สาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งของอุบัติเหตุบนท้องถนนก็คือเมาแล้วขับ ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงหลายๆ อย่างตามมาอย่างคาดไม่ถึง แม้จะมีกฎหมายที่เข้มงวดมากขึ้นเกี่ยวกับการดื่มแอลกอฮอล์แล้วขับขี่ แถมยังห้ามดื่มแอลกอฮอล์ในขณะโดยสารอยู่ในรถหรือบนรถอีกด้วย แต่อุบัติเหตุจากเมาแล้วขับรวมไปถึงผู้ฝ่าฝืน ก็ยังคงมีอยู่เช่นเดิม เหมือนอย่างเรื่องของ โอ๊ต

โอ๊ต เป็นเด็กหนุ่มที่เชื่อมั่นในตัวเองสูง เขาถูกทางบ้านส่งไปร่ำเรียนในต่างประเทศตั้งแต่ยังเล็ก พออายุได้สัก 23 ปี เขาก็ถูกเรียกตัวเพื่อกลับมารับช่วงกิจการต่อจากคุณพ่อ งานที่โอ๊ตทำในแต่ละวันนั้นค่อนข้างราบรื่น จะด้วยเพราะความเก่งของเขา หรือประสบการณ์ที่ผ่านมาของคุณพ่อก็ไม่ทราบ ทำให้เขามีเวลาว่างไปปาร์ตี้กับเพื่อนๆ อยู่บ่อยครั้ง

การเดินทางไปงานปาร์ตี้ของเขานั้น เขาจะขับรถไปกลับเองทุกครั้ง ซึ่งที่ผ่านมาเขาก็ยังไม่เคยถูกตำรวจเรียกตรวจเลยแม้แต่ครั้งเดียว จะเรียกว่าโชคดีหรือศึกษาเส้นทางเก่งก็ไม่อาจทราบได้

ครั้งนี้ก็เช่นกัน หลังจากที่เขาเสร็จงานที่บริษัทแล้ว เขาก็โทรหาเพื่อนๆ ให้รวมตัวกันที่ร้านประจำ หลังจากเวลาผ่านไปเขาก็เริ่มเมาและสนุกได้ที่ จึงชักชวนเพื่อนๆ ให้ไปดื่มกันต่อที่บ้านของเขา โดยมี วิน เพื่อนคนหนึ่งซึ่งไม่ได้ดื่มแอลกอฮอล์อาสาเป็นผู้ขับรถให้ เพราะวันนี้โอ๊ตดื่มจนเมาจัด

หลังจากออกมาจากร้านได้ไม่นาน โอ๊ตก็ยังคงดื่มกับเพื่อนๆ บนรถอย่างต่อเนื่อง มีเพียงวินคนขับเท่านั้นที่ไม่ดื่ม อาจจะเพราะกลัวว่าจะโดนด่านตรวจ หรือกลัวไม่ปลอดภัย

เกือบจะถึงบ้านของโอ๊ตอยู่แล้ว แต่กลับมีด่านตรวจอยู่ด้านหน้า แต่ด้วยความที่วินไม่ได้ดื่มอยู่แล้วจึงขับรถตรงไปยังด่านเพื่อจะผ่านไป แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจเห็นสิ่งผิดปกติบนรถ จึงขอให้หยุดและเรียกตรวจ

ตำรวจ : ขออนุญาตดูใบขับขี่ด้วยนะครับ 
วิน : ได้ครับ คุณตำรวจเรียกผมหยุด มีอะไรหรือเปล่าครับ
ตำรวจ : เอ่อ ไม่ทราบว่า คุณดื่มมาหรือเปล่าครับ กลิ่นแอลกอฮอล์แรงมาก 
และนั่นเพื่อนๆ ของคุณยังดื่มกันไม่เลิกอีกเหรอครับ
วิน : ใช่ครับ แต่ผมไม่ได้ดื่มนะครับ เป่าหาแอลกอฮอล์ได้เลยครับ
ตำรวจ : ถึงแม้ว่าคุณจะไม่ได้ดื่มในขณะขับขี่ แต่ขณะนี้เพื่อนๆ ของคุณ 
ก็กำลังดื่มกันทุกคนนะครับ ขอเชิญคุณและเพื่อนๆ ของคุณ ลงจากรถก่อนครับ
วิน : ทำไมครับ ผมจะรีบไป นี่ก็ดึกแล้วครับ ดื่มในรถผิดด้วยหรอครับ
ตำรวจ : ผิดสิครับ คุณเป็นคนขับลงมาตรวจหาแอลกอฮอล์ก็แล้วกันครับ ส่วนเพื่อนของคุณผมเห็นมีการดื่มแอลกอฮอล์บนรถชัดเจนอยู่แล้ว
วิน : ได้ครับ

Q : เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจวินแล้วไม่ปรากฏว่ามีปริมาณแอลกอฮอล์เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด วินและเพื่อนๆ จะมีความผิดหรือไม่อย่างไร

A : จากข้อเท็จจริงปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการพบเห็นเพื่อนๆ ของวินดื่มแอลกอฮอล์อยู่ในรถโดยชัดเจนซึ่งเป็นการกระทำความผิดซึ่งหน้า การกระทำดังกล่าวของเพื่อนๆ วินจึงมีความผิดตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีเรื่อง กำหนดสถานที่หรือบริเวณห้ามบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บนทาง พ.ศ. 2555 และความผิดต่อประกาศนี้เป็นความผิดต่ออาญาแผ่นดินไม่สามารถยอมความได้ ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ส่วนวินไม่ได้บริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บนรถด้วยและจากการตรวจก็ไม่พบปริมาณแอลกอฮอล์เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด คือระดับแอลกอฮอล์ในเลือด ต้องไม่เกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ วินจึงไม่มีความผิดแต่ประการใด

ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดสถานที่หรือบริเวณห้ามบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บนทาง พ.ศ. 2555

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 4 และมาตรา 31 (7) แห่งพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา 29 ประกอบกับมาตรา 41 มาตรา 43 และมาตรา 45 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทําได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย สำนักนายกรัฐมนตรีโดยคําแนะนําของคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ จึงออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้ 

ข้อ 1 ห้ามผู้ใดบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บนทางในขณะขับขี่หรือในขณะโดยสารอยู่ในรถหรือ บนรถ 

คําว่า “ทาง” และ “รถ” ตามวรรคหนึ่ง หมายความว่า “ทาง” และ “รถ” ตามกฎหมาย ว่าด้วยการจราจรทางบก 

ข้อ 2 ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป 

 

นั่งข้างเมาไม่ผิด แต่แค่จิบก็จับ