อัลบั้มนะครับ คือ Past Tense (หากว่ามันจะหมายถึงวันเวลาที่ล่วงเลยผ่าน) และ รัญจวน อัลบั้มแรกเป็นหนังสือกับซีดี อัลบั้มที่สองเป็นซีดีอย่างเดียว มีขายที่เฟซบุ๊คของผมครับ Naake Thanapakkunladej อินบ็อซเข้ามาได้เลย ส่วน Youtube Channel คือ ณเอก ธนภาคย์กุลเดช ก็จะมีเพลงมีไลฟ์สตูดิโออยู่ในนั้น สามารถเข้าไปรับฟังรับชมได้เลยครับ

Photo : Satchaphon Rungwichitsin

ณเอก ธนภาคย์กุลเดช : อะคูสติก กีต้าร์ และภาษาณเอก | Issue 163